The Impressionists
ย้อนไปสมัยโน้น เราเป็นเด็กคนหนึ่งที่เริ่มวาดรูปจากภาพเบสิกอย่างภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้า พระอาทิตย์ก้อนเมฆและนก อย่างที่เด็กๆ ทุกคนก็วาดกัน โตขึ้นมาอีกนิดก็เริ่มวาดผู้คน และสิ่งของเครื่องใช้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เจอในชีวิตประจำวันด้วยสีสันที่สดใสเกินจริง สลับกับการวาดภาพสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยไปมา หรือบางทีนึกสนุกก็ขนอุปกรณ์ง่าย ๆ ไปวาดตามสถานที่จริง แต่ไม่ได้เน้นความเหมือนจริง ตั้งใจจะสังเกตสิ่งต่างๆ เก็บบรรยากาศและความรู้สึกช่วงนั้นผ่านภาพวาดเฉย ๆ
ฉันเพิ่งรู้หลังจากทำแบบนั้นมาสักพัก ตอนเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะว่ามีลัทธิที่ชื่อว่า ‘อิมเพรสชั่นนิสม์’ เป็นผู้บุกเบิกวิธีการทำงานแบบนี้มานานแล้ว จึงเริ่มหาอ่านเกี่ยวกับลัทธิศิลปะที่ว่านี้มากขึ้น และได้รู้ว่าอิมเพรสชั่นนิสม์ไม่ได้เป็นเพียงภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้น แต่มันมาพร้อมกับการปฏิวัติวงการศิลปะครั้งสำคัญเลย!
แต่ก่อนหน้าจะมีลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ วงการศิลปะในยุคนั้นถูกจำกัดพื้นที่ในการแสดงผลงานศิลปะผ่านค่านิยมของสถาบันวิจิตรศิลป์ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะในยุคนั้น ซึ่งตัวสถาบันจะทำหน้าคอยกำหนดกรอบให้ศิลปะต้องพูดถึงเรื่องสูงส่งและสำคัญ เช่น สังคมและศาสนาต่างๆ แสงต้องดูเสมือนจริง สัดส่วนต้องสมบูรณ์แบบ ทำให้ศิลปินที่ทำงานในสไตล์อื่นๆ ไม่มีพื้นที่และไม่ได้รับโอกาสสักเท่าไหร่นัก ถ้าเปรียบสถาบันวิจิตรศิลป์ในยุคนั้นกับปัจจุบัน ก็คงเหมือนหอศิลป์สักแห่งที่เป็นอนุรักษ์นิยมและมักจะนำเสนอศิลปินที่ทำงานศิลปะในแง่มุมและสไตล์เดิมกับที่เคยจัดแสดงอยู่แล้ววนไปมา
ก่อนหน้าจะมีลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ วงการศิลปะในยุคนั้นถูกจำกัดพื้นที่ในการแสดงผลงานศิลปะผ่านค่านิยมของสถาบันวิจิตรศิลป์ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะในยุคนั้น ซึ่งตัวสถาบันจะทำหน้าคอยกำหนดกรอบให้ศิลปะต้องพูดถึงเรื่องสูงส่งและสำคัญ เช่น สังคมและศาสนาต่างๆ แสงต้องดูเสมือนจริง สัดส่วนต้องสมบูรณ์แบบ ทำให้ศิลปินที่ทำงานในสไตล์อื่นๆ ไม่มีพื้นที่และไม่ได้รับโอกาสสักเท่าไหร่นัก ถ้าเปรียบสถาบันวิจิตรศิลป์ในยุคนั้นกับปัจจุบัน ก็คงเหมือนหอศิลป์สักแห่งที่เป็นอนุรักษ์นิยมและมักจะนำเสนอศิลปินที่ทำงานศิลปะในแง่มุมและสไตล์เดิมกับที่เคยจัดแสดงอยู่แล้ววนไปมา
