Alice Wu เล่าให้ฟังในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า ตอนกำกับ Saving Face (2004) หนังเรื่องแรก เธอไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องทำหนังที่แตกต่างจากเรื่องอื่นหรือสร้างสิ่งใหม่ให้ฮอลลีวูด ณ ตอนนั้นการทำหนังรอมคอมว่าด้วยความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงที่มีตัวเอกเป็นคนจีน-อเมริกันถือว่าหาดูได้ยากยิ่ง (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น)
วูบอกว่าเธอแค่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน มีเชื้อสายเอเชียน-อเมริกัน และเพียงอยากทำหนังที่มีคาแร็กเตอร์หลักเป็นคนที่คนดูไม่ค่อยเห็นกันบนจอเท่านั้น ความเซอร์ไพรส์คือหลังจากวันที่หนังออกฉาย คนดูจำนวนมากซึ่งมาจากต่างที่ ต่างพื้นเพ ล้วนบอกว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับหนังของเธอ ตอนนั้นเองที่ทำให้วูรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำนั้นสำคัญ และอาจเชื่อมโยงกับหลายคนได้มากกว่าที่เธอคิด
ปณิธานการทำหนังแบบนี้ยังถูกใช้กับเรื่องใหม่ แม้วูจะเว้นช่วงมานานกว่า 16 ปี
และแน่นอนว่า The Half of It คือหนังที่ไม่ได้สำคัญกับเธอเท่านั้น แต่เรื่องนี้ยังสำคัญกับใครหลายคนในแง่มุมที่แตกต่างจาก Saving Face

Netflix
ในขณะที่ Saving Face เล่าเรื่องหญิงสาวเอเชียวัยทำงานที่ตกหลุมรักกันท่ามกลางแสงสีของเมืองใหญ่ The Half of It เขยิบมาเล่าเรื่องของตัวละครที่อายุน้อยกว่าและอาศัยในเมืองขนาดเล็กกว่าอย่างสควอมิช ที่ซึ่ง Ellie Chu (Leah Lewis) เด็กสาวชาวเอเชียย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านติดรางรถไฟตามพ่อผู้ฝันอยากเป็นวิศวกรใหญ่ แต่ด้วยอุปสรรคทางภาษา เขาจึงต้องเริ่มต้นจากการเป็นนายสถานีรถไฟเพื่อรอโอกาส อยู่ได้ไม่กี่ปีแม่ของเธอก็ตาย นับจากวันนั้นพ่อก็เหมือนจมอยู่กับห้วงความเศร้าจนไม่อยากลุกมาทำอะไร และความฝันของพ่อคงไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว
เหมือนถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เอลลี่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนให้สัญญาณรถไฟแทนพ่อจนเพื่อนที่โรงเรียนตั้งฉายา เอลลี่ ชู-ชู! (อารมณ์เสียงรถไฟฉึกกะฉัก ปู๊นๆ แต่ซับไทยแปลว่า เอลลี่ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ) เธอใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน คิดอยู่เสมอว่าจะต้องอยู่เมืองเล็กๆ นี้กับพ่อไปจนตาย และถึงจะเรียนอยู่ปีสุดท้าย เธอก็ไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย
แต่ปีสุดท้ายของไฮสคูลนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเอลลี่เปลี่ยนไป เริ่มต้นจากเรียงความปรัชญาความรักที่เธอรับจ้างเขียนให้เพื่อนร่วมคลาสแลกกับเงินอย่างลับๆ วันหนึ่ง Paul Munsky (Daniel Diemer) หนุ่มนักกีฬาท่าทางซื่อบื้อคนหนึ่งก็มาจ้างให้เธอเขียน ‘จดหมายรัก’ ถึงหญิงสาวอีกคน
เรื่องนี้จะเรียบง่าย จดหมายจะถูกเขียนขึ้นแค่ฉบับเดียวแล้วจบ ถ้าไม่ติดว่าเธอแอบรักหญิงสาวคนนั้น

