หลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน ในที่สุดก็ได้มีโอกาสชมซีรีส์ 9 รางวัล Emmy Awards ของช่อง HBO ที่ว่ากันว่า เป็น ‘Modern Game of Thrones’ และซีรีส์คุณภาพรอบด้าน ที่จัดจ้านทั้งด้านการแสดง ดราม่า และเกมการแย่งบัลลังก์ซีอีโอบริษัทกันอย่างดุเดือด แต่พอได้ชมเข้าจริงกลายเป็นว่าที่ได้ยินมากลับเป็นเรื่องที่ผิดถนัด Succession คือ Succession ไม่เหมือนเรื่องไหน และไม่มีเรื่องไหน (อยาก) เหมือน
นี่เป็นอีกซีรีส์ดราม่าน้ำดีของช่องที่แกล้งแปะป้ายโตๆ อย่างจงใจว่าตัวเองเป็นดราม่า แต่แท้จริงไส้ในเต็มไปด้วยความตลกร้ายน่าหัวร่อ มุกแซะตัวละครทั้งในจอและคนนอกจอ ทั้งยังนำเสนอชีวิตคนรวยไม่มีหัวใจกับคำพูดจิกกัดสุดเจ็บแสบจนดูแล้วไม่รู้จะขำหรือจะรู้สึกยังไงดี
“เหมือนฉันกำลังถูกล้อมรอบไปด้วยพวกปัญญาอ่อนและเหล่างูพิษ” ประโยคพูดของ Logan Roy ตัวละครที่เปรียบเสมือนแกนกลางของเรื่องพูดประโยคนี้ระหว่างซีซั่น 2 ของซีรีส์ Succession เป็นประโยคที่สรุปภาพรวมของซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างชัดเคลียร์ ในเมื่อทั้งหมดเป็นเรื่องราวของพ่อที่หวงเก้าอี้ กับลูกๆ ที่พร้อมจะจ้วงแทงทั้งข้างหน้าและข้างหลังพี่น้องและพ่อตัวเองไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ กับประโยคพูดและการกระทำตัวละครสุดบ้าบอ
Succession เป็นซีรีส์ช่อง HBO สตูดิโอเจ้าของ Game of Thrones และซีรีส์สายอาชญากรรม-ดราม่าขึ้นหิ้งมากมาย มีซีซั่นละ 10 อีพี ซึ่งซีซั่น 3 กำลังออนแอร์อยู่ในขณะนี้
แนวทางของซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างจะชัดเจน คือการนำเสนอความ dark comedy ผ่านบทสนทนา, ฉากที่ดูเหนือจริง กับการจงใจนำเสนอ ‘ความ asshole (อิงจากคำพูดผู้สร้าง)’ การกระทำสิ้นคิดหรือคิดพิเรนทร์ หรือการทำตัวแสบแบบไม่นึกถึงจิตใจผู้อื่นอย่างสุดโต่ง กับการ ‘ปากร้ายใจหิน’ ของคนรวย
เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวตระกูล Roy เจ้าของ Waystar Royco ธุรกิจสื่ออันดับ 5 ของโลก บริษัทที่มีมูลค่าหลักพันล้าน และการช่วงชิงอำนาจภายในครอบครัวระหว่าง Logan คนพ่อที่ไม่ยอมลงจากตำแหน่งกับ Kendall ลูกชายที่อดีตเคยติดยาแต่ตอนนี้ต้องการจะพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคู่ควร และเขายอมไม่ได้ที่สัญญาไม่เป็นสัญญา รวมถึงพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันในฐานะผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์โดยชอบธรรม
และทั้งหมดเริ่มต้นที่การป่วยกะทันหันของ Logan ที่ทำให้บัลลังก์ว่าง ทันใดนั้นลูกๆ ทุกคนต่างก็อยากจะเล่นเก้าอี้ดนตรีที่มีเก้าอี้ตัวเดียว
“ทำไมผมถึงอยากจะสร้างซีรีส์เกี่ยวกลุ่มคนที่ทำตัวแย่ๆ รวยเป็นบ้า asshole และมีนิสัยใจคอดั่งปีศาจร้ายที่กำลังวางยาพิษสังคมพวกนี้น่ะเหรอ?”
