“มันยากนะเกิดเป็นคน ผมเคยอยู่ในช่วงเวลามืดมนแบบนั้น” Jason Mraz

Highlights

  • เนื่องในวาระดิถีขึ้นอัลบั้มใหม่ Look For The Good ชาว a day ชวน Jason Mraz มาคุยกันเรื่องฟาร์มอะโวคาโด ความหวัง และความเท่าเทียมกันของคน

ถ้าหากพูดถึงศิลปินระดับโลกที่เชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของคน สิทธิมนุษยชน การต่อกรกับระบบที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย ไปจนถึง #blacklivesmatter ที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก ณ ตอนนี้ คุณจะนึกถึงใคร

5 4 3 2 1 หมดเวลาทาย

หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าเจ้าของเพลงที่ช่วยชูหัวจิตหัวใจของใครหลายคนอย่าง Jason Mraz คือคนคนนั้น

เรามีเวลา 20 นาทีเพื่อคุยกันผ่านโปรแกรม zoom ในวาระที่เขาออกอัลบั้มใหม่ Look For The Good แค่ชื่ออัลบั้มก็น่าจะพอเดาคอนเซปต์ได้ ดังนั้นเราจะไม่คุยกันว่าทำไมเขาถึงแต่งเพลงฟีลกู้ด ทำไมไม่สื่อสารเรื่องราวทางสังคมผ่านเพลง ทำไมไม่คิดว่าการมองหาแต่แง่งามในชีวิตจะไม่เป็นปัญหา เพราะเขาเชื่อว่าการส่งต่อเรื่องราวดีๆ ผ่านเสียงเพลงจะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ และเพราะในชีวิตจริง เขานี่แหละคือคนที่เชื่อว่าการ speak out จะเปลี่ยนโลกและระบบที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายได้

เพราะ zoom ทำให้เราได้เห็นฟาร์มอะโวคาโดของเขา เพราะ zoom ทำให้เราได้เห็นแมวที่ชื่อไก่ และเพราะ zoom นี่เองที่ทำให้ฉันได้นั่งขัดสมาธิสัมภาษณ์เป็นครั้งแรก และพบว่าข้อดีของการนั่งแบบนี้คือช่วยลดความตื่นเต้นได้มาก

 

คำถามแรกควรจะถามว่า คุณเป็นยังไงบ้างในช่วงที่ผ่านมา

ก็ผ่านมาได้ คือมันมีสองระดับ หนึ่งคือผมโชคดีที่มี privilege กว่าคนอื่น ฟาร์มที่ทำก็ไปได้ดี สะดวกสบาย มีทรัพยากรครบ แต่ในระดับจิตใจนี่ struggle เหมือนกันนะ ข้างในมันแย่มากเลย เหมือนหัวใจแตกสลายในทุกวัน ก็รู้สึกหลายอย่าง

 

ยากนะที่จะมีความสุขหรือมองหาสิ่งดีๆ ในช่วงเวลาแบบนี้ คุณมีวิธีมองหามันยังไง

สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือดนตรี ก็เลยหาแง่งามจากการเล่นดนตรีนี่แหละ และข้างในลึกๆ ก็พยายามครีเอตบางอย่างขึ้นมา เปลี่ยนโลกมืดๆ ให้มันสดใสขึ้นดูซิ ชวนเพื่อนรักนักดนตรีมารวมตัวกันราว 14-20 คนในบางที และการร้องเพลงก็เป็นภาษาที่มีอานุภาพมากนะ มันช่วยเปลี่ยนความสิ้นหวังของพวกเราให้กลายเป็นมีหวัง

ลองดู สนับสนุนให้ใครก็ตามที่ถนัดอะไร มีพรสวรรค์เรื่องไหนก็สร้างสรรค์มันออกมาเผื่อคนอื่น บางคนอาจจะถนัดทำอาหาร ก็ไปเลี้ยงข้าวเพื่อน บางคนถนัดเย็บปัก บางคนถนัดทำกาแฟ ก็เอาไปแชร์กัน เมื่อนั้นคุณจะกลายเป็นแง่งามที่ผู้คนกำลังมองหาอยู่ คุณสามารถเป็นความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ แล้วคุณจะเห็นเองว่าคุณอยากเปลี่ยนโลกไปทางไหน