Netflix
นี่คือเรื่องของตัวละครอีกแบบหนึ่ง
The Half of It คือหนัง coming of age ที่คล้ายเป็นส่วนผสมของ The Perks of Being a Wallflower (2012) กับ Love, Simon (2018) ในแง่ของการเล่าเรื่องเด็กสาวผู้แอบรักเพศเดียวกันแต่ไม่กล้าบอก คาแร็กเตอร์ของเธอจัดอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ถึงกับเป็นลูสเซอร์ แต่ก็ไม่ได้ป๊อบปูลาร์
พูดตามตรงว่าถ้าไปอยู่ในหนังเรื่องอื่น ตัวละครแบบนี้จะเป็นได้แค่เพื่อนตัวเอกหรือตัวประกอบเท่านั้น นอกจากการล้อเลียนเรื่องเสียงรถไฟและการที่ใครต่อใครพึ่งพาเธอเรื่องการเรียน เอลลี่ก็ถูกจัดเป็นคนประเภทที่คนอื่นมักจะมองข้ามเพราะเธอช่างแสนธรรมดา ไม่น่าสนใจไปซะทุกด้าน ซึ่งในโลกความจริงเด็กแบบเอลลี่อาจมีจำนวนมากกว่าเด็กที่ป๊อบปูลาร์หรือลูสเซอร์ก็ได้
“ตั้งแต่เด็กฉันแทบจะไม่ได้ดูหนังที่ตัวละครเอกเป็นคนเชื้อสายเอเชีย-อเมริกัน” ลีอาห์ ลูวิส ย้ำว่าการได้สวมบทบาทเป็นเอลลี่เป็นมากกว่าการแสดงหนังเรื่องหนึ่ง เพราะนี่อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เด็กสาวเชื้อสายเอเชีย-อเมริกันจะได้เห็นตัวละครคล้ายตัวเองรับบทนำในหนังเมนสตรีม “เรื่องของพวกเขาควรค่าแก่การถูกเล่า เพราะในโลกความจริงพวกเขาคือตัวเอกในหนังชีวิตของตัวเอง และพวกเขาก็เผชิญปัญหาที่เอลลี่กำลังเจออยู่จริงๆ”

Leah Lewis, ผู้กำกับ Alice Wu, Daniel Diemer – Photo Credit: Netflix / KC Bailey
นี่คือเรื่องของความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง
ถ้าดูแค่ตัวอย่างหนัง หลายคนอาจเดาว่านี่คงเป็นหนังไฮสคูลประเภท 1 หนุ่ม 2 สาว ที่เป็นรักสามเส้าแน่ๆ
เราไม่อยากสปอยล์บทสรุปของเรื่อง จึงไม่อาจบอกว่าข้อสันนิษฐานนั้นถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆ นอกจากเส้นเรื่องความรักแบบคู่รักแล้ว The Half of It ยังฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก ครู-ศิษย์ และเพื่อนต่างเพศ
ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นพัฒนาการของเอลลี่และพอลที่เริ่มต้นด้วยการรู้จักกันเพราะอีกฝ่ายจ้างให้เขียนจดหมายรัก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนามาเป็นเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แชร์เรื่องส่วนตัวให้กันฟัง จนกลายเป็นคนสนิทที่หวังดีต่อกันทุกเรื่อง ระหว่างทางเราเอาใจช่วยเอลลี่สลับกับตกหลุมรักความบ้องตื้นของพอล รู้ตัวอีกทีก็แทบจะอยากเทปมยุ่งเหยิงเรื่องรักสามเส้าทิ้งไป แล้วให้ทั้งคู่อยู่กันฉันเพื่อนสนิทไปนานๆ