แม้จะมีความเป็น original series และ Jesse Armstrong ผู้สร้างและผู้เขียนบทออกมาปฏิเสธหลายครั้งหลายคราว่าไม่ได้อ้างอิงถึงบุคคลจริงหรือเหตุการณ์จริงใดๆ แต่คำพูดของเขาเองเมื่อพูดถึงแรงบันดาลใจก่อนที่จะมาเป็นซีรีส์เรื่องนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเนื้อหา inspired by true story จากเรื่องราวของตระกูลบิ๊กในวงการสื่อ ไม่ว่าจะเป็นตระกูล Murdoch ที่ก่อตั้งสำนักข่าวชื่อดังอย่าง Fox News, News Corp และ Sky News ในเรื่องของพ่อพี่น้องหลายคน
รวมไปถึงครอบครัว Redstone แห่งสำนักข่าว CBS ที่คนลูกสาวฟ้องบริษัทตัวเอง และการที่ได้ดูสารคดี The Jinx ที่เกี่ยวกับ Robert Durst ทายาทบริษัทอสังหาฯ ที่สู้คดีกับครอบครัวตัวเองและผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย
วันนึงคือ Jesse ได้ไปอ่านเจอว่าหัวเรือใหญ่ของทั้งสองตระกูลสื่อ Rupert Murdoch กับ Summer Redstone ถูกถามด้วยคำถามเดียวกันว่า “คุณจะทำยังไงกับทรัพย์สินของคุณเมื่อคุณจากไป” ทั้งคู่ตอบเหมือนกันว่า “ผมไม่ได้มีแพลนที่จะตาย” นั่นทำให้ Jesse คิดได้ว่าคนพวกนี้มีความเสียดสีประชดประชันอยู่ในตัว เขาจึงสงสัยว่าแล้วในเวลาปกติพวกเขาใช้ชีวิตประจำวันกันอย่างไร
จึงคลอดออกมาเป็นซีรีส์ Succession ในที่สุด และเราจะสามารถสังเกตเห็นความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างต้นแบบเหล่านี้กับครอบครัว Roy ได้อย่างชัดเจน
เอกลักษณ์ของซีรีส์ Succession คือความเซอร์เรียล เราจะเห็นตัวละครทำนิสัยแย่ๆ ใส่กัน โชว์นิ้วกลาง พูด F-word ละลาบละล้วงไม่บันยะบันยังแบบที่แทบจะมาในทุก 1 นาที รวมไปถึงความแปลกประหลาดที่ว่าตัวละครทั้งทำทั้งพูดโจมตีด้อยค่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่นึกถึงคนอื่น ในขณะที่คนฟังหรือคนที่ได้ยินที่ถูกกล่าวถึงกลับปล่อยผ่านและดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าที่ควร
ไม่ว่าจะเป็นการที่ Roman พูดกับพ่อด้วยความเป็นห่วงว่า “ให้ผมไปด้วยมั้ยพ่อ” แล้วพ่อตอบกลับมาว่า “แกอยากจะอมไอจ้อนฉันเหรอไง?”
การที่ Roman พูดกับ Kendall ผู้เป็นพี่ว่า “ฉันคิดว่าสิ่งที่พ่ออยากจะพูดคือ แม่น่าจะคลอดลูกออกมาเป็นที่เปิดกระป๋องนะ เพราะอย่างน้อยมันยังมีประโยชน์”
Kendall พูดถึงพ่อว่า “ดูสิ ไดโนเสาร์กำลังคำรามใส่อุกาบาตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะถูกลบหายไปจากโลก”
กับคำพูดที่ทำให้อยากถามคนเขียนบทว่าคิดได้ไง เช่นที่ Logan พูดว่า “อย่าหาว่าโหดร้ายเลยนะ การเมืองเป็นสิ่งที่ออกมาจากรูก้น และมันไม่ดีกว่าหรือไงที่เราจะอยู่ด้านหน้าแล้วคอยให้อาหารม้าน่ะ?”
