Techlash กระแสต่อต้านตีกลับบริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ เมื่อคนทั้งโลกเริ่มตื่นจากฝันหวานเทคโนโลยี

Techlash กระแสต่อต้านตีกลับบริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ เมื่อคนทั้งโลกเริ่มตื่นจากฝันหวานเทคโนโลยี

Highlights

  • Techlash เกิดจากคำว่า tech (เทคโนโลยี) + backlash (การสะท้อนกลับอย่างรุนแรง) หมายถึง ‘ปรากฏการณ์ดีดกลับเพื่อต่อต้านอย่างรุนแรงและกว้างขวางต่อวงการเทคโนโลยี ก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หรือ Big Tech ของโลก'
  • กระแสตีกลับของมวลชนต่อบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ Cambridge Analytica ซึ่งข้อมูลในเฟซบุ๊กนั้นรั่วไหลจนมีผลต่อแคมเปญเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา บริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ เริ่มถูกตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีของพวกเขา (ที่พวกเราใช้กันทุกวันนี้) ปลอดภัยและดีต่อสังคมจริงไหม
  • ถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่จะดูน่ากลัว แต่วิธีการแก้ไขก็ไม่ใช่การเลิกใช้แบบเด็ดขาด แต่คือการที่รัฐต้องมีกฎหมายที่ทันสมัยและเข้าใจเทคโนโลยี เพื่อควบคุมและตรวจสอบให้โปร่งใส ส่วนผู้บริโภคก็ต้องตระหนักในสิทธิของตัวเอง และไม่ลืมว่าผู้ใช้อย่างเราก็มีสิทธิเรียกร้องบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากข้อมูลของพวกเราเหมือนกัน

พวกเราอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจแห่งยุคสมัย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวด้านลบมากมายของแพลตฟอร์มที่เราใช้อย่างคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล ข่าวปลอม การนำข้อมูลผู้ใช้แพลตฟอร์มไปเอื้อประโยชน์ให้การเลือกตั้ง โมเดลธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมหรือมีอคติ ไปจนถึงหุ่นยนต์แย่งงานคน

วิกฤตเหล่านี้ชวนให้มวลชนเริ่มไม่ไว้ใจบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ คนทั่วไปอย่างเราๆ เริ่มสงสัย หวาดกลัว และถูกปลุกให้ตื่นจากฝันหวานของวันเก่าว่าเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารจะนำมาสู่โลกที่เท่าเทียมและสวยงามไร้มลทินอย่างง่ายดาย ไม่ต้องควบคุมอะไร ไม่ต้องเรียกร้อง แค่ใช้งานไป

 

Techlash กระแสตีกลับของมวลชนต่อบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ปลุกให้ตื่นจากฝันหวานเทคโนโลยี

เมื่อพวกเราเริ่มคุ้นเคยกับวิกฤตหรือเรื่องราวด้านลบของวงการเทคฯ แห่งยุคสมัย เป็นโอกาสอันดีที่เราจะขอแนะนำให้รู้จักกับคำว่า ‘Techlash’ เกิดจากคำว่า tech (เทคโนโลยี) + backlash (การสะท้อนกลับอย่างรุนแรง) เมื่อรวมกัน Techlash จึงหมายถึง ‘ปรากฏการณ์ดีดกลับเพื่อต่อต้านอย่างรุนแรงและกว้างขวางต่อวงการเทคโนโลยี’ ก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หรือ big tech ของโลกที่เราคุ้นเคยอย่างเฟซบุ๊ก กูเกิล แอมะซอน อูเบอร์ ฯลฯ

คำว่า ‘Backlash’ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในบทความของหนังสือพิมพ์ The Economist ในปี 2018 ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นปีแห่งความอลหม่านวุ่นวายในวงการ Tech Startup ทั่วโลกอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ Cambridge Analytica หรือเหตุการณ์ที่ข้อมูลในเฟซบุ๊กรั่วไหลจนมีผลต่อผลการเลือกตั้งอเมริกา ความแคลงใจที่ผู้บริโภคมีต่อโมเดลธุรกิจผูกขาด รวมทั้งข้อกล่าวหาว่าวงการนี้มีอคติและเหยียดเพศ ฯลฯ ประชากรผู้ใช้เฟซบุ๊กนั้นมีมากถึง 1.69 พันล้านคนในปี 2020 ซึ่งมากกว่าประชากรของประเทศไหนในโลกนี้เสียอีก (สมมติว่าไม่มีแอ็กเคานต์ปลอม บอต หรือแอ็กหลุม) ปัญหาในโลกออนไลน์จึงไม่ใช่เพียงปัญหานามธรรมแต่ส่งผลต่อคนบนโลกจริงๆ

