Thai Heritage คือธุรกิจที่ นิ้ง–ปริศนา มั่นเภา ตั้งใจทำขึ้นเพื่อขายความเป็นไทย เพราะไม่อยากจำกัดประเภทของสินค้าที่ตัวเองขาย หากลองกดเข้าไปในเพจร้านค้าอย่าง Thai Heritage ขนมไทยนวัตกรรม จะพบว่ามีสินค้าหลายชนิดปะปนรวมกันอยู่ บ้างก็ขายร่วมกัน และบ้างก็ขายแยกชิ้น ทั้งน้ำอบน้ำปรุง ขนมไทยอย่างสาคูไส้หมู สาคูไส้ปลา ข้าวตังเมี่ยงลาว และจานชามลายคราม
“ทุกวันนี้ก็ไม่ถึงกับลงตัวนะ ยังศึกษาอยู่” คือคำที่เธอบอกเล่าถึงธุรกิจออนไลน์ที่ทำมานานกว่า 2 ปี จากวันที่ความรู้ด้านนี้เริ่มจากศูนย์ ลองผิดลองถูก เจ็บตัวจากการซื้อโฆษณา กระทั่งวันนี้ที่มีความสุขจากคำชมและการตอบรับของลูกค้า
เราขอพาคุณนั่งโต๊ะ ชิมขนมไทย เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจแบบมือใหม่ ที่รักษาปณิธานไว้ว่าจะไม่ทำอะไรเกินตัวไปพร้อมๆ กัน
ร้านขนมไทยในโลกออนไลน์
Thai Heritage เริ่มต้นก่อตั้งขึ้นในปี 2561 โดยไม่มีหน้าร้านเช่นเดียวกันกับปัจจุบันนี้ ภาพแรกที่เราเห็นหลังคำบอกเล่าว่ามาถึงสถานที่นัดหมายแล้วของหญิงเจ้าของแบรนด์จึงเป็นภาพที่เธอนั้นหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งจานชามที่บรรจุกล่องมาอย่างดีและสารพัดเมนูขนมไทยที่ตั้งใจนำมาให้เราชิม
บ้านของนิ้งเป็นบ้านไทย-ไทย หมายรวมถึงทั้งพ่อและแม่เป็นคนไทย เธอเองถูกเลี้ยงดูมาแบบไทยๆ แม้ครอบครัวจะไม่ได้ลงลึกด้านวัฒนธรรมไทยอย่างเข้มข้น หรือเจนจัดด้านอาหารถึงขนาดมีสูตรจากในรั้วในวัง แต่ขนมไทยอันเป็นสินค้าหลักของ Thai Heritage ที่เธอนำมาฝากเรา อย่างสาคูไส้หมู สาคูไส้ปลา และข้าวตังเมี่ยงลาว เหล่านี้ก็เป็นของกินเล่นปกติที่เธอคุ้นเคยมานาน หรือกระทั่งน้ำอบน้ำปรุงเองก็เป็นสิ่งที่เธอสนใจและหัดเรียนรู้
“ขนมแต่ละอย่างเราเรียนรู้มาจากคนรู้จัก คือป้าสนอง มีวรรณภาค แกทำสาคูไส้หมู สาคูไส้ปลา ข้าวตังเมี่ยงลาว ขายแบบรับออร์เดอร์ทางโทรศัพท์อยู่ก่อน ตั้งแต่เมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้ว ฝึกหัดทำกับแกมาเรื่อยๆ จนป้าเองเริ่มทำไม่ไหว เราเลยทำร้านขายของตัวเองตอนเรียนจบปริญญาโท กลับจากทำงานก็มาทำขนมพวกนี้เสริมเป็นพาร์ตไทม์ เอาสนุก” นิ้งเริ่มต้นเล่าถึงจุดแรกเริ่มของการทำธุรกิจ
“เราสนใจด้านนี้อยู่แล้วด้วย ชอบเรียนรู้วิธีการทำขนมหาทานยาก ขนมโบราณ เพราะรู้สึกว่าขนมสมัยใหม่ เด็กเดี๋ยวนี้ก็ทำกันได้เยอะและรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ของโบราณอย่างนี้ควรอนุรักษ์ไว้ เพราะคนรุ่นเก่าเองก็เริ่มจะหายไป อย่างขนมสาคูไส้ปลาก็หายากแล้ว ไม่ค่อยมีคนทำ”
สาคูไส้ปลาที่นิ้งบอกมีวิธีการทำยากกว่าที่คิด เธอเล่าให้ฟังว่าปลาที่นำมาใช้ทำไส้นั้นต้องเป็นเนื้อปลาช่อนเท่านั้น เพราะจะมีรสหวานตามธรรมชาติ หลังจากนำมาเผาด้วยเตาถ่านแล้วก็ต้องเลาะหนังออก แล้วนำเนื้อมาตำและยีไม่ให้มีก้างไปโดนเหงือก หรือหากเป็นสมัยก่อนก็ต้องทอดกระเทียมและเจียวหอมด้วยตัวเอง แป้งสาคูต้องนวดจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาใส่ไส้ และนำไปนึ่ง กว่าจะออกมาเป็นขนมสาคูที่แป้งบางแต่เครื่องถึงก็เล่นเอาเหนื่อย