ศิลปินหัวขบถ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้มีศิลปินกลุ่มหนึ่งไม่พอใจกับการกำหนดกรอบงานศิลปะแบบนี้ของสถาบันวิจิตรศิลป์ จึงรวมกลุ่มกันต่อสู้ทางแนวคิดและแสดงออกทางศิลปะในรูปแบบใหม่ๆ โดยมี เอดูอาร์ มาเนต์ (Edouard Manet) เป็นตัวตั้งตัวตีในการรวมตัวศิลปินและเกิดเป็นศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ พวกเขาคิดว่าการวาดรูปจากสถานการณ์และสถานที่จริงนั้นมีสเน่ห์กว่า งานศิลปะของพวกเขาจึงเล่าเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น สถานที่ สิ่งของ หรือผู้คนที่พบเจอในชีวิตประจำวัน
มากกว่าเรื่องราวที่เล่าผ่านงานศิลปะที่เปลี่ยนไปแล้ว จากแนวคิดหัวขบถที่ต้องการฉีกกฎความเนี้ยบ ความสมบูรณ์แบบของศิลปะแบบเดิม งานในยุคนี้มักจะเห็นทีแปรงชัด ใช้สีเหนือจริง สัดส่วนไม่ตรงกับของจริงบ้าง สำหรับฉันคิดว่าตั้งแต่ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์เป็นต้นไป ศิลปะเริ่มสนุก ดูมีชีวิต และเปิดกว้างมากขึ้น
เมื่อพูดถึงอิมเพรสชั่นนิสม์ จะไม่พูดถึง โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ก็คงไม่ได้ โมเนต์เป็นศิลปินที่ฉันชอบมากอันดับต้นๆ เคยเห็นภาพบ้านและสวนสวย ๆ ของโมเนต์และคิดอย่างตื้นเขินว่าเขาคงมีชีวิตที่สุขสบายจึงมีแรงบันดาลใจในการวาดรูป แต่จริง ๆ แล้วเส้นทางการเป็นศิลปินของโมเนต์ ก็สู้มาเยอะเหมือนกัน555 ถือว่าเป็นศิลปินไม่กี่คนที่ได้มีชีวิตสุขสบายได้ใช้เงินจากการเป็นศิลปินในขณะที่มีชีวิตอยู่และมีเชื่อเสียง รู้แบบนี้ก็รู้สึกยินดีกับเขาไปด้วยเลย
นอกจากนี้ หลังจากที่ฉันเล่าคร่าวๆแล้วว่าลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์มีที่มาส่งผลต่อวงการศิลปะยังไง อยากบอกทุกคนว่าตอนนี้มีนิทรรศการ The impressionist ที่คัดเลือกศิลปินเด่น ๆ 10 คน มาจัดแสดงให้ดูแบบจัดเต็มโดยจะมีห้องฉายภาพและโมชั่นกราฟิกขนาดใหญ่ลงผนังและพื้น สามารถนั่งดูเพลินๆ หรือเดินดูเรื่อยๆ นานแค่ไหนก็ได้ (แต่ออกแล้วออกเลยนะ ตัดสินใจดีๆ ก่อนออก55) ก่อนเข้าชมมีประวัติสั้นให้อ่านทบทวนเพื่อเพิ่มอรรถรสด้วย อย่าลืมอ่านนะ หรือถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะลองสอบถามพี่สตาฟฟ์ หรือให้พี่สตาฟฟ์พาชมก็ได้ค่ะ
อิมเพรสชั่นนิสม์
อยากบอกว่า ถ้าให้เลือกยุคศิลปะในประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ชอบมากที่สุด แน่นอนว่าชื่อของลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์คงจะโผล่ขึ้นมาเป็นคำตอบแรกอย่างไม่ต้องคิดเยอะ ด้วยสีสัน เทคนิค และบรรยากาศในภาพที่ชวนผ่อนคลาย เห็นภาพของพวกเขาทีไรก็รู้สึกสบายใจและใจเย็นลงอย่างบอกไม่ถูก แถมด้วยความรู้สึกชื่นชมเมื่อคิดว่าศิลปินกลุ่มนี้หัวขบถ ต่อสู้จนวงการศิลปะเกิดการเปลี่ยนแปลง นึกถึงทีไรก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นทุกที