สารคดี The Social Dilemma กำกับโดย Jeff Orlowski ซึ่งหาดูได้ในเน็ตฟลิกซ์ได้ไปสำรวจและสัมภาษณ์เหล่าอดีตพนักงานและผู้ก่อตั้งบริษัทเทคฯ ทั้งหลาย พวกเขาต่างออกมาสารภาพว่าตนเองมีส่วนร่วมทำให้กลไกอัลกอริทึมอันซับซ้อนและแสนอัปลักษณ์ที่เอาเปรียบผู้ใช้ แสวงประโยชน์จากความสนใจของผู้คน และส่งผลร้ายกับสังคมในโลกจริง ซอฟต์แวร์เหล่านี้ก้าวหน้าซับซ้อนจนตรวจสอบและควบคุมได้ยาก โดยที่ ส.ส. สว.ในสภาซึ่งมักเป็นกลุ่มคนสูงวัยก็ตามไม่ทันเทคโนโลยีเหล่านี้และไม่สามารถปกป้องประชาชนได้

มันยากที่จะจินตนาการว่าเว็บไซต์ไม่ได้มีเพียงแค่ส่วนที่เราเห็นอย่างหน้าตา รูปภาพ ตัวอักษร หรือโปรไฟล์ที่คลิกไปดูได้ แต่คือระบบขนาดใหญ่แสนฉลาดที่คอยแสวงหากำไรจากความสนใจของเรา ทำให้เสพติด ดลให้เราให้ข้อมูลส่วนตัวทั้งทางตรงและอ้อม และแสวงประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของมนุษย์ ขยายด้านมืดในจิตใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่ทำให้หยุดดูไม่ได้ต้องกดดูต่อไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน

ย้อนไปช่วงต้นปี 2010 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ถูกมองว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนโลกให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ Arab Spring, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กถูกนิตยสาร Time ยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี, Spotify ช่วยแก้ปัญหาการดาวน์โหลดเพลงเถื่อน กูเกิลเต็มไปด้วยอัจฉริยะแสนฉลาดเพียบพร้อม เทคโนโลยีเต็มไปด้วยเวทมนตร์ใหม่ๆ ที่ทำให้เราตื่นตา

แต่เวลาผ่านไป เมื่อมีผู้ใช้มากขึ้นเป็นพันล้านคน เวทมนตร์เหล่านั้นก็เริ่มเสื่อม เผยให้เห็นปัญหามากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลี่ยงภาษี เทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่ทำให้คนตกงาน เครื่องมือออนไลน์แสวงกำไรจากความสนใจจนเสพติดของผู้ใช้ ด้านมืดและด้านลับเบื้องหลัง ความผิดพลาดจากความรวดเร็วและการหมกมุ่นกับการเติบโต (Growth) คนทำงานข้างในที่เห็นโครงสร้างของปัญหา เมื่อพยายามเรียกร้องให้บริษัทแก้ไขแต่ไม่เกิดผลก็เริ่มรวมตัวกันเรียกร้องส่งเสียงเพื่อให้คนนอกได้ระวังตัวและเห็นผลกระทบต่อสังคม

และเมื่อเสียงสะท้อนของกระแสต่อต้านวงการเทคฯ เริ่มดังขึ้น จึงมีหนังสือออกใหม่มากมายเพื่อแฉหรือตีแผ่เบื้องหลังของวงการเทคฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งที่อ้างอิงเหตุการณ์และประสบการณ์จริง เช่น

  • Bad Blood: Secrets and Lies in a Silicon Valley Startup โดย John Carreyrou ตีแผ่เรื่องอื้อฉาวของ Theranos อดีตสตาร์ทอัพไบโอเทคดาวรุ่งที่กลายเป็นเรื่องหลอกลวงราคาแพง 

  • Uncanny Valley โดย Anna Wiener นวนิยายเล่าชีวิตหญิงสาววัย 20+ ที่เข้าไปคลุกคลีสัมผัสวัฒนธรรมบริษัทเทคฯ ในซิลิคอน วัลเลย์ เรื่องราวของเธอเริ่มต้นด้วยการมองโลกในแง่ดีด้วยความเดียงสาว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโลกไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ทว่าเธอกลับร่วงหล่นสู่เหตุการณ์เลวร้ายเหลือจะคิด

  • I Hate the Internet โดย Jarett Kobek นิยายที่เต็มไปด้วยคำสบถ ด่าทอบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่ชวนผู้อ่านไปสำรวจแวดวงเทคฯ สัมผัสความอยุติธรรม และผลร้ายเกิดขึ้นได้จากโซเชียลมีเดีย
  • The Big Disruption: A Totally Fictional But Essentially True Silicon Valley Story โดย Jessica Powell นิยายตลกเสียดสีบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอน วัลเลย์

เมื่อเครื่องมือพบปัญหา ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดใช้แต่เราสามารถเรียกร้องให้ดีขึ้นได้