 

อย่างตอนนี้ฉันปลูกต้นไม้ ถ่ายรูปให้เพื่อนดู แชร์ความป่า เพื่อนก็ชอบกันใหญ่

ใช่ แค่นั้นเลย คุณทำให้ใครบางคนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นหรือหายใจได้คล่องขึ้นจากสิ่งที่คุณทำ ชีวิตคุณประสบความสำเร็จแล้ว ภูมิใจได้เลย และผมคิดว่าสิ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือการช่วยให้คนอื่นใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นนี่แหละ

แล้วคุณหล่อเลี้ยงมวลอารมณ์ดีๆ ในช่วงเวลายากๆ จนมันกลายเป็นอัลบั้มใหม่ได้ยังไง

ผมเขียนเพลงด้วยรู้ว่าโลกนี้มีความทุกข์มากมาย เป็นช่วงเวลาที่สาหัส พอรู้สึกแย่ก็ไปนั่งที่เปียโน หยิบกีตาร์ ในขณะที่ทั้งอยากร้องไห้ และกังขาในหลายๆ เรื่อง ก็หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วย สำหรับผม งานช่วยเปลี่ยนแปลงเราไปในทางใดทางหนึ่ง หลายๆ ครั้งมันก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น บางเพลงถ้ามันออกมาเวิร์กหรือรู้สึกว้าว รู้สึกว่านี่แหละใช่ ก็จะอยากอัดเพลงนี้ อยากไปทัวร์ด้วยเพลงนี้ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปล่อยเพลงนี้ออกไป

ผมเขียนเพลงขึ้นจากความเศร้าและความมืดหม่น เขียนเพื่อสาดแสงลงไปในเงานั้น เพลงมันก็สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงนั่นแหละ แต่ลึกไปกว่านั้นมันบันดาลใจมาจากเรื่องจริง เพลงเศร้ามาจากเรื่องสุขได้ เพลงสุขมาจากเรื่องเศร้าได้ ดังนั้นเรื่องจริงที่เลวร้ายก็กลายเป็นเพลงที่สร้างแรงกระเพื่อมได้สูงมากเท่าที่มันจะทำได้เช่นกัน


อย่างอัลบั้ม
Look For The Good อะไรคือแรงบันดาลใจ

ความกระหายที่อยากเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อยากเห็นความเท่าเทียมกันไปได้ไกลกว่านี้ ผมเขียนเพลงเพราะรู้ว่าปี 2020 จะมาถึงและโบยตีพวกเราแน่ๆ เป็นปีที่อเมริกาเลือกตั้ง มีเรื่องต้องดีเบตกันมากมาย มีกลุ่มคนฟัง มีคนเคลื่อนไหว บางคนทำโปสเตอร์ออกไปเดินขบวน ดังนั้นผมจะทำเพลง อัลบั้มนี้จึงเป็นเหมือนภาพสะท้อนสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญในปีนี้

 

ดนตรีที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การต่อสู้อย่าง Reggae ในอัลบั้มก็มาถูกที่ถูกเวลามาก

ดนตรีเรกเก้มีทั้งเพลงรักและเพลงโซล เพลงที่ทำให้คุณเต้นได้ ตกหลุมรักก็ได้ ไปจนถึงเพลงที่ตั้งคำถามว่าทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ ความปรารถนาของคุณคืออะไร มันโด่งดังและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ในยุค 70s เรกเก้คือเครื่องมือที่ใช้ต่อสู้ทางการเมืองเรื่องเชื้อชาติในจาไมกา และเรกเก้เองก็กลายมาเป็นดนตรีที่ทั่วโลกใช้เพื่อแสดงออกถึงความทุกข์ ตั้งคำถามกับความอยุติธรรมที่เคยเกิดขึ้นและยังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้