ส่วนคนดูนั้นเอามือทาบอกแล้วได้แต่พูดว่า “What?” เพราะในความเป็นจริงเจอพูดอะไรใจร้ายอย่างในซีรีส์ต้องมีน้ำตาไหลกันบ้าง พวกเขาพูดและทำทุกอย่างที่คิดแบบที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน และสิ่งที่ตัวละครครอบครัวนี้ไม่ทำมีแค่เลียแข้งเลียขา มีแต่ด่ากับด่า ถ้าจะมีเลียในแง่ที่ไม่ใช่พูดจาประชดประชัน ก็คงเป็นจากตัวละครอื่น แต่ไม่ใช่จากตัวละครของครอบครัว Roy แน่ๆ
บทสนทนาเหล่านั้นของตัวละครเป็นการเสียดสีอย่างเอ็กซ์สตรีมคล้ายกับการบำบัดจิตให้เลิกด้วยวิธีการยัดเยียดสิ่งนั้นซ้ำๆ ย้ำๆ ให้เราอาเจียนออกมา เพื่อบอกว่าอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงที่จะทำหรือทำต่อผู้อื่นในชีวิตจริง ที่มีทั้งการพูดจาในแบบที่ได้กล่าวไป ติดสินบน ปกปิดความผิด ใช้เงินแก้ปัญหาทุกเรื่อง การต้องมาเล่นเกมในความสัมพันธ์ การเห็นเงิน ชื่อเสียง ตำแหน่ง ดีกว่าคนใกล้ตัว รวมไปถึง การใช้ความรวยในทางที่ผิด
ทั้งหมดที่พูดไปในซีรีส์ทำตรงกันข้ามแทบทุกอย่าง
ความเซอร์เรียลนี้เป็นภาพสะท้อนหลายอย่างของคนรวย และดูจะเป็นเมสเสจที่ซีรีส์ Succession ต้องการจะสื่อผ่านตัวละครที่พร้อมเข้าสู่สนามรบ หรือเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ
ครอบครัว Roy เป็นภาพแทนของคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร’ ทุกคนสามารถย้ายฝ่ายได้เมื่อตัวเอกต้องการและผลประโยชน์เอื้อให้กับตัวเอง กับคำพูดที่ว่า ‘เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว และศัตรูให้ใกล้กว่า’ เพราะไม่มีใครใกล้กว่าคนที่มีสายเลือดเดียวกันอีกแล้ว ไปจนถึง ‘ความลับไม่มีในโลก’ เพราะไม่อาจไว้ใจได้เลยว่าจะเล่าจะพูดอะไรให้ใครฟังได้บ้าง
ตัวละครแต่ละตัวในซีรีส์ถูกออกแบบมาอย่างดีและสะท้อนถึงสมาชิกครอบครัวคนรวยที่พอจะจินตนาการได้อย่างครบเซ็ต ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างสีสันให้กับซีรีส์อย่างฉูดฉาด ไม่ว่าจะเป็นพ่อหัวแข็งอีโก้สูงอย่าง Logan, Conner ที่ใช้ชีวิตรวยไปวันๆ และไม่ได้จริงจังกับอะไรเท่าไหร่ (แต่ใครห้ามมาว่าเขา), ลูกที่ได้รับแรงกดดัน คำสบประมาทและต้องพิสูจน์ตัวเองอย่าง Kendall, ลูกสายเพลย์บอยผู้ดูมีของแต่ทำตัวเกรียนรักสนุกอย่าง Roman และลูกรักของพ่อที่ไม่ได้มีความสามารถเท่าที่ควรแต่มีแต้มต่ออย่าง Shiv
กับญาติที่ต้องการหาผลประโยชน์ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้อย่าง Greg และสามี Shiv ผู้เข้ามาพัวพันธุรกิจครอบครัวแฟนอย่าง Tom ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญไม่น้อยในเกมนี้
อีกจุดนึงที่ทำให้ Succession โดดเด่นคือการเล่าผ่านพฤติกรรม asshole ของครอบครัว Roy กับการพูดจาร้ายๆ แรงๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ก็อยากหยิบยกงานวิจัยกับการแชร์ประสบการณ์ที่เคยอ่านมาพูดอ้างอิง ว่าทำไมถึงมีคำพูดว่าคนรวยมักเป็น asshole และทำไมตระกูล Roy เป็นเหมือนท่อที่จะลำเลียงประเด็นนี้มาตีแผ่ได้จี๊ดยิ่งนัก
