The Killers กับบทเพลงที่ไม่เคยสมบูรณ์แบบในอัลบั้ม Imploding The Mirage

Highlights

  • Imploding The Mirage คือสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของ The Killers ตำนานวงอินดี้จากลาสเวกัส ใช้เวลา 3 ปีหลังจากอัลบั้มที่แล้ว ด้วยสไตล์อัลเทอร์เนทีฟ ซินธ์-ป๊อปพร้อมกับเสียงสังเคราะห์มากมายในอัลบั้ม
  • เป็นอัลบั้มแรกที่สมาชิกของวงเหลือเพียง 3 คน เพราะ Dave Keuning ขอพักการทำวงตั้งแต่ปี 2017 โดยให้เหตุผลว่าต้องการทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองอย่างที่เพื่อนๆ ทำบ้าง รวมถึงต้องการรักษาสมดุลของชีวิต หลังจากออกทัวร์คอนเสิร์ตมายาวนานกว่าสิบปี
  • ก่อนที่ The Killers จะปฏิเสธความสมบูรณ์แบบของดนตรี สมาชิกทั้งสี่ได้แยกย้ายกันไปทำไซด์โปรเจกต์ของตัวเอง ในแนวทางที่แต่ละคนสนใจ ทำสลับไปมากับอัลบั้มเต็มของ The Killers เพื่อค้นหาอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่ามันไม่มีอยู่จริง

ความสมบูรณ์แบบจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อชีวิตของเราสิ้นสุดลงไปแล้วแบรนดอน ฟลาวเวอร์ส นักร้องนำขวัญใจมวลมหาประชาชนของวง The Killers เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ขึ้นปกนิตยสาร Q ครั้งแรกในปี 2009

The Killers เป็นวงดนตรีในยุคหลัง Y2K ที่มีศักยภาพเพียงพอให้ผู้คนได้สัมผัสถึงแนวทางเฉพาะตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะในอเมริกา ที่อยากได้ยินอะไรใหม่ๆ สดๆ แต่ไม่ละทิ้งซึ่งความพิถีพิถัน และความประณีตในการทำเพลง การบรรจบกันของดนตรีบริตป๊อปยุคท้ายๆ ผสมเข้ากันกับโพสต์พังก์รีไววัล แกล้มด้วยกลิ่นอายดนตรีอิเล็กทรอนิกเล็กน้อย เพียงพอให้ชื่อของ The Killers ก้าวขึ้นมาเป็นวงร็อกแถวหน้าฝั่งอเมริกาได้ตั้งแต่อัลบั้มแรก Hot Fuss ในปี 2004

อย่างไรก็ดีระยะเวลาการทรงตัวในวงการดนตรีโลกของพวกเขา ที่ถึงแม้จะมีอายุอานามปาเข้าไปเกือบ 20 ปี มีชื่อเสียงที่มาจากทั้งงานเพลงและนิสัยส่วนตัว แต่ภาวะของการเรียนรู้ ยังไม่หายไปจากตัวตนของคณะนักฆ่ากลุ่มนี้แม้แต่น้อย ความกระหายที่จะทดลองสิ่งใหม่เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เสมอ

ด้วยน้ำเสียงเยินยอเช่นนี้ แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ที่ได้จากการฟังและติดตามคณะดนตรีกลุ่มนี้มาตลอดระยะเวลา 17 ปี

ทุกครั้งที่คุณฟัง The Killers คุณจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของบริตป๊อป ผสมกับท่าทีที่เกรี้ยวกราดแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อก มีเมโลดี้ติดหู ฟังง่าย แต่ก็มีริฟต์กีตาร์ที่ดุดัน ยังไม่พูดถึงอีกหลากหลายอิทธิพลทางดนตรี ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งในวงดนตรีของยุคสมัยและอยู่ในดวงใจใครหลายคน

 

