คอลัมน์ Think Positive คือคอลัมน์ที่รวบรวมโพสต์ Think Positive ในเฟซบุ๊ก a day magazine ที่ลงเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ น่าสนใจ ที่ใช้แก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันไปจนถึงปัญหาใหญ่ระดับประเทศ รวมถึงพูดคุยกับผู้คิดค้นสร้างสรรค์ในแง่แรงบันดาลใจ แนวคิด และการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมนั้นๆ ในอนาคต
สำหรับเดือนมกราคม 2563 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีนั้นมีนวัตกรรมน่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ทั้งปฏิทินรักโลก THE DAY AFTER ที่จะทำให้ 1 ปีของคุณไม่เหลือเศษขยะ, โปรเจกต์ Clay for Australia ชวนระดมทุนช่วยเหลือไฟป่าที่ออสเตรเลียด้วยงานศิลปะ, แบบเรียนเบื้องต้นสำหรับเด็กตาบอดก่อนวัยเรียนจากโปรเจกต์ Classroom Makeover และแอพพลิเคชั่น ‘คัดแยกเห็ดไทย’ แยกเห็ดกินได้กับเห็ดพิษ
THE DAY AFTER ปฏิทินรักโลกที่จะทำให้หนึ่ งปีของคุณเกิดประโยชน์สูงสุ ด
สวัสดีปี 2020 ถึงเวลาเปลี่ยนศักราชใหม่ทั้งที หนึ่งในสิ่งที่เราขาดไม่ได้
แน่นอนว่าเราหาซื้อเจ้าสิ่ง
‘ซาร่า–รุ่งนภา คาน’ อาจารย์ประจำสาขาวิชามีเดีย
“ช่วงนั้นเราศึกษาและสนใจเรื่องสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย เลยคิดว่าการมีฟังก์ชั่นหรื
“เรารีเสิร์ชและเห็นว่าคนไท
หลังจากที่ซาร่าทำแบบสอบถาม
ปฏิทินเล่มนี้มีไซส์ A3 สามารถฉีกออกตามรอยปรุเป็นก
แต่จุดที่สร้างความแตกต่างใ
“สุดท้ายเราอยากให้คนเข้าใจ
ระดมทุนช่วยดับไฟในออสเตรเลียด้วยงานศิลปะกับโปรเจกต์ Clay for Australia
หนึ่งในข่าวใหญ่ที่สุดในช่ว
จากเหตุการณ์นี้เองทำให้ทั่
ด้วยความรู้สึกเศร้าใจและคว
“เราคิดอยู่หลายวันเลยว่าจะ
นอกจากบทบาทในการเป็นศิลปิน
“โครงการนี้เป็นผลของประสบก
ตอนนี้วิภูกำลังวางแผนว่าจะ
“ณ ปัจจุบันมีศิลปินส่งชิ้นงาน
Classroom Makeover แบบเรียนที่จะช่วยให้เด็กตาบอดก่อนวัยเรียนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
เมื่อกลางปีก่อน จากความพยายามและความตระหนักถึงปัญหาการศึกษาของเด็กผู้พิการ บริษัท Goldenland จึงร่วมมือกับครีเอทีฟเอเจนซี ‘มานะ’ ทำโปรเจกต์ Classroom Makeover ห้องเรียนสำหรับเด็กผู้พิการทางสายตาที่พัทยาขึ้น นอกจากห้องเรียนแห่งนี้จะได้รับการออกแบบพิเศษโดยคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนที่มองไม่เห็นแล้ว หลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ทั้ง 4 วิชา ได้แก่ สัมผัส แสง เสียง และกลิ่น ก็ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญในแวดวงการศึกษาส่วนนี้
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการรีเสิร์ช การทดลองทำ บวกกับความตั้งใจที่อยากส่งต่อองค์ความรู้ให้คนทั่วไป ‘ป๋อม–กิตติ ไชยพร’ ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์แห่งมานะ ตัดสินใจรวบรวมหลักสูตรที่ใช้ในห้องเรียนเด็กตาบอดมาทำเป็นแบบเรียนเบื้องต้นสำหรับเด็กตาบอดก่อนวัยเรียน เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยไกด์พ่อแม่และผู้ปกครองที่มีลูกหลานตาบอดแล้วไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“เราชวน studio dialogue มาช่วยเก็บข้อมูล ขณะเดียวกันในหนังสือก็มีอะไรเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราทำด้วย คิดว่าไหนๆ ทำแล้วก็ดีไซน์หนังสือให้คล้ายหลักสูตรขึ้นมาเลย” ป๋อมเล่าถึงความตั้งใจตอนเริ่มทำหนังสือเล่มนี้ที่บรรจุตั้งแต่แนวคิดในการออกแบบ Classroom Makeover ไปจนถึงหลักสูตรการสอนเด็กตาบอดเบื้องต้น ได้แก่ วิชาเบรลล์ศึกษา วิชาสัมผัส วิชาเดซิเบรลล์ วิชาลมหายใจ วิชาลำแสง รวมถึงทักษะในชีวิตประจำวัน เพื่อสอนให้เด็กตาบอดก่อนวัยเรียนช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน
“มันเหมาะสำหรับผู้ปกครองที่เพิ่งมีลูกหลานตาบอด เพราะ know-how ในนั้นช่วยทำให้เขารู้ว่าจะเริ่มต้นสอนเด็กได้ยังไง ถ้าไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็เอาอย่างอื่นมาใช้ทดแทนได้ โดยตอนท้ายของหนังสือมีแบบฝึกหัดด้วย เช่น ลองให้ลูกเดินตามหาเสียงที่เราสร้างขึ้น ลองให้ลูกดมกลิ่นดูว่ากลิ่นไหนอันตรายและควรหลีกเลี่ยงไปให้ไกล เราสามารถหยิบบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้กับลูกโดยไม่ต้องไปที่ห้องเรียนคนตาบอดก็ได้”
ทั้งนี้ป๋อมยังอยากให้หนังสือเล่มนี้ไม่ให้แค่ความรู้และอยู่นิ่งเฉยๆ “สิ่งที่เราทำคือความพยายามที่จะนำหลักสูตรนี้มาตีความเป็นแบบเรียนและแบบฝึกหัดที่มีอะไรมากไปกว่านี้ได้อีก สมมติว่าโครงการนี้ยังทำอยู่และมีคนมาต่อยอดก็อาจจะมีใครมาตีความการเรียนการสอนของมันใหม่ได้เรื่อยๆ เพื่อวัตถุประสงค์เดิม เหมือนวิชาคณิตศาสตร์ที่เราพลิกแพลงวิธีคิดหาคำตอบของตรีโกณมิติ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องตรีโกณมิติอยู่”
ส่วนผู้ปกครองคนไหนที่กังวลเกี่ยวกับความยากในการนำบทเรียนในหนังสือเล่มนี้ไปสอนลูกหลานที่ตาบอด ป๋อมยืนยันว่าวิธีการไม่ได้ยากขนาดนั้น “มันมีหลักของมันอยู่ เราคงไม่อาจหาญบอกว่ามันเป็นแบบเรียนแบบฝึกหัดที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ได้ทำจากคนที่มีพื้นฐานทางนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มาจากการศึกษาหาข้อมูลเพื่อตีความในมุมมองของดีไซเนอร์และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ตลอดระยะเวลาเราปรึกษากับนักวิชาการฝั่งผู้พิการตลอด เรามองว่าอย่างน้อยหนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้พ่อแม่วางใจมากขึ้นที่ลูกใช้ชีวิตได้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงมาก จริงๆ แล้วผู้ปกครองไม่ต้องทำตามทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้ก็ได้ สอนไปวันละอย่างจนลูกพร้อมเข้าโรงเรียนเฉพาะทางที่มีระบบการเรียนการสอนรองรับแล้ว”
ด้วยความที่ป๋อมอยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนที่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกตาบอด เพื่อบอกว่ายังมีหนทางให้เด็กๆ ไปต่อได้ เขากับทีมจึงจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ปกครองที่มีลูกหลานตาบอดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใครที่สนใจสามารถขอแบบเรียนเบื้องต้นสำหรับเด็กตาบอดก่อนวัยเรียนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มานะ
เห็ดแบบไหนกินได้ แบบไหนมีพิษ เช็กง่ายๆ ด้วยการสแกนผ่านแอพพลิเคชั่น ‘คัดแยกเห็ดไทย’
จากข้อมูลปีที่แล้วมีผู้ป่วยด้วยเห็ดพิษกว่าพันราย และเสียชีวิตจากความไม่รู้และความเข้าใจผิดเนื่องจากเห็ดพิษหลายชนิดมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเห็ดกินได้ ยังไม่นับรวมการวินิจฉัยและการปฐมพยาบาลที่ไม่ถูกต้องจนทำให้รักษาไม่ทันการ
ด้วยเหตุนี้เองกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และพิพิธภัณฑ์เห็ดที่มีฤทธิ์ทางยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงร่วมมือกันคิดค้นแอพพลิเคชั่น Mushroom Image Matching โดยได้รวบรวมภาพถ่ายของเห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้กลุ่มละ 1,000 ภาพ เก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่อใช้ประมวลผลด้วยโปรแกรมจดจำรูปภาพ และแสดงผลชนิดของเห็ดด้วยชื่อและร้อยละของความถูกต้อง