อย่างแรกคืองานวิจัยนึงที่พูดถึงความ elite หรือความเป็นชนชั้นผู้นำของคนรวย ที่นำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและนำในแง่ของความเป็นมนุษย์ พวกคนรวยสามารถที่จะใช้ชีวิตโดยให้มันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เกิดกระทบกับคนวงกว้างได้ ในขณะที่ชนชั้นล่างการกระทำของพวกเขา (จริงๆ ต้องบอกว่าพวกเรา) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสังคมเท่านั้น
อย่างที่สองคือการแชร์ประสบการณ์ในเว็บไซต์ Reddit จากคนที่ทำงานคอลเซ็นเตอร์ ที่เล่าว่าชนชั้นแรงงานหรือชนชั้นกลางมีแนวโน้มมากกว่าที่จะทำตัวดีกับผู้อื่น รวมถึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเห็นอกเห็นใจ (sympathy) มีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ตั้งใจฟัง และทำความเข้าใจอะไรได้ง่าย ในขณะที่คนรวยไม่ค่อยมีปัจจัยเหล่านั้น ทำตัวงี่เง่ากว่า และเข้าใจอะไรยาก ต้องได้ดั่งใจ
กับอีกงานวิจัยที่โด่งดังที่ระบุว่า คนบนรถสปอร์ตหรือรถหรูราคาแพง มีแนวโน้มที่จะเหยียบเบรก ชะลอ ให้ทาง หรือหยุดให้คนเดินเท้าน้อยและรถคันอื่นน้อยกว่า และมันสัมพันธ์กับราคารถ ยิ่งแพงเท่าไหร่ พวกเขายิ่งมีโอกาสที่จะทำสิ่งนี้น้อยลงเท่านั้น
ทั้งสามตัวอย่างบ่งบอกอะไร?
บ่งบอกว่าคนรวยบางคนสามารถทำสิ่งที่พวกเขาทำเพราะพวกเขาทำได้ ความเคยชินกับความเหนือกว่า ความสำคัญกว่า ความสั่งการ ความที่คนไม่สามารถตำหนิอะไรพวกเขาหรือพูดตรงๆ ด้วยได้เนื่องจากสถานภาพทางสังคม ตำแหน่ง ฐานะ การไม่มีคนมาเบรกมาหยุดพวกเขา และการมีปัญหาอะไรก็แก้ด้วยเงินได้ อาจทำให้เกิดความเคยชินจนเกิดการพูดจาและการกระทำที่ดูจะเกินคำว่าตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ Succession ยังเป็นการพูดถึงประเด็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ (Dysfunctional Family) ของคนรวยได้อย่างน่าสนใจ
ตัวละครทุกตัวล้วนมีส่วนในการถ่ายทอดความเป็นจริงที่ว่า ความสัมพันธ์จะน่ากลัวขึ้นเมื่อมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่ว่าทุกคนจะนั่งชิดกันอย่างไรในโต๊ะกินข้าว ส่องด้วยกล้องส่องทางไกลดูจากระยะไกลหลายกิโลก็สังเกตได้ว่าพวกเขาดูเกร็งและไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันทางใจเท่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นการตอบแบบคิดหนักคิดนาน หรือการที่ต้องเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ทำให้เป็นเช่นนั้นคือเงินที่มีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผลักแยกพวกเขาให้ออกห่างกันมากขึ้นๆ เท่านั้น
เราจะได้เห็นตัวละครทำสีหน้าและท่าทีไม่ไว้ใจ (distrust), เสแสร้งและสร้างภาพกันตลอดเวลา (pretend), ทรยศหักหลัง (betrayal) ได้ตลอดเวลากับมีท่าทีกระอักกระอ่วน (awkward) กันบ่อยครั้ง และยังเหมือนจะสนิทแต่ก็ไม่สนิท เหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้รู้จักกันดี