เพลงไหนคือเพลงโปรดในอัลบั้มใหม่นี้

ทุกเพลงเลย เพราะมันยังใหม่ Make Love ก็ชอบ เป็นเพลงที่มีพลัง อยู่ต้นๆ อัลบั้ม มันตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มาก ถ้าเราอยากให้โลกสงบ มันก็ต้องเริ่มจากข้างใน สื่อสารยังไงให้สงบ สื่อสารยังไงที่รับผิดชอบไปด้วยได้ มีความเห็นอกเห็นใจกันเพราะพวกเราแชร์โลกกันอยู่ รักมาก เพลงนี้

 

ฉันชอบเพลง Wise Woman มาก ฟังแล้วรู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ฉันเป็นพี่สาวของพระจันทร์ เป็นลูกสาวของดวงอาทิตย์ เห็นภาพตัวเองเขย่าโครงสร้างและระบบที่อยุติธรรมทั้งหลายได้ คุณเขียนเพลงที่ทำให้คนรู้สึกแบบนี้กับมันได้ยังไง

ขอบคุณมากๆ คือในชีวิตผมแวดล้อมไปด้วยผู้หญิงฉลาดๆ หลายคน และผมรู้ว่าพวกเธอสมควรที่จะได้รับเพลงนี้ และอยากพูดถึง Mother Earth ผู้หญิงที่เป็นเลิศที่อยู่ข้างล่างพวกเรา ยิ่งเราเคารพกันและกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งใกล้กันมากเท่านั้น กับ Mother Earth ก็เช่นเดียวกัน

คุณดูเป็นคนที่เชื่อในเรื่องความเท่าเทียมและเชื่อว่าการ speak out ในทางของตัวเองจะสามารถเปลี่ยนโลกได้ ความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมว่าเราเปลี่ยนโลกได้ เพราะผมไม่เชื่อว่ามีใครคนใดคนหนึ่งคุมหัวเรืออยู่ มนุษย์ทุกคนต่างลอยวนและว่ายไปมาอยู่รอบๆ เรือเพื่อเอาตัวรอด ประเด็นคือคนรวยและบริษัทที่มีอิทธิพลกำหนดทิศทางโลกอยู่ แต่ไม่มีใครทำอะไร พวกเราในฐานะมนุษย์สามารถเปลี่ยนเรื่องเล่าเหล่านี้ได้ เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน

ผมยังเชื่อว่าเราทำอะไรก็ได้เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน บางคนเป็นผู้นำการประท้วง บางคนทำเพลง บางคนใช้เทคโนโลยี บางคนทำการเกษตร ยิ่งพวกเรารู้ว่าใช้ความสามารถอะไรมาเปลี่ยนแปลงโลกได้ ย่อมมีหวังว่าจะได้เจอสิ่งที่ดีกว่า

 

ในเมื่อโลกมันบ้าบอไปถึงขนาดนี้ เราจะผลักจะดันกันยังไงดี

เราก็ทำงานของเราไป ส่งเสริมกัน เมื่อส่งเสริมกันก็จะมองเห็นกัน เมื่อเรามองเห็นกันและกันตรงนั้นแหละที่จะช่วยให้คนไปต่อได้ เพราะความกังวลของคน ความเจ็บปวดของคน ส่วนมากก็มาจากความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครมองเห็นฉันเลย ไม่มีใครแคร์ฉันเลย

 

ถ้ามีคนอยากจะยอมแพ้กับโลกนี้แล้ว ไม่เอามันแล้ว คุณอยากจะบอกอะไร

มันยากนะเกิดเป็นคน ผมเคยอยู่ในช่วงเวลามืดมนแบบนั้น ก่อนที่จะยอมแพ้ตอนนั้นก็คุยกับตัวเองเลยว่าจะเอายังไงมาดีลกัน ลองทำอะไรที่สุดขีดอีกทางดู ทำอะไรที่น่าตื่นเต้นไปเลย หรือสิ่งที่คุณรักมากๆ ทำให้มันรู้สึกว่า เออ แฮปปี้จัง ลองอนุญาตให้ตัวเองได้มีความสุข มันยากนะ และแน่นอนว่ามันมีค่าใช้จ่ายสูง (อุ้มแมวขึ้นมา) เจ้านี่ก็ทำให้ผมมีความหวัง