ทั้งนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, ดร.สิทธิพร ปานเม่น นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชำนาญการ ศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข, เกษร บุญยรักษ์โยธิน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 อุดรธานี และ รศ.ขวัญเรือน นาคสุวรรณ์กุล ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์เห็ดที่มีฤทธิ์ทางยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมดังกล่าวจนสำเร็จพร้อมใช้งานเป็นที่เรียบร้อย
รศ.ขวัญเรือนเล่าว่าที่ทำเป็นแอพพลิเคชั่นเพราะด้วยยุคสมัยใหม่ที่ใครๆ ล้วนเข้าถึงสมาร์ตโฟนแล้ว บวกกับพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าไปเก็บเห็ดในป่ามาขายมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ภูมิปัญญาความรู้ด้านการดูเห็ดแบบคนยุคก่อนอาจขาดหายไป การมีโครงการหรือสิ่งที่ตรวจสอบได้เบื้องต้นน่าจะตอบโจทย์ที่สุด
ส่วนวิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่าย แค่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ลงทะเบียน และใช้งานด้วยการเปิดกล้องสแกนดอกเห็ดที่ต้องการทราบชนิด “โปรแกรมจะเริ่มประมวลผลแบบเรียลไทม์ โดยเลขจะวิ่งไปเรื่อยๆ และหยุดเมื่อความถูกต้องเท่ากับร้อยละ 95 หรือเรากดปุ่มเพื่อหยุดเองก็ได้ ซึ่งจะแสดงเป็นเห็ด 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่มีความเหมือนมากที่สุดเป็นอันดับแรกและอันดับที่มีความเหมือนรองลงมาเพื่อให้ผู้ใช้เปรียบเทียบ นอกจากนี้โปรแกรมยังประมวลผลจากภาพถ่ายได้ สมมติถ่ายภาพเห็ดในตลาดมาสแกนหรือเพื่อนส่งรูปมาให้ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ไม่วิ่งเป็นเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
“และเรายังสามารถกดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีก เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเห็ดชนิดนั้น ทั้งรูปร่างหน้าตา ลักษณะครีบ สีก้าน เป็นต้น เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น ถ้าเป็นเห็ดพิษก็จะบอกลักษณะอาการเมื่อได้รับสารพิษว่าเป็นยังไง และบอกวิธีปฐมพยาบาลก่อนไปพบแพทย์ด้วย”
หลังจากทดลองใช้และพัฒนาแอพพลิเคชั่นโปรโตไทป์นี้มาตั้งแต่ปี 2561 จนเริ่มเสถียรมากขึ้น ปีนี้ รศ.ขวัญเรือนกับทีมก็มีแผนการเพิ่มเห็ดชนิดอื่นๆ ลงในฐานข้อมูล และขยายการใช้งานให้แพร่หลายมากขึ้น
“เราคิดกันว่าน่าจะเพิ่มจำนวนกลุ่มเห็ดและจำนวนในการเปรียบเทียบระหว่างเห็ดกินได้กับเห็ดพิษ โดยกำลังรอช่วงฤดูฝนเพื่อที่จะได้ไปถ่ายรูปเห็ดจริงๆ ในธรรมชาติ ขณะเดียวกันเราจะใช้โปรแกรมนี้ไปอบรมคนทำงานด้านการรักษาที่อยู่ในชุมชน เพื่อให้เขาใช้แอพพลิเคชั่นนี้ดูวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น หรือส่งตัวอย่างไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถูกต้อง เพื่อป้องกันผู้เสียชีวิต”
ถึงกระนั้นแอพพลิเคชั่น ‘คัดแยกเห็ดไทย’ ยังมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่บ้าง “ปัญหาตอนนี้คือยังดาวน์โหลดได้แค่ระบบแอนดรอยด์ และด้วยข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีทำให้เราจัดหมวดหมู่เห็ดได้แค่ 14 หมวดหมู่ แต่เห็ดในธรรมชาติมีจำนวนมาก บางครั้งเวลาสแกนอระบบอาจประมวลผลช้าและไม่ตรงตามกลุ่มของเห็ดนั้นๆ บ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามแก้ไขต่อไป”