The PicLic Band วงดนตรีมัธยมหญิงล้วนจากเชียงใหม่ กับการตามหาความฝันบนเวที THE POWER BAND

“หนูอยากจะบอกว่าไม่มีวันนี้เป็นครั้งที่สองนะคะ พยายามไปเลยค่ะ สิ่งที่เราอยากทำ สิ่งที่เราฝัน มันดีนะคะถ้าเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

ประโยคเรียบง่ายจากเด็กสาววัย 15 ที่เชื่อมั่นในความฝันเอ่ยขึ้นอย่างฉะฉาน หลังจากที่เธอกับเพื่อนๆ ได้ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตกับนักดนตรีร็อกระดับประเทศสดๆ ร้อนๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมที่หลงใหลในเสียงดนตรีเท่านั้น

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปที่ THE POWER BAND เวทีการประกวดวงดนตรีสากลระดับประเทศ โดยคิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดขึ้นเพื่อค้นหาสุดยอดวงดนตรีรุ่นใหม่ ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป จากทั่วประเทศ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “THE POWER OF POSSIBILITIES ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้”   

เวทีนี้จึงเต็มไปด้วยความฝันและความหวังของเยาวชนรุ่นใหม่ และ ฟิล์ม-ปณิชา มณีวรรณ นักร้องนำวง The PicLic Band วงดนตรีมัธยมหญิงล้วน 5 คนจากเชียงใหม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น และได้เข้าร่วมการประกวด THE POWER BAND Season 2 จนกลายเป็นวงดนตรีที่แม้ไม่ชนะเลิศแต่มีแววความสามารถมากอีกวงหนึ่ง

ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วง The PicLic Band ก็แสดงให้เห็นว่าทำได้ โดยพวกเธอเป็นหนึ่งในวงดนตรีซึ่งถูกคัดเลือกให้ขึ้นมาร่วมแสดงคอนเสิร์ตร่วมกับ ‘ตูน บอดี้สแลม’ (อาทิวราห์ คงมาลัย) ในคอนเสิร์ตครั้งพิเศษ BODYSLAM “พูดในใจ” THE B SIDE CONCERT พร้อมเสียงปรบมือและเสียงเชียร์จากผู้คนทั่วทั้งฮอลล์ สานต่อพลังความเป็นไปได้

หากวงดนตรีมัธยมที่เต็มไปด้วยความฝัน ความหวัง มิตรภาพ มักเป็นส่วนผสมของหนังวัยรุ่นชั้นดี เรื่องราวของฟิล์ม จากวง The PicLic Band วงดนตรีที่หมายถึงเด็กตัวเล็กๆ ในภาษาเหนือ ก็คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่มีองค์ประกอบเหล่านั้นอย่างครบถ้วน 

เช้าวันหนึ่งหลังเหตุการณ์ที่น่าจดจำไปตลอดชีวิต ฟิล์มจะมาบอกเล่าเรื่องราวที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน ความหวัง และต่อให้ต้องพบกับความยากลำบากอีกกี่ครั้งก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน

รู้สึกยังไงบ้างที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีกับนักร้องมืออาชีพ กับตูน BODYSLAM

ตื่นเต้นมากเลยค่ะ เพราะเป็นประสบการณ์แรกเลย ไม่เคยขึ้นแสดงบนเวทีกับศิลปินมาก่อน ตื่นเต้นแล้วก็ทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็ต้องทำอย่างมืออาชีพเพราะหนูอยากเป็นเหมือนพี่เขา ก็ต้องเรียนรู้ในการทำงานของพี่เขาด้วย ตอนตื่นเต้นก็ลนไม่หยุดเลยค่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดี หนูต้องสงบสติอารมณ์

ถ้าตื่นเต้นแล้วตอนที่แสดงคิดอะไรอยู่เพื่อที่จะทำการแสดงออกมาให้ได้ดี

หนูก็คิดถึงเนื้อเพลงเลยค่ะ เพราะหนูกลัวจำเนื้อไม่ได้ ทำโชว์ได้ไม่ดีพอ หนูก็จะทำให้ได้ดีที่สุด ทำให้คนดูเอ็นจอย