กลับสู่จุดเริ่มต้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘The Killers’ ชื่อนี้ไม่ได้เป็นแค่วงหลอกๆ ที่มีอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลง Crystal ของวงดนตรีในตำนาน New Order เท่านั้น หากแต่เป็นวงจริงๆ เลือดเนื้อเชื้อไขอเมริกันในสำเนียงเพลงอังกฤษที่แจ้งเกิดเมื่อนานมาแล้ว

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 2002 หลังจากที่แบรนดอนถูกไล่ออกจากวงซินธ์ป๊อป นามว่า Blush Response ด้วยเหตุผลว่าไม่ยอมเดินทางไปตั้งรกรากที่ลอสแอนเจลิสร่วมกันกับวง พร้อมกันกับที่ Dave Keuning มือกีตาร์ของ The Killers ได้ประกาศหานักร้องนำให้กับวงดนตรีในลาสเวกัส

แบรนดอนเป็นคนเดียวที่ตอบกลับมาหลังจากเห็นประกาศหาสมาชิก และเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่พวกคนบ้า คอยป่วนประกาศของคนอื่นๆเดฟเล่า ขณะที่ Mark Stoermer และ Ronnie Vannucci Jr. ได้เจอกับพวกเขาโดยบังเอิญในไลฟ์เฮาส์แห่งหนึ่งหลังจากที่พวกเขาเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ ก่อนจะร่วมหัวจมท้ายกันมาจนถึงทุกวันนี้

The Killers ใช้เวลาในช่วงทำอัลบั้มแรกออกทัวร์ด้วยการเล่นเป็นวงเปิดให้กับวงอังกฤษ British Sea Power ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเล็กๆ ในลอนดอนนามว่า Lizard King เพื่อช่วยทำ EP แรก ที่มีซิงเกิลสำคัญอย่าง Mr. Brightside ส่งให้พวกเขาโด่งดังจนฉุดไม่อยู่ ทุกฟอร์แมตของแทร็กดังกล่าวถูกขายหมดเกลี้ยง นั่นเป็นเหตุผลที่ในเวลาต่อมา The Killers เซ็นสัญญากับค่ายยักษ์ใหญ่ Island Records ซึ่งเป็นบริษัทลูกโดยตรงของ Universal Music

อัลบั้ม Hot Fuss (2004) และ Sam’s Town (2006)

หากต้องเท้าความความสำเร็จของ The Killers ที่เกิดขึ้นในช่วงแรก คงต้องย้อนไปตั้งแต่ซิงเกิลแรกของวงเมื่อกลางปี 2004 แทร็ก Mr. Brightside ติดท็อป 10 ของชาร์ตเพลงในอังกฤษ ขณะที่ซิงเกิลที่ 2 Somebody Told me ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 5 ของชาร์ต Billboard ในอเมริกา แน่นอนว่าผ่านไปหลายปีทั้งสองเพลงนี้ถูกรีมิกซ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เข้าท่าบ้าง ที่ไม่เข้าท่าก็มีอยู่มาก แต่ที่แน่ๆ ได้กลายเป็นเพลงประจำฟลอร์เต้นรำทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น The Killers ยังก้าวไปเป็นวงเฮดไลน์ (วงดนตรีที่มักจะได้เล่นเป็นวงท้ายๆ ในเทศกาล และมีชื่อวงขนาดใหญ่อยู่บนโปสเตอร์) ทั้ง T in the Park และเทศกาลระดับตำนาน Glastonbury ในช่วงการทัวร์อัลบั้มที่สอง Sam’s Town

The Killers ผ่านร้อนหนาวมามากมาย ตั้งแต่ยุค Y2K จนมาถึงยุคของโซเชียลมีเดีย พวกเขาก็ยังคงเป็นวงที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ของมาตรฐานการทำดนตรี และยังมีแฟนเพลงเหนียวแน่นและรักใคร่พวกเขาเสมอ

จะว่าไปแล้ว ถึง The Killers จะออกอัลบั้มมาอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มีโชว์ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

