They Shall Not Grow Old : เมื่อปีเตอร์ แจ็คสัน แห่ง LOTR ชุบชีวิตฟุตเทจเก่าให้กลายเป็นหนัง

Highlights

  • แม้ผู้กำกับ Peter Jackson จะเคยมีผลงานอลังการงานสร้างคือหนังชุด The Lord of the Rings แต่ They Shall Not Grow Old หนังใหม่ของเขากลับเป็นงานชิ้นเล็กที่สร้างเพื่อแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์ของชาวโลกด้วยวิธีการของคนทำหนัง
  • วิธีการที่ว่า คือการจับเอาม้วนฟิล์มหนังขาว-ดำอายุประมาณ 100 ปีจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มาลงสีและเสียงใหม่ ทำดนตรีประกอบแบบภาพยนตร์ รวมไปถึงการอ่านปากผู้คนในฟุตเทจและพากย์เสียงเพิ่มเข้าไป จนฟุตเทจประวัติศาสตร์ธรรมดาๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
  • ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าดีใจที่ภาพยนตร์เริ่มขยายความหมายออกไปมากกว่าความบันเทิง และน่ายินดีที่ผู้กำกับใหญ่อย่างปีเตอร์ แจ็คสัน เลือกทุ่มเวลาและความสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อ box office เพียงอย่างเดียว

ในช่วงเวลาท้ายปีที่หนังเต็งออสการ์กำลังต่อสู้และฟาดฟันกันอย่างมากมาย หนังปลายปีอีกหลายเรื่องก็เตรียมโกยเงินทิ้งท้าย มันมีโปรเจกต์อยู่โปรเจกต์หนึ่งที่ไม่ได้เตรียมตัวเข้าชิงรางวัลใดๆ ฉายด้วยรอบน้อยนิดเล็กๆ ง่ายๆ แต่มันเป็นงานที่โปรดิวซ์และกำกับโดยผู้กำกับร่างใหญ่บิ๊กเนมอย่างปีเตอร์ แจ็คสัน ณ The Lord of the Rings หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง epic อลังการสามสี่ภาคแบบที่เขาเคยทำ มันกลายเป็นงานชิ้นเล็กที่สร้างเพื่อแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์ของชาวโลกด้วยวิธีการของคนทำหนัง

จริงๆ แล้ว They Shall Not Grow Old อาจไม่ใช่หนังหรือไม่ใช่สารคดี มันคือวิดีโอคอนเซปต์ที่ว่าด้วยการชุบชีวิตฟุตเทจเก่าๆ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เป็นม้วนฟิล์มหนังขาว-ดำอายุประมาณ 100 ปี และไม่มีแถบบันทึกเสียงแต่อย่างใด เขานำมันมาลงสีใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง และเพิ่มเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ รวมถึงดนตรีประกอบแบบภาพยนตร์ ซึ่งจะทำให้ฟุตเทจทางประวัติศาสตร์ธรรมดาๆ กลายมามีชีวิตอีกครั้งด้วยเสียงและสี (แบบคนสมัยใหม่) ตัวชิ้นงานนั้นไม่มีผู้บรรยายหรือดำเนินเรื่องอะไรมากมาย มีเพียงแต่ภาพสแนปช็อตชีวิตของบรรดานายทหารอังกฤษที่ไปรบที่ยุโรป ตัวหนังฉายไปในวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ อังกฤษ ฉายรอบเดียวในโรงภาพยนตร์พร้อม Q&A กับปีเตอร์ แจ็คสัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 

เอาจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครเหมาะกับโปรเจกต์เท่าเขาแล้วล่ะครับ บุรุษผู้ใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่าในการสร้างภาพยนตร์อย่างเขา (แถมหลังๆ เลยเถิดไปสร้างเกม ไปสร้างอะไรอย่างอื่นเต็มไปหมดที่เป็นภาพเคลื่อนไหวและไม่ใช่หนัง) คือคนที่น่าจะใช้เทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่ให้ฟุตเทจเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ การทำงานของปีเตอร์มันไม่ใช่แค่การแต่งสีเติมเสียงเพิ่ม เพราะตัวเขาเนิร์ดกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ปกติถ้าเราเห็นฟุตเทจภาพประวัติศาสตร์ต่างๆ เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ภาพมันจะกระตุกๆ นิดๆ ไม่ได้ลื่นไหลเหมือนสมัยนี้ เป็นเพราะว่ากล้องสมัยก่อนเวลาถ่ายอะไรนั้น เฟรมเรตจะบันทึกได้ช้ากว่าเฟรมเรตปัจจุบัน (ลองคิดถึงว่าเรากดถ่ายภาพนิ่งรัวๆ แล้วมาเรียง ตอนเล่นมันก็จะกระตุกๆ ในขณะที่ถ้าเราถ่ายวิดีโอเลย ภาพที่ได้ก็จะลื่นตามจริง) สิ่งที่ปีเตอร์ทำกับหนังเรื่องนี้คือ การใช้คอมพิวเตอร์เติมเฟรมเรตที่หายไปให้กับฟุตเทจเหล่านั้น แปลว่าคราวนี้ฟุตเทจสงครามที่เราจะได้เห็นนั้นก็จะลื่นไหลเหมือนถ่ายด้วยฟิล์มหรือวิดีโอในปัจจุบัน ซึ่งจะให้ความรู้สึกสมจริง เป็นปัจจุบันมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าเป็นของเก่าจากประวัติศาสตร์อีกต่อไป นี่อาจจะเรียกได้ว่า หนังคือไทม์แมชชีนได้อย่างแท้จริง 