น่ารักกกก แมวชื่ออะไรค้า (เสียงสอง)

ชื่อไก่

 

สวัสดีหนูไก่ น่ารักจัง

เขาไม่อยากให้อุ้มเท่าไหร่ (วางแมวที่ชื่อไก่ลงบนเปียโน)

 

นอกจากแมวแล้ว อะไรคือความหวังของคุณตอนนี้

ผมอยากให้ทุกคนหยุดพักหายใจสักครู่ และรับรู้ว่าสิทธิขั้นพื้นฐานคือเรื่องสำคัญ


นอกจากเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานคุณยังมีมูลนิธิเป็นของตัวเองด้วย อย่างเรื่อง art education คุณก็สนับสนุนและเคยบอกว่า “การเรียนศิลปะช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้กับจิตใจ”

ใช่ ศิลปะช่วยให้เราทบทวนสถานการณ์ต่างๆ ถ้ามีกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น คุณจะเปลี่ยนมันเป็นอะไร ผลลัพธ์ที่ได้มันช่วยให้เรานำไปแก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ ได้เหมือนกัน ดังนั้นเราเลยจัดโปรแกรมขึ้นมาร่วมกับพาร์ตเนอร์จริงจัง ช่วยชุมชน ให้คนที่มีความสามารถได้แจ้งเกิด หลักๆ คือคนที่อยากเติมเต็มความฝัน ผมเชื่อว่าทุกคนควรมีโอกาสเหมือนๆ กัน ดังนั้นโปรเจกต์นี้จึงเป็นเหมือนการนำความเสมอภาคและความหวังมามัดรวมกันเพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้

เหมือนว่าคุณจะปลูกกาแฟและมีฟาร์มอะโวคาโดใช่ไหม ได้แนวคิดจากการทำฟาร์มมาใช้ในการทำงานหรือชีวิตบ้างหรือเปล่า

ใช่ ข้างหลังนี่ (ผายมือไปที่ต้นอะโวคาโดสีเขียวที่เป็นแบ็กกราวนด์ zoom) มันอยู่ที่นี่เต็มไปหมดตอนผมย้ายมา ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำฟาร์ม แต่พอมาถึงแล้วก็พบว่ามันก็อยู่มาตั้งแต่ยุค 60s-70s แล้ว และเราก็เป็นเจ้าของที่ ก็ในเมื่อได้ประโยชน์จากมันก็ทำต่อเลย 15 ปีผ่านไปก็เลยกลายเป็นธุรกิจเล็กๆ ของที่บ้าน ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้เราได้ปลูกอะโวคาโด กาแฟ กล้วย มะม่วง ฝรั่ง จนกระทั่งแก้วมังกร

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำฟาร์มและดนตรีคือทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน มีเวลาของมัน การทำฟาร์มสอนเรื่องการทำธุรกิจดนตรี ช่วงฤดูใบไม้ผลิพื้นที่ว่างเปล่าเราก็ปลูก เก็บเกี่ยว แชร์ผลผลิตในตลาด เหมือนกับที่เราได้คุยกันวันนี้ พอฤดูหนาวทุกอย่างก็หยุดลง โลกขอนอน ศิลปินกลับบ้านไปพักผ่อน พอเข้าฤดูใบไม้ผลิใหม่ ทุกอย่างก็เริ่มต้นและวนไปทั้งหมดแบบนี้

โลกมีจังหวะของโลก มนุษย์ก็มีจังหวะของมนุษย์ ถ้าจูนกันได้ก็กลมกลืนกันไป ไม่ใช่แค่กับธุรกิจดนตรี มันใช้ได้กับการทำงานทุกอย่างเลย

AUTHOR