17 กันยายน 2561 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี คลาคล่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่วัยรุ่นไปยันวัยชรา แม้บัตรจะ sold out ช้าไปบ้าง หากเทียบกับวงดนตรีหลายวงในช่วงนั้น แต่ของที่ระลึกก็ขายหมดเกลี้ยงก่อนเริ่มงาน แน่นอนว่า The Killers ไม่พลาดที่จะสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ ชาวไทยอย่างเต็มที่ เพราะเซตลิสต์ในวันนั้นขนมาตั้งแต่อัลบั้มแรก มาจนถึงอัลบั้ม Wonderful Wonderful อัลบั้มล่าสุดที่แสดงให้เห็นความโรยราจนปิดอาการเหนื่อยล้าของวงเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

ไม่ต้องบอกก็รู้ หลายๆ คนคงคิดเหมือนกันว่า The Killers ‘หมดแล้ว ทั้งไอเดียทำเพลง พลังในการทัวร์คอนเสิร์ต และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิก

แต่แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ในกรณีของวงดนตรียิ่งแล้วใหญ่ มีจุดจบที่หลากหลาย แต่ในกรณีของ The Killers ค่อนข้างจะแปลกไปสักหน่อย เพราะการที่สมาชิกวงแทบจะออกทัวร์กันอย่างไร้ความพร้อมเพียง 3 คนบ้าง 2 คนบ้างตามแต่สะดวกเหล่านี้สร้างความน่าเสียดายให้กับแฟนเพลงโดยเฉพาะจากประเทศโลกที่สามอยู่ไม่น้อย

 

Are we human or are we dancer?

ครั้งหนึ่งฟรอนต์แมนของทรีโอแบนด์อย่าง Keane เคยพูดถึงคณะนักฆ่าเอาไว้อย่างน่าสนใจว่าสิ่งที่ทำให้ The Killers ยืนหยัดและชัดเจนในสิ่งที่พวกเขาทำคือเพลงของเขามันมีแสงอยู่ในนั้น ฟังแล้วมันมีพลัง มีความหวังถึงจะริบหรี่

ใช่ครับ สไตล์ที่หาตัวจับยากของ The Killers คือมันจะมีแทร็กที่ฟังแล้ว ‘ใจขึ้นอยู่เกือบทุกอัลบั้ม จึงอาจไม่เป็นที่ปรารถนาสักเท่าไหร่สำหรับประชาชนสายดาร์กและเสพติดความเจ็บปวด เพราะแทบทุกเพลงของ The Killers มีเนื้อหาและภาคดนตรีที่เป็นพลังบวกแทบทั้งสิ้น

ที่มาภาพ: NME

ในแง่ของดนตรี แน่นอนว่าการได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากวง New Order หรือตำนานจากแมนเชสเตอร์อย่าง The Smiths และแม้กระทั่ง The Cure จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ 4 หนุ่มจากลาสเวกัส จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับวงร็อกในยุคเดียวกันอย่าง The Bravery และการที่พวกเขาหน้าตาดีแถมแต่งตัวเนี้ยบกันทุกคน จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกันที่พวกเขาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับวงลูกหลานไฮโซอย่าง The Strokes (ทั้งๆ ที่ภาคดนตรีนั้นแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ฮา)

แต่ไม่ว่าใครจะเอา The Killers ไปเปรียบเทียบกับใคร ที่แน่ๆ เลยก็คือพวกเขาเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จจากอิทธิพลดนตรีนิวเวฟจากยุค 80s และโพสต์มิลเลนเนียลโมเดิร์นร็อกมาเต็มๆ

ที่มาภาพ: Buzz Magazine

อย่างไรก็ดีภายใต้ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟและอิเล็กโทรร็อกที่ฟังดูครื้นเครงสนุกสนานเรายังสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงจังของพวกเขาผ่านเนื้อเพลงที่ส่วนใหญ่ว่าด้วยเรื่องราวความกลัดกลุ้มและความกังวลใจของวัยรุ่นและไม่ว่าจะผ่านไปกี่อัลบั้มตัวตนเหล่านี้ก็ยิ่งถูกย้ำชัดขึ้นเรื่อยๆ