เพราะเหตุนี้เองทำให้มีศิลปินกลุ่มหนึ่งไม่พอใจกับการกำหนดกรอบงานศิลปะแบบนี้ของสถาบันวิจิตรศิลป์ จึงรวมกลุ่มกันต่อสู้ทางแนวคิดและแสดงออกทางศิลปะในรูปแบบใหม่ๆ โดยมี เอดูอาร์ มาเนต์ (Edouard Manet) เป็นตัวตั้งตัวตีในการรวมตัวศิลปินและเกิดเป็นศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ พวกเขาคิดว่าการวาดรูปจากสถานการณ์และสถานที่จริงนั้นมีสเน่ห์กว่า งานศิลปะของพวกเขาจึงเล่าเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น สถานที่ สิ่งของ หรือผู้คนที่พบเจอในชีวิตประจำวัน
และนอกจากเรื่องราวที่เล่าผ่านงานศิลปะจะเปลี่ยนไปแล้ว จากแนวคิดหัวขบถที่ต้องการฉีกกฎความเนี้ยบ ความสมบูรณ์แบบของศิลปะแบบเดิม งานในยุคนี้มักจะเห็นทีแปรงชัด ใช้สีเหนือจริง สัดส่วนไม่ตรงกับของจริงบ้าง สำหรับฉันคิดว่าตั้งแต่ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์เป็นต้นไป ศิลปะเริ่มสนุก ดูมีชีวิต และเปิดกว้างมากขึ้น
เมื่อพูดถึงอิมเพรสชั่นนิสม์ จะไม่พูดถึง โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ก็คงไม่ได้ โมเนต์เป็นศิลปินที่ฉันชอบมากอันดับต้นๆ เคยเห็นภาพบ้านและสวนสวย ๆ ของโมเนต์และคิดอย่างตื้นเขินว่าเขาคงมีชีวิตที่สุขสบายจึงมีแรงบันดาลใจในการวาดรูป แต่จริง ๆ แล้วเส้นทางการเป็นศิลปินของโมเนต์ ก็สู้มาเยอะเหมือนกัน555 ถือว่าเป็นศิลปินไม่กี่คนที่ได้มีชีวิตสุขสบายได้ใช้เงินจากการเป็นศิลปินในขณะที่มีชีวิตอยู่และมีเชื่อเสียง รู้แบบนี้ก็รู้สึกยินดีกับเขาไปด้วยเลย
ฉันอยากบอกทุกคนว่าตอนนี้มีนิทรรศการ The impressionist ที่คัดเลือกศิลปินเด่น ๆ 10 คน ตั้งแต่ยุค impressionisim – neo impressionism ไปจนถึง post-impressionism (ประกอบไปด้วย เอดูอาร์ มาเนต์ (Edouard Manet) โคลด โมเนต์ (Claude Monet) เอ็ดการ์ เดอกาส์ (Edgar Degas) ออกุสต์ เรอนัวร์ (Auguste Renoir) อ็องรี เดอ ตูลูส-โลเทร็ค (Henri De Toulouse-Lautrec) อ็องรี รูสโซ (Henri Rousseau) จอร์จ เซอราต์ (George Seurat) ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ (Vincent Van Gogh) ปอลล์ เซซานน์ (Paul Cezanne) และ ปอล โกแก็ง (Paul Gauguin) มาจัดแสดงให้ดูแบบจัดเต็มโดยจะมีห้องฉายภาพและโมชั่นกราฟิกขนาดใหญ่ลงผนังและพื้น สามารถนั่งดูเพลินๆ หรือเดินดูเรื่อยๆ นานแค่ไหนก็ได้ (แต่ออกแล้วออกเลยนะ ตัดสินใจดีๆ ก่อนออก55) ก่อนเข้าชมมีประวัติสั้นให้อ่านทบทวนเพื่อเพิ่มอรรถรสด้วย อย่าลืมอ่านนะ หรือถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะลองสอบถามพี่สตาฟฟ์ หรือให้พี่สตาฟฟ์พาชมก็ได้ค่ะ
ยุคศิลปะในประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ชอบมากที่สุด แน่นอนว่าชื่อของลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์คงจะโผล่ขึ้นมาเป็นคำตอบแรกอย่างไม่ต้องคิดเยอะ ด้วยสีสัน เทคนิค และบรรยากาศในภาพที่ชวนผ่อนคลาย เห็นภาพของพวกเขาทีไรก็รู้สึกสบายใจและใจเย็นลงอย่างบอกไม่ถูก แถมด้วยความรู้สึกชื่นชมเมื่อคิดว่าศิลปินกลุ่มนี้หัวขบถ ต่อสู้จนวงการศิลปะเกิดการเปลี่ยนแปลง นึกถึงทีไรก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นทุกที