ปรากฏการณ์ Techlash อาจนำไปสู่บรรยากาศและทัศนคติของคนในสังคมว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งเลวร้ายน่ากลัว และเราก็ควรเลี่ยงหรือหยุดใช้มัน แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีหรือความก้าวหน้านั้นไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมดจนเราต้องหนีไปเสีย

อย่างที่เรารู้กันดี แพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยเชื่อมต่อเรากับญาติมิตร ช่วยสร้างเครือข่ายสำหรับการงาน ช่วยแนะนำเราให้ได้พบคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน และช่วยให้บางคนสร้างงานสร้างอาชีพได้ เช่น ขายของออนไลน์ เปิดเพจรับค่าโฆษณา ฯลฯ หลายคนที่ชื่นชมในแง่งามของผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์มเหล่านี้จึงอาจคิดว่าหากไม่ชอบก็เลิกใช้ไปเสีย อย่าได้มาบ่นหรือก่นด่าให้วุ่นวายใจ ถึงอย่างนั้น ก็ต้องอย่าลืมว่าสิ่งใหม่ๆ ที่แพร่หลายล้วนต้องผ่านการพิสูจน์ ทดสอบจากมวลชน และมีภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันปรับปรุงให้เหมาะสมกับมนุษย์และสังคมทั้งนั้น

Facebook CEO Mark Zuckerberg speaks via video conference during a hearing of the House Judiciary Subcommittee on Antitrust, Commercial and Administrative Law on “Online Platforms and Market Power”, in the Rayburn House office Building on Capitol Hill, in Washington, U.S., July 29, 2020. Graeme Jennings/Pool via REUTERS

เมื่อเกิดข้อมูลรั่วไหลจากเหตุ Cambridge Analytica มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ต้องไปให้ปากคำกับสภาคองเกรส Tim Berners-Lee ผู้คิดค้น World Wide Web ในปี 1989 ได้เสนอความเห็นว่าเขา “เข้าใจดีถึงความรู้สึกที่สิ่งที่เขาสร้างด้วยความหวังดีได้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นภัยร้ายต่อคนอื่น” แต่เขาก็เชื่อว่ายังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขและซ่อมระบบ แต่เรื่องนี้จะสำเร็จได้เมื่อบริษัทเทคฯ ยอมทำงานร่วมกับรัฐบาล นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ และผู้ใช้ แสดงความจริงใจและโปร่งใสเพื่อให้มั่นใจว่าแพลตฟอร์มนั้นสร้างขึ้นเพื่อเพื่อนมนุษย์จริงๆ มิใช่แค่เพื่อแสวงหาประโยชน์และกำไรเท่านั้นโดยไม่แคร์ผลกระทบใดใด เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้กระทบต่อชีวิตคนจำนวนมาก ทั้งยังส่งผลกับการเมืองและสังคมวงกว้าง

ส่วนพวกเราประชาชนคนทั่วไปก็ควรจะมีสำนึกที่จะหวงแหนข้อมูลส่วนตัวว่ามันคือของเราไม่ใช่ของบริษัทเหล่านี้ เรามีอำนาจต่อรองเพราะหากไม่มีเรา–เหล่าผู้ใช้งาน บริษัทเหล่านี้ก็ไม่มีมูลค่า หมดความหมาย รวมถึงสื่อมวลชนก็ควรตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองในการตีแผ่ ชี้จุดบกพร่อง และสร้างสำนึกเรื่องอำนาจของผู้บริโภคให้คนทั่วไปเข้าใจความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้แพลตฟอร์ม

ทางออกของปัญหาจึงไม่ใช่การที่ทุกคนหยุดใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ลบแอ็กเคานต์ทิ้งไป ไม่ต้องคุยกับใครในโลก แต่คือการที่รัฐมีกฎหมายและข้อบังคับที่ทันต่อโลก การตั้งภาษีที่เหมาะควรกับบริษัทเทคฯ และผู้ใช้อย่างเราๆ ก็ควรเข้าใจกลไกความปลอดภัยของข้อมูล เข้าใจความเสี่ยงของการใช้แพลตฟอร์มก่อนจะกดยอมรับข้อตกลงการให้บริการ เพราะหากผู้ใช้อย่างเราๆ รวมตัวกันก็มีอำนาจที่จะเรียกร้องให้เกิดความโปร่งใสได้ นอกจากนี้คนบางกลุ่มก็เริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ไปใช้บริการเจ้าเล็กๆ ใหม่ๆ ที่มีกติกาที่เป็นธรรมกว่า