แต่นั่นแหละ 17 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก วงร่วมรุ่นล้วนทยอยล้มหายตายจากกันไปทีละราย ทั้งในแง่ของการทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตจริง ทว่าระหว่างทาง The Killers ไม่ได้หายไปเงียบๆ และใช้ชีวิตอู้ฟู่ตามวิถีที่ร็อกสตาร์ควรจะเป็น แต่ทั้ง 4 หนุ่มกลับขะมักเขม้นกับการทำไซด์โปรเจกต์ (ผลงานเดี่ยวที่ไม่ได้ออกในนามของวง) ของตัวเอง

ตัวอย่างอัลบั้มเดี่ยวของสมาชิก The Killers ที่ทุกคนมีผลงานของตัวเอง

เริ่มด้วยแบรนดอนคนแรกที่ขอหยุดพักการทำงาน หลังทัวร์โปรโมตอัลบั้ม Day & Age (2008) อันแสนยาวนานได้จบลง เพลงที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้าและระหว่างทัวร์ ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเขา Flamingo (2010) ก่อนที่อีก 5 ปีให้หลังจะตามมาด้วยอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สอง The Desired Effect (2015) ที่ผสมผสานดนตรีนิวเวฟ ซินธ์ป๊อป และโพสต์พังก์รีไววัลเอาไว้ได้อย่างกลมกล่อม

ปกติแล้วผมมีวิธีการแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาหลายวิธี ด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง วันที่แตกต่าง เสียงที่แตกต่าง และวัตถุดิบที่แตกต่าง ถ้าวันนี้ผมรู้สึกสบายใจ ผมก็จะทำแบบนี้ แต่ถ้าไม่ มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง งานเดี่ยวของผมคือความรู้สึกจริงๆ ของชีวิตผม ณ ตอนนั้นเลยแบรนดอนอธิบาย

รอนนี่มือกลองก็ไม่น้อยหน้า ฟอร์มวงที่ชื่อว่า Big Talk ในสไตล์โพสต์กรันจ์ ก่อนจะเข็นอัลบั้มเดี่ยวชื่อเดียวกับวงออกมาในปี 2011 และ Straight In No Kissin’ ในปี 2015 ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์เพลงในอเมริกาไปไม่น้อย

ส่วนเดฟ มือกีตาร์ของวงที่กำลังพักการทำงานไปอย่างไม่มีกำหนด เพิ่งปล่อยอัลบั้มเดี่ยวแรกของตัวเองไปเมื่อปีที่แล้วชื่อว่า Prismism ในสไตล์เพลงอิเล็กทรอนิกป๊อป ผสมกับซินธ์ป๊อปและเสียงสังเคราะห์จำนวนมากได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดีสวนทางกับยอดขายและทัวร์ที่น้อยมากๆ จนแทบจะไม่มีเลย

แต่พูดก็พูดเถอะ งานของมาร์ก สโตร์นี มีกลิ่นอายความขบถมากที่สุด เมื่อเทียบกับไซด์โปรเจกต์ของสมาชิกในวง มาร์คทำอัลบั้มเดี่ยวมากที่สุดในบรรดาสมาชิก ทั้ง Another Life (2011) และ Dark Arts (2016) สองอัลบั้มแรกนั้นเวอร์ชั่น Limited ขายหมดเกลี้ยงทุกฟอร์แมต และถ้าให้สารภาพตามตรง อัลบั้มของมาร์ก ก็เป็นไซด์โปรเจกต์ที่ผู้เขียนรักมากที่สุด โดยเฉพาะอัลบั้มล่าสุด Filthy Apes and Lions (2017) เป็นงานมาสเตอร์พีซที่ฟังดีไม่มีเบื่อเลยจริงๆ 