ภาพที่เห็นคนดูเอ็นจอยอย่างที่หวังไว้ไหม

คนดูเอ็นจอยมากเลยค่ะ (เสียงตื่นเต้น) เกินคาดหมายเยอะมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าเขากรี๊ดทั้งฮอลล์เลยค่ะ หนูรู้สึกภูมิใจมาก ณ จุดๆ นั้น

การได้แสดงบนคอนเสิร์ตใหญ่กับศิลปินต้องฝึกซ้อมขนาดไหน

มันก็ไม่แตกต่างจากการซ้อมปกติเท่าไหร่ค่ะ แต่พอได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ต้องซ้อมให้มันเป๊ะ หนูต้องทำให้มันถูกต้องและผิดพลาดน้อยที่สุด ต้องซ้อมเก็บรายละเอียดเหมือนกัน แล้วก็ทำให้มันดีเหมือนกัน แต่แค่เวทีนี้เป็นเวทีที่ต้องใช้ความจำเยอะ แล้วก็ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพเยอะกว่า หนูก็จะดูพี่เขาตั้งแต่ตอนซ้อม เป็นมืออาชีพมากเลยค่ะ เพราะพี่เขาแทบจะไม่ได้คุยเล่นอะไรกันเยอะ เขาก็จะปรับนั่นปรับนี่ ให้โชว์มันดีที่สุด ให้เสียงมันชัด ให้ทุกคนเอ็นจอย

ถ้าให้แนะนำวง The PicLic Band ให้กับคนที่ไม่รู้จักจะแนะนำว่าอะไร

เป็นวงหญิงล้วน แต่ละคนก็มีหลายสไตล์ มี 5 คน กีตาร์ ร้อง เบส กลอง คีย์บอร์ดค่ะ ที่เป็นหญิงล้วนเพราะครูเห็นวงดนตรีทั่วไปจะมีแต่หญิงชาย หรือชายมากกว่า เลยอยากเป็นวงดนตรีหญิงล้วนที่เริ่มเล่นดนตรีประมาณ ป.2-ป.3 ก็จะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เล่นดนตรีค่ะ ตอนนี้แต่ละคนก็ประมาณมัธยมต้นและมัธยมปลายค่ะ

คิดยังไงกับการที่เป็นเด็กผู้หญิงแล้วมาเล่นดนตรีที่ปกติไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

หนูคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ว้าวมาก ยิ่งเป็นเด็กๆ จะไม่ค่อยเห็นค่ะ เพราะหนูเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนเด็กๆ มีแต่คนถามว่า ‘เล่นได้ไง เป็นเด็กก็เล่นเก่งนะเนี่ย’ ตอนแรกทุกคนเล่นอูคูเลเล่กันหมดเลยค่ะ หนูก็เริ่มเล่นตอนอายุประมาณ 6-7 ขวบ ครูจะเอามาซ้อม และมารวมตัวกันได้เพราะครูอยากทำวงเลยได้เป็น The PicLic Band ปัจจุบัน ตอนแรกหนูเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปด้วยแต่ไม่ได้เป็นนักร้องของวง จนมีสมาชิกวงที่ออกไป หนูก็เลยกลายเป็นนักร้อง

แล้วฝึกร้องเพลงจากที่ไหน

หนูร้องเพลงมาก่อนค่ะ ตามงานแข่ง งานประกวด ทั้งเพลงลูกทุ่ง สตริง สากล ที่เลือกร้องเพลงเพราะหนูรู้สึกว่าเมื่อก่อน – พ่อหนูเป็นนักดนตรี แล้วหนูก็ไปห้องซ้อมกับพ่อบ่อย เห็นเขาร้องเพลงก็เลยอยากร้องเพลงบ้าง พ่อก็ให้กำลังใจตลอดว่าร้องเพลงไม่แย่นะ หนูก็เลยฝึกร้องตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ พ่อหนูอยากให้เป็นนักร้อง รู้สึกว่าเสียงหนูก็ไม่ได้แย่ขนาดที่คนอื่นจะฟังไม่ได้ ก็เลยลองฝึกเรื่อยๆ แล้วก็ไปเรียน ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเวทีมา

อะไรทำให้ตัดสินใจยื่นสมัครเข้ามาในเวที THE POWER BAND

ตอนนั้นพี่มือกีตาร์ของเรา พี่กิ๊ฟ (กิ๊ฟซี่-สุทธิดา พันธ์ศรี มือกีตาร์ของวง The PicLic Band) บอกว่าไปเลื่อนเจอในเพจ King Power มันมีการประกวด THE POWER BAND นะ ก็เลยส่งมาในกลุ่มไลน์ของ The PicLic Band ว่าจะไปกันไหม ก็เลยตกลงว่าไปค่ะ (เสียงมั่นใจ) เพราะเป็นเวทีใหญ่และอยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย ตอนแรกหนูก็กังวลเพราะมันมีหลายภาคค่ะ แล้วก็มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย แต่เราก็คิดว่าเราก็ต้องทำได้ค่ะ เวทีนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ดีๆ และอะไรหลายอย่างมากเลยค่ะ

ประสบการณ์ที่ดีจากการประกวดสำคัญกับตัวเองยังไง

หนูอยากไปประกวดเรื่อยๆ ค่ะ ประกวดให้มันดี อยากได้คำแนะนำจากกรรมการ เพราะตอนนั้นหนูยังไม่รู้สไตล์ตัวเองว่ามันเป็นยังไง ร้องแบบไหนได้บ้าง ตอนนั้นก็กังวล กลัวร้องได้ไม่ดีพอ แต่เห็นกรรมการคอมเมนต์ว่าหนูควรจะเติมตรงนี้ หนูก็โอเคค่ะ ยินดี แล้วก็นำไปปรับค่ะ

การผ่านเวทีการประกวด การฝึกซ้อมมาตั้งหลายครั้งมันทำให้เรารู้สึกท้อแท้บ้างไหม

มันมีอยู่แล้วค่ะ ความผิดหวัง เพราะว่ามันไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมาย สมมุติว่าหนูอยากร้องแบบนี้ได้ มันร้องไม่ได้สักที หนูก็ผิดหวังเหมือนกัน เพราะหนูอยากทำให้โชว์มันดีที่สุด นักดนตรีหรือทุกคนก็ทุ่มเทกับการแข่งนี้หนูก็ต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าหนูทำไม่ดีมันก็ผิดหวัง

ถ้ารู้สึกผิดหวังแล้วอะไรที่ทำให้ยังร้องเพลงต่อ

คิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาค่ะ เพราะว่าหนูผ่านอะไรมาเยอะกับ The PicLic Band 7-8 ปีนี้ หนูพยายามมาตลอด ถ้าหยุดตอนนี้มัน.. มันก็ไม่เชิงเสียงดายเวลาที่ผ่านมา เพราะพยายามทำตามความฝันมาตลอด แต่ถ้าหยุดความฝันไปแล้วมันจะไม่มีโอกาสนี้เข้ามาอีก ก็เลยไม่คิดที่จะเลิก อยากให้พ่อแม่ภูมิใจด้วยค่ะ เมื่อก่อนหนูร้องเพลงสากลแทบไม่ได้เลยค่ะ พยายามร้อง แต่ก็จะโดนเขาบอกว่าสำเนียงมันไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนกับครูที่ร้องเพลงสากล ร้องเพลงสตริงโดยเฉพาะ เลยพัฒนาและได้รับคำชมมากขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าได้รับคำชมแล้วก็ต้องมีคำติของบางคนที่บอกว่ายังไม่ดีพอ หนูก็เลยพยายามเรื่อยๆ เลยค่ะ เอาคำติชมมาพัฒนาทุกอย่าง

