ตอนนี้บริษัทหลายแห่งให้พนักงานกลับมาทำงานกันเหมือนเดิมแล้ว แต่ด้วยความไม่น่าไว้วางใจของโรคระบาดก็ทำให้การเข้างานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การทำงานนอกสถานที่หรือที่บ้านก็พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพไม่ต่างกับการทำงานในออฟฟิศ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่การนั่งทำงานอยู่บ้านนานๆ ก็น่าเบื่อจำเจ รูปแบบใหม่ของการทำงานจึงเกิดขึ้นนั่นคือ Workation ซึ่งเอารูปแบบของการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เรียกว่า Staycation มาปรับใช้ โดยที่เราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปพักตามสถานที่ต่างๆ ที่เดินทางได้สะดวกและให้ความรู้สึกของการได้ท่องเที่ยวเพื่อเติมไฟในการทำงานให้ตัวเอง
วันนี้เราเก็บกระเป๋ามาทำงานในสถานที่แห่งใหม่นั่นคือ The Standard, Bangkok Mahanakhon โรงแรมใหม่ในเครือ Standard International ที่มีสาขาตั้งอยู่มากมายในเอเชีย มาดูกันว่าโรงแรมใจกลางเมืองในตึกที่สูงที่สุดของกรุงเทพฯ นี้ จะน่าอยู่ น่านอน และได้อะไรมาจุดประกายไอเดียในการทำงานให้เราได้แค่ไหน
ปล่อยจอย ปล่อยใจ แต่ไม่ปล่อยให้ท้องกิ่ว
เมื่อเข้ามาเช็กอินที่โรงแรมแล้ว เราเดินตามเสียงเพลงเพราะๆ ที่เปิดคลอในอยู่ห้องอาหาร The Parlor ที่ห่างจากเคาท์เตอร์ต้อนรับเพียงไม่กี่ก้าว ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีห้อง Tea Room ที่ชื่อว่า Tease ให้นั่งจิบชานานาชาติหอมๆ แล้ว หากใครอยากดื่มเครื่องดื่มคลายร้อนก็มีบาร์คอยให้บริการ แต่หาหิวที่นี่ก็มีบริการอาหารพร้อมเสิร์ฟตลอดเวลา ซึ่งเขาบอกเราว่าช่วงค่ำที่นี่จะมีดีเจมาเปิดเพลงให้ฟังแบบครึกครื้นด้วย
เราเติมพลังงานลงกระเพาะจนอิ่มแปล้ และนั่งชมบรรยากาศช่วงสายๆ อย่างเพลินๆ ยิ่งพอถึงช่วงใกล้ตอนเที่ยงก็มีแขกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มาเป็นกลุ่ม เสียงพูดคุยปนเสียงหัวเราะคลอเคล้ากับเพลย์ลิสที่คนเลือกเพลงมาอย่างใส่ใจเกิดเป็น White Noise ที่ปลุกอารมณ์ให้อย่างนั่งทำงานอย่างรุนแรง แต่พอเราจะหยิบเอาแลบท็อปในกระเป๋าออกมาก็ลืมไปว่า ตอนนี้เจ้าสัมภาระส่วนตัวของเรานั้นถูกจัดส่งไปที่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว
เราทำใจบอกลาบรรยากาศครึกครื้นกับเก้าอี้นุ่มสบายเพื่อไปยังห้องพัก ด้วยความเสียดายเล็กๆ แต่เชื่อว่าขนาดห้องต้อนรับยังดึงดูดใจเราได้ขนาดนี้ ยูนิตอื่นๆ ของที่นี่ก็ต้องยอดเยี่ยมไม่แพ้กันแน่นอน
ห้องพักที่พร้อมกอดรับผู้เยี่ยมเยือน
เรามาถึงห้อง Standard King ขนาด 40 ตรม. ที่ค่อนข้างกว้างขวางโอ่โถง และออกแบบได้อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านมากกว่าโรงแรม จนอดใจกระโดดลงไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียงคิงไซซ์ ที่ใช้ชุดเครื่องนอนสุดนุ่ม และเปิดเพลงผ่านลำโพงลำโพงบลูทูธของ Bang & Olufsen ไปด้วย ก่อนจะหยิกตัวเองเบาๆ ว่า เรามีงานที่ต้องสะสางไม่ใช่มานอนเล่นแบบนี้ ว่าแล้วจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำให้สดชื่น (โดยต้องหักห้ามใจกับอ่างแช่ตัวที่ยังไม่ใช่ตอนนี้) และเข้าสู่โหมดการทำงานแบบจริงจังเสียที
จากช่วงเที่ยงถึงบ่ายคล้อย การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น หัวแล่น สมองไว ถ้าเมื่อยก็เดินยืดเส้นยืดสายในห้องได้อย่างไม่อึดอัด มีเครื่องชงกาแฟให้เติมพลังในตอนทำงาน เรียกว่าความโปรดักทีฟในตัวพุ่งขึ้นแบบ 100% ถ้าไม่มองออกไปที่นอกหน้าต่างก็ลืมไปเลยว่าเวลาได้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
ยืดเส้นยืดสายเดินหาไอเดียใหม่ๆ
แรงกระตุ้นใหม่ๆ ที่ได้รับจากสถานที่ดีๆ ทำให้เรามีเวลาเหลือเยอะกว่าเดิมหลังจากเคลียร์งานของตัวเองหมดแล้ว เพราะยังอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลามื้อค่ำ เราจึงขอออกไปเดินพาทัวร์สักหน่อยว่าโรงแรมแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจเพิ่มเติมอีกไหม