จะเห็นว่าสมาชิกทั้งสี่ แยกย้ายกันไปทำเพลงในสไตล์ที่ตัวเองสนใจในแต่ละช่วงเวลา พวกเขาพยายามทลายกรอบการทำงานของตัวเอง ไม่ทำเพลงตามที่กระแสช่วงนั้นนิยม จึงไม่น่าแปลกใจที่อัลบั้มเดี่ยวของพวกเขาแทบจะไม่มีแทร็กที่อยู่ใน Bilboard หรือชาร์ตเพลงใดๆ ก็ตาม นี่อาจเป็นคำตอบสำคัญต่อคำถามใหญ่ที่พวกเขาเคยถามเอาไว้ในเพลงที่ดังที่สุดเพลงหนึ่งของวง

“Cut the cord, are we human or are we dancer?แท้จริงเราเป็นมนุษย์ที่มีอิสระ หรือเราเป็นเพียงแค่ผู้คนที่พร้อมจะทำตามทุกสิ่งที่สังคมกำหนดเหมือนๆ กัน ฉะนั้นปลดเปลื้องพันธนาการต่างๆ เสียเถอะ

แทร็ก Human ในอัลบั้มที่ 3 สร้างปรากฏการณ์เอาไว้มากมาย ทั้งรางวัลเพลงยอดเยี่ยมประจำปีจากนิตยสารต่างๆ ในอเมริกา ขึ้นสูงสุดอันดับที่ 6 ใน Billboard และเป็นเพลงที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดอันดับ 39 ในปี 2009 โดยแทร็กนี้แบรนดอนได้รับแรงบันดาลใจมาจากประโยคคลาสสิกของนักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกัน Hunter S. Thompson ที่เคยเขียนเอาไว้ว่า

“We’re raising a generation of dancers”
ผู้คนในยุคนี้กำลังทำสิ่งต่างๆ ไปในทางเดียวกันหมด

อาจฟังดูเป็นการแก้ตัว แต่สิ่งที่ผู้ฟังรู้สึกกับ The Killers ในอัลบั้มที่ 4 และ 5 นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามแผ้วถางหนทางใหม่ๆ เพื่อทำเพลงในแบบที่พวกเขารู้สึกและสนุกกับมันมากกว่าหยุดอยู่กับที่และทำสิ่งที่พวกเขาก้าวผ่านความสำเร็จมานานแล้ว

เส้นทางของ The Killers นั้นราวกับว่าไม่เคยหยุดนิ่ง และทำเพลงแบบสูตรสำเร็จ จึงต้องยอมรับว่าเอาเข้าจริงวงก็ไม่ได้แคร์กลุ่มคนฟังที่เป็นแฟนเพลงยุคดั้งเดิมเท่าไหร่ สไตล์การทำเพลงที่บุกไปข้างหน้า หยิบสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเข้ามาลองอยู่เสมอดูจะเป็นสิ่งที่วงปรารถนา

ไม่ว่า The Killers จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของภาคดนตรีไปขนาดไหน เชื่อว่าหากเราได้ยินเสียงอินโทรขึ้น และมีน้ำเสียงของแบรนดอนแทรกขึ้นมาแล้ว ต้องบอกว่ายังไงก็จำได้ และพูดให้ถึงที่สุดหากนับตั้งแต่อัลบั้ม Day & Age นี่เป็นอีกครั้งที่ The Killers สร้างมาสเตอร์พีซให้กับตัวพวกเขาเอง 10 แทร็กในอัลบั้มนี้ ควรค่าแก่การฟัง เพื่อเติมความหวังให้ชีวิต ในช่วงท้ายของปีอันโหดร้ายปีนี้

 