ถึงจะเล่ากรรมวิธีดั้งเดิมที่ยุ่งยากวุ่นวายอย่างนั้นให้เรารับรู้ แต่เธอก็บอกเช่นกันว่า “ถึงจะอนุรักษ์ แต่ก็ต้องปรับให้โมเดิร์นขึ้นด้วย” เธอว่าเดี๋ยวนี้เองแม้ขนมของเธอจะเป็นขนมไทยโบราณแต่ก็ไม่ได้ใช้กรรมวิธีเก่าแก่ไปเสียทั้งหมด อันไหนที่ทุ่นแรงได้ก็ปรับเปลี่ยน หากจะเปรียบเทียบก็คล้ายกันกับขนมชั้นที่เดี๋ยวนี้มักถูกปรับเปลี่ยนรูปทรงใหม่ ไม่ได้ทำออกมาเป็นทรงลูกบาศก์ธรรมดาๆ อย่างเก่าก่อน
“มันยังคงเป็นขนมไทยเหมือนเดิม เพียงแต่ดูน่ารัก ดูทันสมัยขึ้น และเราก็ทำเท่าที่เราจัดการไหวด้วย ไม่ทำอะไรเกินตัว เดี๋ยวเจ็บตัวแล้วจะเสียลูกค้า”
นวัตกรรมแพ็กเกจจิ้ง
การปรับเปลี่ยนให้ขนมไทยดูทันสมัยขึ้นของนิ้งเริ่มจากการหาแพ็กเกจจิ้งสวยๆ มาห่อหุ้มขนมไว้ ซึ่งแพ็กเกจจิ้งที่ทำคะแนนขายดีเป็นอันดับหนึ่งคือ จานฝาชี หรือเครื่องจานชามลายครามและศิลาดล ที่มีนวัตกรรมอย่างฝาตาข่ายสำหรับเปิด-ปิดกันแมลง
“จานฝาชีเป็นสินค้าขายดีที่เราได้มาแบบฟลุกๆ ตอนแรกตั้งใจซื้อมาใช้เป็นดิสเพลย์ถ่ายรูปขนมไทยเฉยๆ แต่พอโพสต์ขายขนมแล้วมีคนติดต่อมาขอซื้อจานด้วย สุดท้ายเลยได้พัฒนามาต่อเรื่อยๆ เป็นออปชั่นให้เลือกได้ว่าจะซื้อขนมอย่างเดียว ซื้อขนมพร้อมจาน หรือซื้อจานเพียงอย่างเดียว” นิ้งอธิบาย ก่อนบอกว่าความบังเอิญเหล่านี้เป็นข้อดี เพราะทำให้เธอรู้ว่าทิศทางของธุรกิจที่ตั้งไว้แล้วอาจเปลี่ยนแปลงได้ และสินค้าไทยก็ยังมีดีพอจะส่งออกนอกได้
“ตอนแรกเราคิดไว้ว่าสาคูไส้ปลาต้องขายดีแน่ๆ เพราะไม่มีใครทำ กระทงใบตองที่เราทำมาใส่ขนมก็ต้องดึงดูดคนได้เพราะหาคนทำยาก ส่วนใหญ่มักใส่กล่องพลาสติกกันมากกว่า แต่สรุปว่าจานฝาชีขายดีที่สุด
“ลูกค้าไลน์มาบอกตลอดว่าตามหามานานแล้วจานแบบนี้ ลูกค้าต่างชาติเองหากได้รับก็มีฟีดแบ็กกลับมาตลอดว่า I love it.”
มือใหม่ที่ยังต้องเรียนรู้การทำตลาด
แม้ทุกวันนี้ธุรกิจของเธอจะได้รับการตอบรับทั้งจากคนในและต่างประเทศ แต่เจ้าของกิจการมือใหม่อย่างนิ้งก็ยังยอมรับว่าหลายๆ อย่างยังไม่ลงตัวและมีสิ่งให้เธอต้องศึกษาอยู่เรื่อยๆ
“เหมือนชีวิตเราต้องศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา กว่าจะเป็น Thai Heritage เราใช้เวลาเกือบปี หลังจากทำงานมาก็นั่งทำ ดูยูทูบ เรียนรู้ว่าการเปิดร้านค้าออนไลน์ต้องทำยังไง ต้องเน้นอะไรบ้าง ถ่ายรูป เซตราคา เราบอกทุกคนเลยว่าศาสตร์ที่เรียนมาตั้งแต่ปริญญาตรียันปริญญาเอกนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทุกอย่างเป็นศาสตร์ใหม่ทั้งหมด” เจ้าของแบรนด์อย่างเธอหัวเราะขัน เล่าย้อนให้ฟังถึงคืนวันที่เคยเจ็บตัวจากการซื้อโฆษณาแล้วเลือกทาร์เก็ตกรุ๊ปผิด
“เมื่อช่วงก่อนปีใหม่ก็ยังพลาดอยู่เลย เราอยากขยายทาร์เก็ตในเฟซบุ๊กดู อยากให้คนเห็นร้านของเราเพิ่มขึ้น เลยเลือกคนแฟชั่น เพราะคิดว่ายังไงเขาก็ต้องกิน แต่ในความจริงคือไม่เลย ได้ยอดกลับมาน้อยมาก
“สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เรียนรู้ พลาดก็รู้ไว้ เจ็บตัวก็ไม่เป็นไร คราวหน้าจะได้ทำถูก เราว่าการสร้างสรรค์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ สินค้าของเราต้องสร้างสรรค์ อย่าไปซ้ำใคร ถ้าเราเป็นผู้นำเราก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่าอาจจะมีคนก๊อบปี้เราได้เหมือนกัน แน่นอนว่าเราต้องมีวิธีการแก้เกมเตรียมไว้ด้วย
“การเปิดร้านออนไลน์เป็นสิ่งดีนะ ทำให้เราเปิดโลกกว้างขึ้นเยอะ ไม่นึกว่าออนไลน์มันจะพาเรามาได้ถึงขนาดนี้”