นี่อาจจะไม่เนิร์ดพอ คนอย่างเขาต้องเนิร์ดสุดกว่านั้น ในด้านการเติมเสียงประกอบฟุตเทจ ต้องไม่ใช่แค่เติมเสียงซาวนด์เอฟเฟกต์ปืน เสียงเดินเท้า หรือเสียงเพลงประกอบ เพราะทีมงานของปีเตอร์ตัดสินใจว่าจะไปกันถึงขั้นเติมไดอะล็อกเข้าไปใส่ปากของคนในฟุตเทจ ด้วยการใช้วิธีเอานักอ่านปากมาถอดความเลยว่าคนในฟุตเทจพูดว่าอะไร แล้วหาคนพากย์เสียงเพิ่มเข้าไป ดังนั้นจากฟุตเทจที่ไม่เคยมีเสียงมาก่อน ตอนนี้เราก็สามารถเข้าใจว่านายพลกำลังสั่งการอะไรกับบรรดาทหารของเขา

ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ามุมมองเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์รวมถึงสื่อภาพเคลื่อนไหวนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากมาย แต่เดิมงานคอมพิวเตอร์กราฟิกมีไว้สร้างความบันเทิงบนจอภาพยนตร์ เอาไว้สร้างไดโนเสาร์ หุ่นยนต์หรือของใหญ่ๆ ตอนนี้มันก็เริ่มถูกเอามาใช้แบบเล็กๆ เรียลๆ เช่นการทำให้นักแสดงอายุเยอะกลายเป็นหนุ่มอีกครั้ง นอกจากนี้มันก็เริ่มกระจายตัวออกไปสื่อภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ไม่ใช่หนัง อาจจะเป็นวิดีโอเกม งาน VR หรือสาย Augmented Reality กระทั่งเริ่มเข้าสู่วงการประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยการบูรณะสื่อภาพเคลื่อนไหว กระแสรักษาแผ่นฟิล์มเก่าๆ ไม่ให้ผุพังสูญสลายเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการนำของ Martin Scorsese นอกจากนั้นสายงานเบื้องหลังอย่างการ remastering และ restoring หนังเก่าๆ ด้วย CG และคอมพิวเตอร์ (ซ่อมความพังของภาพหนัง หรือทำให้สีที่ซีดจางและมืดกลับมามีสีสันแบบที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง) ก็ถูกโปรโมตให้เป็นที่รับรู้กันมากขึ้น ไม่ก็กลายเป็นจุดขายของแผ่นบลูเรย์ต่างๆ ทำให้เด็กเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ได้ดูหนังในสภาพที่สมบูรณ์มากขึ้น (แม้ว่าบางครั้งจะมีข้อถกเถียงกันเรื่อยๆ ว่า ไปแก้สีภาพหนังเก่าเหล่านั้นจะรู้ได้ไงว่ามันถูกต้องตามต้นฉบับอย่างที่ผู้กำกับต้องการ ถ้าเกิดผู้กำกับคนนั้นเสียชีวิตไปแล้วและไม่ได้มานั่งแก้สีด้วย) 

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าดีใจนะครับ ที่ภาพยนตร์เริ่มขยายความหมายของตัวเองออกไปมากกว่าความบันเทิง ถูกนำไปประยุกต์กับงานแบบอื่น ด้วยจุดประสงค์อื่น และน่ายินดีที่บิ๊กเนมอย่างปีเตอร์ แจ็คสัน เลือกที่จะเอาเวลาจำนวนมากและใช้ความรู้ความสามารถที่ตัวเองมีสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อ box office เพียงอย่างเดียว

บางครั้งถ้าหัวเรือใหญ่กรุยทางไว้ให้ ก็อาจสร้างแรงกระเพื่อมให้อีกหลายหัวเรือล่องตามมาได้, หวังว่านะ

ดูเทรลเลอร์ They Shall Not Grow Old ได้ด้านล่าง 

AUTHOR