มีความหวัง
หากนึกย้อนกลับไป ใครๆ ที่รู้จักฉันมานานมากกว่า 5 ปีจะรู้ว่าฉันเป็นคนมีความสุขมากๆ เหลือล้น จะเรียกว่าเป็นพวกสุขนิยม (Hedonism) หรือบางคนเค้าเรียกว่าเป็นพวกโลกสวย ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างสวยงาม แค่มองให้เห็นความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันได้ ชีวิตนั้นช่างเรียบง่ายยิ่งนัก
แต่การเกิดเป็นชนชั้นกลางวัยทำงานที่มีครอบครัวต้องดูแลอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร หากไม่ใช่คนจิตใจแข็งกระด้างจนเกินไป ประเทศนี้จะค่อยๆ สร้างเงื่อนไขในการมีความสุขต่างๆ มาให้คุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนการมีอยู่ของคุณและความแจ่มใสของหัวใจเป็นไปอย่างทุลักทุเล
เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว สมัยเป็นนักศึกษา ฉันได้ไปฝึกงานที่เบอร์ลิน มีเพื่อนสนิทชาวฝรั่งเศสชื่อ Alizee เราเข้ากันได้ดีเลยชวนมาเป็น roommate แชร์ห้องกัน ฉันกับอลิเซ่เคยทะเลาะกันแค่ครั้งเดียวคือตอนที่ฉันรับงานที่ไทยไปด้วยและฝึกงานไปด้วยจนไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของการอยู่เยอรมันของฉัน อลิเซ่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่ไขว่คว้าความสุขในเวลานั้นไว้แล้วค่อยกลับไปทำงานตอนไหนก็ได้ ส่วนฉันตอนนั้นไม่เข้าใจว่าที่ทำงานมากมายแบบนั้นมันแปลกตรงไหน
เพราะเราถูกปลูกฝังมาให้ทำงานเยอะๆ จะได้มีเงินเก็บมีต้นทุนซื้อชีวิตดีๆ ได้ ขณะที่คนฝรั่งเศสแบบอลิเซ่เลือกที่จะใช้ชีวิตวัยรุ่นให้มีความสุขเต็มที่ ไขว่คว้าความทรงจำใหม่ๆ ไว้แบบไม่ต้องกังวลเพราะค่าเดินทางมาฝึกงานที่เบอร์ลินรัฐบาลก็จ่ายให้ พ่อแม่แก่ไปก็มีสวัสดิการดูแล
กว่าจะเริ่มเข้าใจว่าการผิดใจกันเล็กๆ ในวันนั้นมันเป็นปัญหายึดโยงไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกันของฉันกับอลิเซ่ วันนี้ฉันก็ยังต้องทำงานเหมือนเดิมโดยล้มเลิกความฝันอยากเป็นคุณครูสอนศิลปะแล้วเพราะวาดรูปขายของให้นายทุนนั้นหาเงินได้มากกว่า ส่วนอลิเซ่ จากที่เคยอยากเป็น designer ตอนนี้เบนเข็มมาสอบเป็นครูสอนศิลปะเพราะเป็นอาชีพที่ได้ใช้ความรู้ของตัวเองให้เกิดประโยชน์ ได้เงินเดือนดี มั่นคง มีสวัสดิการ และวันหยุดเยอะมาก
การเติบโตของฉันและอลิเซ่นั้นคงไม่ง่ายทั้งคู่แหละแต่ประเทศที่มีสวัสดิการที่ดีจะอนุญาตให้หนุ่มสาวได้มีความฝัน ไขว่คว้ามัน และใช้ชีวิตลองผิดลองถูกได้อย่างเสรี
ในทางตรงกันข้าม คนรุ่นใหม่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเติบโตมาเผชิญหน้ากับความจริง สังคมกลับบีบบังคับให้ดอกไม้ที่กำลังผลิบานเหล่านั้นต้องมีหนามป้องกันตัว ทำให้บางดอกผลิบานได้ไม่เต็มที่ บางดอกแห้งเหี่ยวไป ขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละคน
กว่าจะรู้ตัวทัน ความแข็งกร้าวที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจฉันมันก็ไปส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง งานที่ทำ หรือแม้แต่สุขภาพร่างกายของฉันเองเสียแล้ว โชคดีที่เหล่าคนที่รักเข้ามาตักเตือนว่าเราต้องดูแลหัวใจ หล่อเลี้ยงความหวังไปพร้อมกับนำความเกรี้ยวโกรธมาเป็นพลัง การเหลียวมองความสุขเล็กๆ ประจำวัน อาหารอร่อย โยคะบรรเทาใจ กับการทำงานต่อสู้ในโลกทุนนิยม เก็บแรงไปม็อบ แชร์ข่าวหดหู่ในโลกออนไลน์ การรักษาสมดุลของสิ่งเหล่านี้คงพอจะเป็นทางออกให้กับตัวตนที่เปลี่ยนไปในทุกวันของฉันละมั้ง
แด่ทุกดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ฉันไม่มีเคล็ดลับใดๆ มาสั่งสอน ฉันเป็นเพียงนักวาดภาพ ไม่ใช่ Life Coach และฉันเองก็ยังคง struggle ไม่ต่างจากทุกคน ฉันเพียงแวะมาปลอบประโลมในวันที่โลกใบนี้มันโหดร้าย ฉันหวังให้เธออย่าลืมใจดีกับตัวเธอเองบ้างนะ
อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาชีวิตที่ทั้งเหนื่อยและเศร้า ทำงานติดกันหลายวันและเมื่อเปิดข่าวมาก็เจอแต่เรื่องน่าหดหู่ อาทิตย์ที่แล้วมีโอกาสไปสัมภาษณ์เรื่องศิลปะกับอำนาจ ระบอบ และค่านิยมต่างๆ ที่ครอบงำอยู่ นักเขียนเขียนออกมาได้ดี ตรงตามประเด็นที่คุย แถมยังไม่เซนเซอร์ประเด็นละเอียดอ่อนเหมือนสื่ออื่นๆ ที่เคยมาสัมภาษณ์ชอบทำ แต่ถึงกระนั้น ฉันกลับไม่ชอบตัวเองในบทสัมภาษณ์นั้นสักเท่าไหร่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าฉันเริ่มกลายเป็นคนเกรี้ยวกราด แข็งกร้าว และลืมนึกถึงจิตใจคนอื่นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
หากนึกย้อนกลับไป ใครๆ ที่รู้จักฉันมานานมากกว่า 5 ปีจะรู้ว่าฉันเป็นคนมีความสุขมากๆ เหลือล้น จะเรียกว่าเป็นพวกสุขนิยม (Hedonism) หรือบางคนเค้าเรียกว่าเป็นพวกโลกสวย ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างสวยงาม แค่มองให้เห็นความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันได้ ชีวิตนั้นช่างเรียบง่ายยิ่งนัก
แต่การเกิดเป็นชนชั้นกลางวัยทำงานที่มีครอบครัวต้องดูแลอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร หากไม่ใช่คนจิตใจแข็งกระด้างจนเกินไป ประเทศนี้จะค่อยๆ สร้างเงื่อนไขในการมีความสุขต่างๆ มาให้คุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนการมีอยู่ของคุณและความแจ่มใสของหัวใจเป็นไปอย่างทุลักทุเล
เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว สมัยเป็นนักศึกษา ฉันได้ไปฝึกงานที่เบอร์ลิน มีเพื่อนสนิทชาวฝรั่งเศสชื่อ Alizee เราเข้ากันได้ดีเลยชวนมาเป็น roommate แชร์ห้องกัน ฉันกับอลิเซ่เคยทะเลาะกันแค่ครั้งเดียวคือตอนที่ฉันรับงานที่ไทยไปด้วยและฝึกงานไปด้วยจนไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของการอยู่เยอรมันของฉัน อลิเซ่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่ไขว่คว้าความสุขในเวลานั้นไว้แล้วค่อยกลับไปทำงานตอนไหนก็ได้ ส่วนฉันตอนนั้นไม่เข้าใจว่าที่ทำงานมากมายแบบนั้นมันแปลกตรงไหน
เพราะเราถูกปลูกฝังมาให้ทำงานเยอะๆ จะได้มีเงินเก็บมีต้นทุนซื้อชีวิตดีๆ ได้ ขณะที่คนฝรั่งเศสแบบอลิเซ่เลือกที่จะใช้ชีวิตวัยรุ่นให้มีความสุขเต็มที่ ไขว่คว้าความทรงจำใหม่ๆ ไว้แบบไม่ต้องกังวลเพราะค่าเดินทางมาฝึกงานที่เบอร์ลินรัฐบาลก็จ่ายให้ พ่อแม่แก่ไปก็มีสวัสดิการดูแล
กว่าจะเริ่มเข้าใจว่าการผิดใจกันเล็กๆ ในวันนั้นมันเป็นปัญหายึดโยงไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกันของฉันกับอลิเซ่ วันนี้ฉันก็ยังต้องทำงานเหมือนเดิมโดยล้มเลิกความฝันอยากเป็นคุณครูสอนศิลปะแล้วเพราะวาดรูปขายของให้นายทุนนั้นหาเงินได้มากกว่า ส่วนอลิเซ่ จากที่เคยอยากเป็น designer ตอนนี้เบนเข็มมาสอบเป็นครูสอนศิลปะเพราะเป็นอาชีพที่ได้ใช้ความรู้ของตัวเองให้เกิดประโยชน์ ได้เงินเดือนดี มั่นคง มีสวัสดิการ และวันหยุดเยอะมาก
การเติบโตของฉันและอลิเซ่นั้นคงไม่ง่ายทั้งคู่แหละแต่ประเทศที่มีสวัสดิการที่ดีจะอนุญาตให้หนุ่มสาวได้มีความฝัน ไขว่คว้ามัน และใช้ชีวิตลองผิดลองถูกได้อย่างเสรี
ในทางตรงกันข้าม คนรุ่นใหม่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเติบโตมาเผชิญหน้ากับความจริง สังคมกลับบีบบังคับให้ดอกไม้ที่กำลังผลิบานเหล่านั้นต้องมีหนามป้องกันตัว ทำให้บางดอกผลิบานได้ไม่เต็มที่ บางดอกแห้งเหี่ยวไป ขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละคน
กว่าจะรู้ตัวทัน ความแข็งกร้าวที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจฉันมันก็ไปส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง งานที่ทำ หรือแม้แต่สุขภาพร่างกายของฉันเองเสียแล้ว โชคดีที่เหล่าคนที่รักเข้ามาตักเตือนว่าเราต้องดูแลหัวใจ หล่อเลี้ยงความหวังไปพร้อมกับนำความเกรี้ยวโกรธมาเป็นพลัง การเหลียวมองความสุขเล็กๆ ประจำวัน อาหารอร่อย โยคะบรรเทาใจ กับการทำงานต่อสู้ในโลกทุนนิยม เก็บแรงไปม็อบ แชร์ข่าวหดหู่ในโลกออนไลน์ การรักษาสมดุลของสิ่งเหล่านี้คงพอจะเป็นทางออกให้กับตัวตนที่เปลี่ยนไปในทุกวันของฉันละมั้ง
แด่ทุกดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ฉันไม่มีเคล็ดลับใดๆ มาสั่งสอน ฉันเป็นเพียงนักวาดภาพ ไม่ใช่ Life Coach และฉันเองก็ยังคง struggle ไม่ต่างจากทุกคน ฉันเพียงแวะมาปลอบประโลมในวันที่โลกใบนี้มันโหดร้าย ฉันหวังให้เธออย่าลืมใจดีกับตัวเธอเองบ้างนะ
อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาชีวิตที่ทั้งเหนื่อยและเศร้า ทำงานติดกันหลายวันและเมื่อเปิดข่าวมาก็เจอแต่เรื่องน่าหดหู่ อาทิตย์ที่แล้วมีโอกาสไปสัมภาษณ์เรื่องศิลปะกับอำนาจ ระบอบ และค่านิยมต่างๆ ที่ครอบงำอยู่ นักเขียนเขียนออกมาได้ดี ตรงตามประเด็นที่คุย แถมยังไม่เซนเซอร์ประเด็นละเอียดอ่อนเหมือนสื่ออื่นๆ ที่เคยมาสัมภาษณ์ชอบทำ แต่ถึงกระนั้น ฉันกลับไม่ชอบตัวเองในบทสัมภาษณ์นั้นสักเท่าไหร่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าฉันเริ่มกลายเป็นคนเกรี้ยวกราด แข็งกร้าว และลืมนึกถึงจิตใจคนอื่นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
หากนึกย้อนกลับไป ใครๆ ที่รู้จักฉันมานานมากกว่า 5 ปีจะรู้ว่าฉันเป็นคนมีความสุขมากๆ เหลือล้น จะเรียกว่าเป็นพวกสุขนิยม (Hedonism) หรือบางคนเค้าเรียกว่าเป็นพวกโลกสวย ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างสวยงาม แค่มองให้เห็นความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันได้ ชีวิตนั้นช่างเรียบง่ายยิ่งนัก
แต่การเกิดเป็นชนชั้นกลางวัยทำงานที่มีครอบครัวต้องดูแลอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร หากไม่ใช่คนจิตใจแข็งกระด้างจนเกินไป ประเทศนี้จะค่อยๆ สร้างเงื่อนไขในการมีความสุขต่างๆ มาให้คุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนการมีอยู่ของคุณและความแจ่มใสของหัวใจเป็นไปอย่างทุลักทุเล
เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว สมัยเป็นนักศึกษา ฉันได้ไปฝึกงานที่เบอร์ลิน มีเพื่อนสนิทชาวฝรั่งเศสชื่อ Alizee เราเข้ากันได้ดีเลยชวนมาเป็น roommate แชร์ห้องกัน ฉันกับอลิเซ่เคยทะเลาะกันแค่ครั้งเดียวคือตอนที่ฉันรับงานที่ไทยไปด้วยและฝึกงานไปด้วยจนไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของการอยู่เยอรมันของฉัน อลิเซ่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่ไขว่คว้าความสุขในเวลานั้นไว้แล้วค่อยกลับไปทำงานตอนไหนก็ได้ ส่วนฉันตอนนั้นไม่เข้าใจว่าที่ทำงานมากมายแบบนั้นมันแปลกตรงไหน
เพราะเราถูกปลูกฝังมาให้ทำงานเยอะๆ จะได้มีเงินเก็บมีต้นทุนซื้อชีวิตดีๆ ได้ ขณะที่คนฝรั่งเศสแบบอลิเซ่เลือกที่จะใช้ชีวิตวัยรุ่นให้มีความสุขเต็มที่ ไขว่คว้าความทรงจำใหม่ๆ ไว้แบบไม่ต้องกังวลเพราะค่าเดินทางมาฝึกงานที่เบอร์ลินรัฐบาลก็จ่ายให้ พ่อแม่แก่ไปก็มีสวัสดิการดูแล