ทลายกำแพงและก้าวออกจากพื้นที่ที่ (ไม่เคย) สมบูรณ์แบบของตนเอง

ประโยคที่ว่าไม่มีสูตรสำเร็จและความสมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องของดนตรีเหมาะที่จะอ้างอิงถึงคณะนักฆ่ากลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกครั้งที่ The Killers ถูกถามว่าชอบอัลบั้มไหนของวงมากที่สุด คำตอบที่ได้นั้นเหมือนกันทุกครั้ง คือ พวกเขาชอบอัลบั้มล่าสุดนั่นหมายความว่าทุกๆ ครั้งที่เริ่มทำอัลบั้มใหม่ วงเองก็พยายามไปให้ถึงความสมบูรณ์แบบที่ตั้งใจเอาไว้ และเมื่อเวลาผ่านไป ก็พบว่าที่ผ่านมาเพลงของวงนั้นไม่เคยสมบูรณ์แบบ

เราแทบจะจำวิธีการทำงานของอัลบั้มแรกๆ ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าวิธีการไม่ซ้ำรอนนี่อธิบายถึงการทำอัลบั้มในช่วงที่ผ่านมา

เราคิด (ไปเอง) ว่าอัลบั้มนี้มันน่าจะดีที่สุดที่เคยทำมา จนไปถึงช่วงที่เริ่มทำอัลบั้มหน้า เราก็จะคิดแบบนี้อีก (หัวเราะ) วนซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไอ้คำว่าเพอร์เฟกต์มันไม่มีจริงหรอกแบรนดอนเสริม

ผลงานเพลงในชุดแรกๆ ของพวกเขาผ่านการดูแลของ Alan Moulder ผู้อยู่เบื้องหลังตำนานเพลงชูเกสอย่าง The Jesus and Mary Chain และ Ride ไล่มาที่ Stuart Price ที่แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ เพราะอัลบั้มของ Madonna, Pet Shop Boys และ Kylie Minogue ผ่านมือโปรดิวเซอร์มือฉมังผู้นี้มาแล้วทั้งสิ้น

จนมาถึงปัจจุบันที่ได้ Jonathan Rado โปรดิวเซอร์หัวก้าวหน้าเจ้าของวง Foxygen และ Shawn Everett จาก The War On Drugs มาดูแลการผลิตอัลบั้มทุกขั้นตอน เราจึงมั่นใจได้ว่าทุกๆ กระบวนการทำเพลงนั้นนอกจากจะไม่มีสูตรสำเร็จแล้วก็แทบจะไม่มีความจำเจปะปนอยู่เลย

Imploding The Mirage กลับมาพร้อมกับ 3 สมาชิกที่เหลือ (เอาเข้าจริงมาร์กเองก็อาจจะไม่ได้มีใจเต็มที่กับวงสักเท่าไหร่ สังเกตจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่แกแทบไม่ออกทัวร์กับวงเลย สวนทางกับ Dave ที่แม้จะไม่ได้มีส่วนในการทำอัลบั้มเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฟอร์มวง แต่การทัวร์ของเขาก็สม่ำเสมอกว่ามาร์กอยู่มากโข) และทำอัลบั้มกันในสตูดิโอถึง 3 แห่ง ทั้งในลาสเวกัสและลอสแอนเจลิส

แน่นอนว่าผมอยากเล่นกีตาร์ให้กับวงที่ประสบความสำเร็จระดับโลก แต่ขณะเดียวกัน สมดุลในการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ และตอนนี้ผมก็ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงนะ ไม่ได้หายไปไหนเดฟให้เหตุผลสั้นๆ แต่เชื่อว่าทำเอาเหล่าบรรดา Victims (ชื่อเรียกกลุ่มแฟนคลับเดนตายของ The Killers) เจ็บช้ำหลายพันราย

อย่างไรก็ดีท่ามกลางความโกลาหลของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผลงานหลายชิ้นของนักดนตรีต้องจำใจเลื่อนวันเปิดตัว วันจำหน่าย และแน่นอนรวมถึงวันเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต รวมถึง Imploding The Mirage เองก็เช่นเดียวกัน จากแผนเดิมที่ตั้งใจจะปล่อยอัลบั้มในช่วงปลายเดือนเมษายน ต้องเลื่อนวันดีเดย์มาไกลถึงวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา

ปลายเดือนเมษายน พวกเขาเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรกของอัลบั้ม Caution นำโด่งมาด้วยเสียงกีตาร์ชวนฝัน ต่อด้วยจังหวะกลองเร่งเร้าคอยสอดประสานกันไปมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองเครื่องดนตรีรักษาความสมดุลพร้อมเริ่มต้นอัลบั้มด้วยเรื่องเล่าสมัยวัยรุ่นของแบรนดอนที่ตั้งเป้าพุ่งตรงไปยังความฝันอย่างไร้ความกังวลต่อคำเตือนใดๆ ทั้งสิ้น นับเป็นครั้งแรกที่วงตัดสินใจทำมิวสิกวิดีโอแบบ Visualizer ด้วยข้อจำกัดที่ไม่สามารถถ่ายทำมิวสิกวีดีโอได้อย่างปกติเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ตามมาด้วยซิงเกิลที่สองในต้นเดือนมิถุนายน Fire in Bone ให้ความหนืดและความหน่วง ควงคู่ไปด้วยกันทั้งในภาคร้องและภาคดนตรี เสียงเบสที่หนึบและหนักแน่น ผสานเสียงสังเคราะห์ที่ช่วยขับเน้นความหม่นหมองในช่วงต้นของเพลง ก่อนจะเข้าสู่ท่อนฮุกที่แบรนดอนได้ปล่อยพลังอีกครั้ง เป็นอีกซิงเกิลที่ฟังไม่กี่รอบก็ติดหูได้ไม่ยาก

The Killers เบรกอารมณ์ความสนุกเอาไว้ด้วยความไพเราะ ผ่านซิงเกิลที่สาม My Own Soul’s Warning แทร็กที่มีเสียงสังเคราะห์น้อยที่สุดในอัลบั้ม เหมือนฟังอยู่ใต้หินผาที่มีลมเย็นคอยพัดผ่าน กล่อมให้มีความนุ่มนวลที่เป็นผลมาจากเมโลดี้ แต่ริฟต์กีตาร์ก็ให้ความมีชีวิตชีวาเข้ามาทดแทน

หลายแทร็กในอัลบั้มชุดนี้โดยเฉพาะกับ Running Towards A Place ยอดเยี่ยมพอจะกลายเป็นงานอินดี้ร็อกคลาสสิกในอนาคต หรือแทร็กเด่นอื่นๆ เช่น Lightning Fields ที่เสียงร้องของ k.d. lang ศิลปินคันทรี่ชาวแคนาดามีเคมีที่เข้ากับแบรนดอนมากๆ รับบทเป็นคุณแม่ของแบรนดอนได้อย่างเรียบเนียน เพราะแบรนดอนตั้งใจเขียนเพลงนี้เพื่อชื่นชมความรักที่มั่นคงยาวนานของพ่อและแม่ ในแง่นี้ k.d. lang จึงมาร่วมแจมเพลงนี้ในฐานะคุณนายฟลาวเวอร์สอย่างชัดเจน

ส่วนแทร็กที่ 9 ‘When the Dreams Run Dry’ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำอัลบั้มชุดนี้ด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมจริงๆ ครึ่งแรกของเพลงเราจะเห็นกลิ่นอายของ The Killers ในวัยหนุ่มที่ชัดเจนมากๆ ขณะที่ครึ่งหลังเป็น The Killers เวอร์ชั่นผู้ใหญ่ กร้านโลก พร้อมกระโจนเข้าหาความท้าท้ายใหม่ๆ เทคนิคหลายอย่างจึงถูกโยนใส่เข้ามาทั้งเสียงโซโล่กีตาร์ โน้ตเสียงสูงจากคีย์บอร์ด เสียงสังเคราะห์ และวิธีการร้องแบบกอสเปล คลอด้วยเสียงคอรัสที่หนาและมีพลังมากๆ