จุดแรกที่เราปักหมุดไว้อยู่แล้วว่าต้องมาคือ บริเวณทางขึ้นของห้องอาหาร The Standard Grill ซึ่งมีงานประติมากรรมของ Nikolas Weinstein ศิลปินชาวนิวยอร์กที่สนใจในฟอร์มของธรรมชาติ และเอามาสร้างเป็นผลงานของตัวเองที่โดดเด่น แค่ยืนมองส้นสายที่พริ้วไหวของตัวชิ้นงานก็เพลินแล้ว
New York, New York
กลิ่นอายของนิวยอร์กที่เริ่มตั้งแต่ทางขึ้นมาจนถึงห้องอาหาร The Standard Grill ที่ใช้ดีไซน์ให้นึกร้านฉากร้านอาหารในนิวยอร์กแบบเรโทร เมนูจึงเน้นไปที่อาหารแบบอเมริกันรสเลิศอย่าง สเต็กเนื้อชั้นดีหรือจะลองเป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่มีเนื้อฉ่ำๆ ก็อร่อยจนเคลิ้ม และถ้าคุณมาที่นี่อย่าลืมมองไปที่พื้นเพราะเป็นหนึ่งในกิมมิคสำคัญของที่นี่เลยนะ
บริเวณพื้นที่ด้านในของห้องอาหาร The Standard Grill ไม่ใช้กระเบื้อง ไม่ใช้ไม้มาเป็นวัสดุปูพื้น แต่เขาใช้เหรียญเพนนีจำนวนกว่า 60,000 เหรียญ มาเรียงเป็นพื้นแทน… อย่างเจ๋ง! ซึ่งการออกแบบทั้งหมดนั้นดูแลโดย Jaime Hayon ศิลปินชาวสเปน ร่วมกับทีมออกแบบมากรางวัลจาก The Standard ที่นำแรงบันดาลใจจากสถานี Subway ของนิวยอร์กมาผสมผสาน
From Hong Kong With Love
สำหรับใครที่ชอบบรรยากาศของความเป็นเอเชียต้องมาเช็กอินที่ Mott 32 Bangkok ห้องอาหารสไตล์โมเดิร์นกวางตุ้งในตำนานจากฮ่องกง ที่แค่ทางเข้าก็เต็มไปด้วยความขลังในแบบตะวันออก ซึ่งร้านนี้มีสาขากระจายอยู่ในหลายประเทศ และยังขึ้นชื่อเรื่องอาหารจีนที่อร่อยแบบต้นตำรับมาทำให้กินเอง ดังนั้นเมนูของที่นี่จึงเป็นอาหารจีนที่หลายคนเคยติดใจเวลาเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งต่อไปนี้เราไม่ต้องไปไกลให้เมื่อยอีกแล้ว เพราะแค่นั่ง BTS มาลงที่สถานีช่องนนทรีก็พร้อมอร่อยกันได้เลย
กองทัพติ่มซำที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่คุณภาพพรีเมียมจากทั่วโลก และยังมีไฮไลท์ที่มัดใจนักชิมอย่างเป็ดปักกิ่งรมควันด้วยไม้แอปเปิ้ล หรือหมูแดงไอเบอริโก้ที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ และห้องส่วนตัวซึ่งตกแต่งตามตีมไม่ซ้ำกัน เหมือนได้นั่งอยู่ในฉากหนังฮ่องกงยุค 60s ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบ East Meet West
เดินชมงานศิลปะบางส่วนที่อยู่ในโรงแรมแห่งนี้จนอิ่มใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องขอตัวไปดื่มด่ำกับรรยากาศของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ก่อนจะหลับปุ๋ยที่เตียงนอนสบายของห้องพักที่รอเราอยู่ แต่ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลกับคนที่สนใจอยากลองมาเยี่ยมชมที่ The Standard, Bangkok Mahanakhon กันบ้าง โดยที่นี่ประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสวีททั้งหมด 155 ห้อง มีห้องออกกำลังกาย The Standard Gym สระว่ายน้ำ ห้องประชุมทั้งหมด 4 ห้อง ร้านอาหาร บาร์ และพื้นที่ในการแฮงค์เอาท์จำนวน 6 แห่ง ให้เลือกอิ่มเอมตามสไตล์ของแต่ละคน รวมถึงรูฟท็อปที่มีมาตรฐานเดียวกับที่มีในนิวยอร์กและลอนดอนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เปิดโล่งบนดาดฟ้าที่ดีที่สุดในโลกให้คุณได้ใช้บริการ
หากใครสนใจอยากลองมาเข้าพักที่นี่ไม่ว่าจะเหตุผลว่ามาทำงานหรือพักผ่อนเพียวๆ ตอนนี้เขามีแพ็กเกจ Bite into Bangkok ซึ่งจะให้เครดิตสูงสุด 5,000 บาท สำหรับนำมาใช้ในส่วนของอาหาร เครื่องดื่ม การอัปเกรดห้องพัก หรือคลาสออกกำลังกายส่วนตัวก็ได้ โดยสำรองที่พักได้ถึง 30 กันยายน 2565 ซึ่งเปิดให้จองทางเว็บไซท์ https://bit.ly/3OZMxVE เท่านั้น
The Standard, Bangkok Mahanakhon
address: 114 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม บางรัก กรุงเทพฯ
สามารถเดินทางมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวหรือรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีช่องนนทรี โรงแรมตั้งอยู่ที่คิง เพาเวอร์ มหานคร
โทร. +66 2 085 8888