กว่าจะเริ่มเข้าใจว่าการผิดใจกันเล็กๆ ในวันนั้นมันเป็นปัญหายึดโยงไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกันของฉันกับอลิเซ่ วันนี้ฉันก็ยังต้องทำงานเหมือนเดิมโดยล้มเลิกความฝันอยากเป็นคุณครูสอนศิลปะแล้วเพราะวาดรูปขายของให้นายทุนนั้นหาเงินได้มากกว่า ส่วนอลิเซ่ จากที่เคยอยากเป็น designer ตอนนี้เบนเข็มมาสอบเป็นครูสอนศิลปะเพราะเป็นอาชีพที่ได้ใช้ความรู้ของตัวเองให้เกิดประโยชน์ ได้เงินเดือนดี มั่นคง มีสวัสดิการ และวันหยุดเยอะมาก
การเติบโตของฉันและอลิเซ่นั้นคงไม่ง่ายทั้งคู่แหละแต่ประเทศที่มีสวัสดิการที่ดีจะอนุญาตให้หนุ่มสาวได้มีความฝัน ไขว่คว้ามัน และใช้ชีวิตลองผิดลองถูกได้อย่างเสรี
ในทางตรงกันข้าม คนรุ่นใหม่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเติบโตมาเผชิญหน้ากับความจริง สังคมกลับบีบบังคับให้ดอกไม้ที่กำลังผลิบานเหล่านั้นต้องมีหนามป้องกันตัว ทำให้บางดอกผลิบานได้ไม่เต็มที่ บางดอกแห้งเหี่ยวไป ขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละคน
กว่าจะรู้ตัวทัน ความแข็งกร้าวที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจฉันมันก็ไปส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง งานที่ทำ หรือแม้แต่สุขภาพร่างกายของฉันเองเสียแล้ว โชคดีที่เหล่าคนที่รักเข้ามาตักเตือนว่าเราต้องดูแลหัวใจ หล่อเลี้ยงความหวังไปพร้อมกับนำความเกรี้ยวโกรธมาเป็นพลัง การเหลียวมองความสุขเล็กๆ ประจำวัน อาหารอร่อย โยคะบรรเทาใจ กับการทำงานต่อสู้ในโลกทุนนิยม เก็บแรงไปม็อบ แชร์ข่าวหดหู่ในโลกออนไลน์ การรักษาสมดุลของสิ่งเหล่านี้คงพอจะเป็นทางออกให้กับตัวตนที่เปลี่ยนไปในทุกวันของฉันละมั้ง
แด่ทุกดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ฉันไม่มีเคล็ดลับใดๆ มาสั่งสอน ฉันเป็นเพียงนักวาดภาพ ไม่ใช่ Life Coach และฉันเองก็ยังคง struggle ไม่ต่างจากทุกคน ฉันเพียงแวะมาปลอบประโลมในวันที่โลกใบนี้มันโหดร้าย ฉันหวังให้เธออย่าลืมใจดีกับตัวเธอเองบ้างนะ
กว่าจะรู้ตัวทัน ความแข็งกร้าวที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจฉันมันก็ไปส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง งานที่ทำ หรือแม้แต่สุขภาพร่างกายของฉันเองเสียแล้ว โชคดีที่เหล่าคนที่รักเข้ามาตักเตือนว่าเราต้องดูแลหัวใจ หล่อเลี้ยงความหวังไปพร้อมกับนำความเกรี้ยวโกรธมาเป็นพลัง การเหลียวมองความสุขเล็กๆ ประจำวัน อาหารอร่อย โยคะบรรเทาใจ กับการทำงานต่อสู้ในโลกทุนนิยม เก็บแรงไปม็อบ แชร์ข่าวหดหู่ในโลกออนไลน์ การรักษาสมดุลของสิ่งเหล่านี้คงพอจะเป็นทางออกให้กับตัวตนที่เปลี่ยนไปในทุกวันของฉันละมั้ง
แด่ทุกดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ฉันไม่มีเคล็ดลับใดๆ มาสั่งสอน ฉันเป็นเพียงนักวาดภาพ ไม่ใช่ Life Coach และฉันเองก็ยังคง struggle ไม่ต่างจากทุกคน ฉันเพียงแวะมาปลอบประโลมในวันที่โลกใบนี้มันโหดร้าย ฉันหวังให้เธออย่าลืมใจดีกับตัวเธอเองบ้างนะ