Netflix / KC Bailey
ว่ากันตามตรง ความสัมพันธ์ของสองตัวเอกแทบจะเป็นพล็อตหลักของหนัง และพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะวูเล่าในการสัมภาษณ์หนึ่งว่า เธอตั้งใจให้หนังเป็นเรื่องของมิตรภาพระหว่างเลสเบี้ยนกับชายแท้ (straight) ซึ่งหลายคนมักมองว่าเป็นไปได้ยาก
“ฉันดูหนังรักเยอะมากและทุกเรื่องพยายามเทิดทูนความรักแบบโรแมนติก การตามหาคนที่จะใช้ชีวิตกับเราจนแก่เฒ่าคือเรื่องที่ต้องทำ แต่เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในชีวิตของตัวเอง ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ที่สำคัญกับตัวฉันไม่ใช่รักโรแมนติกเสียทีเดียว
“ตอนฉันเปิดตัวว่าเป็นเลสเบี้ยน เพื่อนสนิทที่เป็นชายแท้ซัพพอร์ตฉันเป็นอย่างดีทั้งๆ ที่เราต่างกันมาก ทุกคนคิดว่าเราอยู่ด้วยกันต้องเดตกันแน่ๆ แต่ความจริงเราไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย ฉันคิดว่าความสัมพันธ์รูปแบบนี้มีเรื่องน่าสนใจให้สำรวจล่ะ” วูจึงหยิบประสบการณ์ตรงของเธอมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสองตัวละครเอกเพื่อยืนยันว่า ความรักบริสุทธิ์แบบไม่มีกรอบเรื่องเพศมาจำกัด (platonic love) มีจริง

Netflix
นี่คือเรื่องของความรักอีกแบบหนึ่ง
เมื่อดูจบ เราอาจพูดได้ว่า The Half of It มีองค์ประกอบที่เราคาดหวังจากหนัง coming of age ดีๆ สักเรื่อง เราชอบคาแร็กเตอร์ตัวละครที่ฉายความน่ารักกับข้อบกพร่องได้ชัดเจนพอกัน ดนตรีประกอบเพราะๆ กับบรรยากาศที่ไม่ได้สดใสมากแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น การดำเนินเรื่องไม่หวือหวาแต่ค่อยๆ กุมใจเราให้อินทีละนิด ฉากเปิดใจของตัวละครที่ไม่ฟูมฟาย และบทสรุปที่ยิ้มได้แบบมีน้ำตาผสมหน่อยๆ
และที่ชอบที่สุดคือมุมมองความรักที่ตั้งคำถามกับคำว่า ‘คู่แท้’ ตั้งแต่ชื่อเรื่อง เราชาชินกับความเชื่อว่าทุกคนมีคู่แท้ ซึ่งถูกฉีกแยกออกจากตัวเราตั้งแต่เกิด ภารกิจของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งคือการตามหาอีกครึ่งของตัวเอง แต่เอลลี่ไม่ได้เชื่อแบบนั้น
“ความรักไม่ใช่การอดทน เมตตา และถ่อมตน ความรักคือความยุ่งเหยิง เลวร้าย เห็นแก่ตัว และกล้าหาญ มันไม่ใช่การตามหาคู่แท้ของเรา แต่คือการพยายามและการล้มเหลว
“ความรักคือการยินดีที่จะทำลายภาพวาดดีๆ ที่เราวาดขึ้นเพื่อโอกาสที่จะวาดภาพชิ้นใหม่ที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม”
ความรักอาจเริ่มต้นหรือถูกทำลายได้จากการเอ่ยปากบอกรักใครสักคน แต่ไม่ว่ามันจะออกหัวหรือก้อยก็คงไม่เป็นไร เพราะในท้ายที่สุดเอลลี่ก็ได้ค้นพบบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เธอได้รับจากพอล หนุ่มนักกีฬาท่าทางซื่อบื้อคนหนึ่งที่จ้างให้เธอเขียนจดหมายรักถึงหญิงสาวอีกคน
บทเรียนที่บอกเธอว่า ความรักไม่ใช่การตามหาความสัมพันธ์แบบคู่รักเพื่อให้รู้สึกเติมเต็ม ชีวิตของเราเติมเต็มได้ด้วยความสัมพันธ์รูปแบบอื่นที่มีค่าไม่แพ้กัน และมันคงไม่เป็นไรหรอกมั้งถ้าเราจะไม่ได้เจออีกครึ่งหนึ่งของตัวเอง

อ้างอิง