ถึงเวลาที่เราต้องก้าวให้ทันผลิตภัณฑ์ทันสมัยที่เราใช้

หลังจากกระแส Techlash เกิดขึ้น ITIF (Information Technology and Innovation Foundation) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐฯ ที่ทำงานด้านนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้เสนอแนวทางปฏิบัติให้เหล่าผู้ออกนโยบาย (Policymakers) และอธิบายข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ออกนโยบายเหล่านี้รู้เท่าทันปรากฏการณ์ Techlash โดย ITIF อธิบายว่าปัญหาต่างๆ ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหากเราเข้าใจการทำงานของมัน เว็บไซต์ politico รายงานว่าหลังจากเกิดปัญหาเทคฯ ครั้งใหญ่ในปี 2018 มาจนปีนี้ ประเทศต่างๆ ในโลกก็เริ่มออกนโยบายด้านดิจิทัล (Digital Policy) ที่เป็นธรรมและทันต่อยุคสมัยมากขึ้นและเชื่อว่าจะดีขึ้นต่อไป

เมื่อเราต่างเห็นว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นต่างมีแพลตฟอร์มต่างๆ เข้ามาอยู่ในสมการ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือเทเลแกรม ทั้งเป็นตัวเชื่อมชุมชนทางความคิด เป็นพื้นที่ขับเคลื่อนความคิดของคนรุ่นใหม่ นำมาสู่การรวมตัวกันเพื่อออกไปเรียกร้อง และยังสามารถเป็นอาวุธทางการเมืองที่อันตราย ทั้งในการส่งต่อข้อมูลผิดๆ หรือฝังแนวคิดที่อันตรายและรุนแรง ก่อกำเนิด hate speech และ cyberbullying ซึ่งหากเราสนใจแค่ฝั่งความคิดของตัวเองก็อาจมีความคิดที่ผิดเพี้ยนหรือเกิดอคติได้

ย้ำอีกครั้งว่าสิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่การหยุดหรือเลิกใช้ แต่คือการสร้างสภาวะตื่นรู้ความจริงต่อเทคโนโลยี (Tech Realism) เข้าใจแพลตฟอร์มที่เรากำลังใช้อยู่ เข้าใจปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแก้ไขให้ถูกจุด หรืออย่างน้อยก็เพื่อรอจนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและดีกว่ามาแทน

ทุกๆ วันเราเล่นมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร ไม่ว่าเราจะใช้เพื่อความสุข ความสนุกเพลิดเพลิน หาความรู้ใหม่ๆ เพื่อเชื่อมต่อสานสัมพันธ์ หรือเป็นกระบอกเสียงให้กับค่านิยมที่เราเชื่อ จึงจำเป็นเหลือเกินที่ชาวเน็ตอย่างเราๆ จะไม่ใช่แค่ใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่เข้าใจ 

เราควรตระหนักรู้และตื่นตัวถึงสิทธิในข้อมูลส่วนตัวที่เรามี และเคารพในสิทธิของคนอื่นๆ เข้าใจว่าสิ่งที่เราได้เห็นได้อ่านในฟีดล้วนเกิดจากกลไกที่เก็บข้อมูลว่าเราชอบดูอะไร เป็นคนแบบไหน นอกจากนี้เราควรระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่เราได้พบในโลกออนไลน์อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เข้าใจว่าข้อความหรือภาพที่เราโพสต์ลงไปจะสามารถถูกแคป ส่งต่อ บิดเบือนยังไงได้บ้าง และมีสติก่อนที่จะแชร์หรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารและภาพลงไปในโลกกว้างอันไร้พื้นที่ ไร้เวลา ไร้บริบท

เราซึ่งเป็น ‘ผู้ใช้’ มิใช่แค่ผู้ใช้ แต่คือประชาชนและพลเมืองของโลก และพลเมืองของอินเทอร์เน็ต เลิกคิดว่าในเมื่อเขาให้ของเราใช้ฟรีๆ เสียงของเราก็คงไม่มีความหมาย ไม่มีค่าอะไร หากเรารวมตัวกันสร้างสำนึกให้ตัวเอง ชวนคนรอบตัวมาเห็นความสำคัญของข้อมูลของพวกเรา ลองทำความเข้าใจหลักการคร่าวๆ ของเทคโนโลยีที่เราใช้ เข้าใจความเป็นไปได้และข้อจำกัด เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้แพลตฟอร์มที่เราใช้ต้องปรับปรุงและพัฒนาเพื่อมวลชนและสังคมอย่างแท้จริง

 

อ้างอิง

Year in a Word: Techlash

A Policymaker’s Guide to the “Techlash”—What It Is and Why It’s a Threat to Growth and Progress

The story of techlash, and how the future might be different

Tim Berners-Lee Twitter

Techlash | Definition of Techlash

In 2020, global ‘techlash’ will move from words to action

AUTHOR

ILLUSTRATOR

erdy

นักวาดภาพประกอบคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันว่าจะรวย จะรวย จะรวย