การเล่นเกมในทุกความสัมพันธ์ไม่ช้าก็เร็วจะนำไปสู่การพังทลายเพราะไม่มีใครค้ำฟ้าในเกมเกมนึงไปได้ตลอด แต่สำหรับครอบครัว Roy ไม่ได้คิดถึงตรงนั้น การฉวยสิ่งที่พวกเขาฉวยได้คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย พวกเขามีชีวิตชีวาจากการเล่นเกม ทุกคนคิดแต่ว่านาทีนี้พวกเขาจะต้องได้ในสิ่งที่พวกเขาอยากได้ หลังจากที่เติบโตมากับเงินทองข้าวของที่อยากได้อะไรในโลกก็เอาเงินซื้อได้ แต่การได้รับการยอมรับภายในครอบครัวกันเองคือสิ่งเดียวที่ซื้อไม่ได้
จำนวนเงินกับงาน อีโก้คนรวย ความเอาแต่ใจ และความรับผิดชอบในระดับที่ใหญ่ ก็เหมือนในโลกความจริงที่ว่า เมื่อสิ่งเหล่านี้มากขึ้นกับเวลาที่น้อยลง มันกระทบต่อความสัมพันธ์ให้ห่างเหินกันและอาจทำให้ความสัมพันธ์ล้มเหลวได้
และเมื่อสังเกตก็จะเห็นได้ว่าสมาชิกครอบครัว Roy แต่ละคน ทั้งที่ดูมีทรัพย์สินรวยล้นฟ้า มีชื่อเสียงหน้าตาที่มากับนามสกุล ที่พวกเขากลับดูมีสิ่งเหล่านั้นมากเกินไปจนรู้สึกขาด หัวใจพวกเขามีรูโหว่ ทำให้อะไรที่ดูแปลกใหม่หรือให้ความอบอุ่นพอที่จะเติมช่องว่างในใจได้ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์
ไม่ว่าจะเป็นการที่ Shiv กลับไปหาแฟนเก่า แถมบอกสามีในวันแต่งงานว่าเธอต้องการไม่ผูกมัดหรือลองอะไรใหม่ๆ หวือหวาที่ Tom ไม่โอเค หรือ Roman ที่ชอบสาวใหญ่ และ Kendall ที่ต้องพึ่งยาเสพติดเพราะเขาทำไม่ได้ตามที่พ่อคาดหวัง กับต้องพิสูจน์ตัวเองให้ดูมีคุณค่า หรือ Conner พี่คนโตที่ดูเหลาะแหละสุดในบรรดาพี่น้องทุกคน ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีเด็กเลี้ยงไปไหนมาไหนด้วย ทำจริงจังแต่ไม่จริงจัง อยากสำคัญ อยากมีบท และจู่ๆ อยากเป็นประธานาธิบดีก็เทกแอ็กชั่นเลย
ซึ่งหากจะให้มอบตำแหน่งตัวละครที่ยอดเยี่ยมที่สุด แม้จะเลือกยากและตัวละคร Logan ก็เป็น asshole ที่ไร้หัวใจ (heartless) ได้สุดทางในแบบของเขาดี ก็ต้องขอมอบตำแหน่งให้ตัวละคร Kendall ที่ซีรีส์ให้น้ำหนักเป็นเหมือนพระเอกของเรื่องแบบกลายๆ ด้วยมิติของตัวละคร กับความเป็นไก่รองบ่อนกับตัวละคร loser จะทำการใหญ่แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่น่าเอาใจช่วยให้ยืดอกและโค่นพ่อของเขาให้สำเร็จ
หนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดในซีรีส์เรื่องนี้และบ่งชี้ DNA ของ Succession ได้ดีในฐานะหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของเรื่องเช่นกัน คือฉากในท้ายซีซั่น 2 ที่ทุกคนต้องมานั่งหาว่าใครจะเป็นคนรับผิดแทนบริษัทออกสื่อแล้วติดคุกเพื่อให้บริษัทและครอบครัวเดินหน้าอย่างเต็มภาคภูมิขณะกินข้าวบนเรือ เป็นฉากสุดตลกร้ายที่ตัวละครต่างก็ให้เหตุผลว่าทำไมคนอื่น (ที่นั่งหัวโด่อยู่ที่โต๊ะเดียวกัน) ถึงควรเป็นคนนั้น
เป็นฉากที่เรียกได้ว่าทั้งขำทั้งจุกแทน