ไฮไลต์ของอัลบั้มกลับกลายเป็นแทร็กที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้ม ‘Imploding The Mirage’ และเป็นแทร็กที่ 10 ปิดท้ายสรุปภาพรวมของอัลบั้มทั้งหมดเอาไว้ได้ดีมากๆ Imploding The Mirage พูดถึงการก้าวออกจากความกลัวของตัวเอง ผลักพรมแดนของชีวิตออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่ามันเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่แบรนดอนผู้เขียนเนื้อเพลงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันคุ้มค่า

“Sometimes it takes a little bit of courage and doubt to push your boundaries out beyond your imagining… While you were out there weighing odds I was imploding the mirage.”

ในบางครั้งเราอาจต้องใช้ความกล้าในการผลักเพดานความกลัวให้เหนือกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้และในขณะที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังชั่งใจอยู่ ฉันก็ก้าวข้ามความกลัวเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว

พูดได้ว่าเป็นแทร็กที่มีความป๊อปที่สุดในอัลบั้ม ทั้งฟังง่าย เข้าใจง่าย ให้ความรู้สึกใจขึ้นอย่างที่ Keane กล่าวเอาไว้ เป็นอีกแทร็กที่ควรค่าแก่การฟังสดมากๆ

สรรเสริญเยินยอไปพอหอมปากคอมคอ สิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าเสียดายใน Imploding The Mirage คืออัลบั้มนี้คงจะน่าตื่นเต้นมากกว่านี้ หาก The Strokes ไม่ชิงออกอัลบั้ม ‘The New Abnormal’ ออกมาเสียก่อน แต่ก็นับเป็นคู่ชิงอัลบั้มร็อกยอดเยี่ยมของปีที่สมน้ำสมเนื้อกันมากๆ

ตอนจบของอัลบั้มชุดนี้จะเป็นการจบแบบ happy ending เพราะผมไม่ต้องการให้คนฟังรู้สึกหดหู เราผ่านเวลาที่ยากลำบากกันมามากแล้ว ผมต้องการให้ผู้คนได้สัมผัสกับความรู้สึกว่ากำลังมีหวัง เราต้องแสดงให้ความมืดมนเห็นว่าแสงสว่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งแค่ไหน ในฐานะศิลปินที่มีอัลบั้มใหม่ ยิ่งต้องมีความหวัง หวังว่าเพลงของเราจะช่วยเยียวยาผู้ฟังในช่วงเวลาที่มืดมิดเช่นนี้แบรนดอนทิ้งท้าย

นอกจากนี้ด้วยความที่ Imploding The Mirage ค่อนข้างฟังง่ายหากเทียบกับอัลบั้มชุดที่ 4 และ 5 เพราะก่อนหน้านี้แฟนเพลงขาจรนั้นแทบจะบอกเลิกรากับ The Killers ไปอยู่แล้ว ก็เข้าใจได้ว่าทำอัลบั้มที่ชวนหาวนอนออกมาในอัลบั้มที่แล้ว แต่หากฟังอัลบั้มนี้จนจบแล้วยังไม่หันกลับมาสนใจพวกเขาอีกก็นับว่าใจแข็งน่าดู

หากจะมีข้อด้อยอยู่บ้างก็ตรงที่ไม่มีเพลงไหนในอัลบั้มที่โดดเด่นและติดหูง่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง และคงเป็นเรื่องยากที่จะก้าวขึ้นมาได้รับความนิยมในวงกว้างได้ง่ายนัก เมื่อเทียบกับสมัยที่พวกเขายังวัยรุ่น ทว่าหากไม่สนใจเรื่องแบบนั้น Imploding The Mirage นับเป็นอัลบั้มอัลเทอร์เนทีฟ ซินธ์-ป๊อปชั้นยอดที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

 

อ้างอิง

NME

Pitchfork

Popmatters

The Guardian

The Sunflower

AUTHOR