แล้วจะบอกตัวเองยังไงเวลาต้องเจอความผิดหวัง

พอกลับมาบ้านหนูก็จะบอกว่าเริ่มใหม่ตลอด หนูรู้สึกว่าไม่ต้องเครียด หนูจะไม่เอาเรื่องอื่นมาคิด หนูจะฝึกซ้อม จะไม่รีบเลยว่าจะต้องต้องเป๊ะ ต้องเป๊ะเท่านั้น หนูจะค่อยๆ ไป มันจะได้ของมันเอง หนูชอบพูดว่าไม่ได้ๆ สุดท้ายมันก็ได้ แต่ว่าต้องตั้งใจนิดนึง ไม่ต้องเครียดไปกับมันมาก เพราะดนตรีไม่ได้ให้ความเครียด มันคือความสบาย ตอนที่ร้องเพลงบนเวทีมีความสุขมากเลยค่ะ รู้สึกว่าสิ่งที่ฝันตั้งแต่เด็กมันเป็นความจริงระดับหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าความฝันที่ตั้งใจว่าอยากเป็นศิลปินมันสำเร็จมาแล้วค่ะ

จากวันแรกจนถึงตอนนี้รู้สึกยังไงกับตัวเองบ้าง

รู้สึกว่าเมื่อก่อนมีคนติเยอะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าก็มีคนชมแล้ว หนูรู้สึกภูมิใจมากที่ทำได้ ก้าวข้ามอุปสรรคตัวเองได้ เวลาร้องเพลงสากล หรือร้องเพลงสตริงก็ยากอยู่เหมือนกัน เพราะมันต้องใช้เทคนิค แล้วก็สำเนียงด้วย คำนั้นมันต้องเป๊ะ มันก็ต้องมันต้องเป็นสำเนียงของเขาเลย

ได้อะไรกลับไปบ้างจากการเข้ามาบนเวที THE POWER BAND

เวที THE POWER BAND เป็นเวทีประกวดดนตรีที่มีคุณภาพมากๆ ให้ประสบการณ์หลายๆ อย่างเลยค่ะ เพราะว่าได้พัฒนาในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ร้อง เหมือนกับปีที่แล้วได้ร้องเป็นลูกทุ่ง ได้ลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็ได้เรียนรู้ดนตรีมากขึ้น แล้วก็ได้รับคอมเมนต์จากกรรมการด้วย กรรมการก็บอกว่าร้องโอเคแล้ว เพราะสำเนียงหนูเป็นลูกทุ่ง เขาก็เลยบอกว่าหนูน่าจะร้องสไตล์นี้ได้ หนูก็ลองปรับดู

ในฐานะที่ฟิล์มเป็นคนที่พยายามกับความฝันของตัวเองมากๆ อยากจะบอกอะไรกับคนอื่นๆ ที่มีฝันแต่ยังไม่ลงมือทำเพราะกลัวผิดหวังบ้างไหม

หนูอยากจะบอกว่าไม่มีวันนี้เป็นครั้งที่สองนะคะ ก็พยายามไปเลยค่ะ สิ่งที่เราอยากทำ ที่เราฝัน หนูว่าทำไปเลยค่ะ มันดีนะคะถ้าเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ มันจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เริ่มจากตอนนี้จะได้ประสบการณ์เยอะ สำหรับเวที THE POWER BAND 2023 Season 3 ก็อยากให้สู้ๆ ทุกคน ทำให้เต็มที่ แล้วก็ทำตามความฝันของทุกคนให้สุดๆ เลยนะคะ

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณใครบ้างไหมที่ทำให้มาถึงตรงนี้

ขอบคุณนะคะที่จัดเวทีนี้ให้หนูได้มามีประสบการณ์ หลายๆ อย่าง ทำให้หนูมีความมั่นใจมากขึ้น และทำให้หนูได้รับคำติชมจากคณะกรรมการ ขอบคุณนะคะที่สร้างเวทีนี้ขึ้นมาให้หลายๆ ภาคได้โชว์ศักยภาพดนตรีของแต่ละภาค จะได้เห็นความหลากหลายของดนตรี

AUTHOR