ฉากนี้ไม่ต่างอะไรไปกับ Red Wedding ในซีรีส์ Game of Thrones แต่ต่างตรงที่เป็นการหยิบมีดมาแทงมาฆ่ากันเอง และหลังจากจบเหตุการณ์ ทุกคนโชกเลือด ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกคนดู เพราะตัวละครเรื่องนี้รีเซ็ตอารมณ์กันง่ายยิ่งกว่ากดรีสตาร์ทมือถือ)
สุดท้ายมาถึงเรื่องที่ว่าทำไมถึงมีคนชอบซีรีส์เรื่องนี้มากมายขนาดนี้ และทำไมซีรีส์ถึงได้รับรางวัลและคำชม ทั้งๆ ที่ซีรีส์อุดมไปด้วยตัวละครที่มีคำพูดและการกระทำที่ร้ายกาจจนถึงน่ารังเกียจ
เรื่องนี้ Dr. Ted Nannicelli นักสังคมวิทยาและนักเขียนหนังสือ มีสมมติฐานว่าความน่าสนใจและความสนุกที่ได้จากเรื่องนี้มาจากวิธีการเล่าเรื่อง แม้ตัวละครจะมีนิสัยไม่น่าคบเท่าไหร่ แต่พวกเขามีมิติ กับภายใต้ไดอะล็อกที่ฟาดฟันเชือดเฉือน ไม่ว่าจะหยาบคายแค่ไหนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าดำเนินไปอย่างฉลาดและเฉียบคม
Tom Streeter ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Western University ผู้เชี่ยวชาญและผู้ศึกษาด้านสื่ออย่างแตกฉาน กับ Dr. Laura Grindstaff ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย University of California ก็เสริมเช่นกันว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นความบันเทิงเริงใจอย่างหนึ่ง ในแง่ที่ทำให้คนดูแม้จะไม่ได้รวยเท่าตัวละครแต่ก็รู้สึกปวดหัวไปกับสิ่งที่ตัวละครพบเจอและเป็นอยู่
จนเกิดความคิดเหนือกว่าแบบที่ว่า ‘ไอ้พวกนี้ไม่สมควรได้อะไรกันสักคน’ และเลือกได้ก็ไม่อยากเป็นหนึ่งในคนพวกนี้ เพราะเท่าที่เห็น พวกเขาดูไม่มีความสุขเอาซะเลย มีแต่ความเกลียดชัง หมั่นไส้ อิจฉา และจ้องจกฉกตลอดเวลา โดยเฉพาะตัวละคร Tom ผู้เป็นลูกเขย Logan และสามีของ Shiv ที่ค่อนข้างทรมานกับการที่ต้องมาเป็นหนึ่งในครอบครัวที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอย่าง Roy
Succession เป็นเหมือนสวนสนุกธีมคนรวยที่เต็มไปด้วยการทำร้ายให้ช้ำชอก (abuse) ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือลงมือทำ รวมไปถึงการใช้ผลประโยชน์ (capitalize) จากบุคคลหรือสถานการณ์หนึ่งๆ ราวกับเป็นเกมเดินหมาก เป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อยที่เราจะได้เห็นได้ชมการฟาดฟันกรีดแทงกันเองของตัวละครเหล่านี้ เพราะโดยปกติเหล่านายทุนและชาว elite ทำสองสิ่งนี้กับคนในระดับที่อยู่ล่างกว่า และทำมันในสเกลประเทศ
ในซีรีส์เรื่องนี้ เราจึงจะได้เห็นพวกเขาทำทั้งสองอย่างกันเองในสเกลครอบครัว ภายในบริษัท และภายในบ้านของครอบครัวตระกูล Roy ที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ความบันเทิงอย่างแปลกประหลาดเกิดจากบทสนทนา และการติดตามดูระหว่างทางว่าพวกเขาจะแผลเหวอะขนาดไหน ด้วยวิธีใด จากคนในครอบครัวเดียวกัน และเรื่องราวดูจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แบบฉุดไม่อยู่โดยเฉพาะซีซั่น 3
เป็นเรื่องราวของครอบครัวคนปากร้ายไร้หัวใจในชุดสูทราคาแพงที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง