Taipei Fine Arts Museum : แกลเลอรี่รวมนิทรรศการคอนเซปต์จัด

อีกหมุดหมายในไทเปที่นักท่องแกลเลอรี่ห้ามพลาดคือ Taipei Fine Arts Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งแรกในไต้หวัน
สร้างขึ้นเมื่อปี 1983 และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย
เมื่อเดินจากรถไฟใต้ดินผ่านสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เราจะพบสถาปัตยกรรมสีขาวรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ซ้อนทับกันสไตล์โมเดิร์นแบบยุคก่อนตั้งโดดเด่นอยู่อีกฟากของถนน
ลานกิจกรรมด้านหน้าจัดเป็น installation art ขนาดใหญ่ เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ
ว่ากันว่าที่นี่มีงานนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจมาจัดแสดงอยู่เสมอ และถึงจะแปะป้ายว่าเป็น
fine art แต่งานไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด กลับสนุกมากด้วยล่ะ

หลังห้าโมงเย็นของทุกวันเสาร์ ที่นี่จะเปิดให้เข้าชมงานได้ฟรีจนถึงเวลาปิด
วันที่เราไปเลยมีคนมาชมงานศิลปะอย่างหนาตา ช่วงนั้นนิทรรศการใหญ่ที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่คือ
งานแสดงเดี่ยวของศิลปินชาวจีน Daniel
Lee กับชื่อนิทรรศการ Looking Glass – Daniel Lee
retrospective แม้แวบแรกจะดูเข้าใจยาก แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ
จะรู้สึกทึ่งในฝีมือของศิลปินและวิธีการจัดนิทรรศการอย่างมาก

Daniel Lee เป็นศิลปิน
Visual Art ขั้นเทพที่ตั้งต้นจากการเป็นช่างภาพ
เขาสนใจเรื่องการวิวัฒนาการและชีววิทยาของมนุษย์และสัตว์ เรื่องเชิงสังคม
จึงสร้างงานศิลปะที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ในการนำเสนอ สร้างตัวละครที่ผสมผสานระหว่างคนและสัตว์ซึ่งตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์
งานนี้แค่เดินเสพความเนี้ยบของงานและบรรยากาศนิทรรศการที่จัดเต็มสุดๆ
ก็คุ้มค่าแล้ว แต่ถ้าอ่านไอเดียงานแต่ละชุดจะรู้ว่าภายใต้ความอลังการที่เห็น
ข้อความที่สื่อก็เข้มข้นไม่แพ้กัน

งานนี้เปิดด้วยห้องสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยประติมากรรมปลาสีดำหน้าตาคล้ายมนุษย์
งานชุดล่าสุดของเขาที่ดูมีความน่าพรั่นพรึงแต่ก็น่าสนใจ ลำดับการแสดงงานนั้นไล่ตั้งแต่ยุคปัจจุบันกลับไปถึงอดีต
ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินทางย้อนเวลาเข้าไปในชีวิตการทำงานกว่า 51 ปีของศิลปิน
เราสนใจงานที่ล้อเลียนพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์แต่ถ่ายทอดผ่านสัตว์หลากหลายชนิดเป็นพิเศษ
ในนิทรรศการนี้แต่ละห้องก็จะสร้างบรรยากาศให้เข้ากับงานชุดที่แสดงด้วย เช่น งานชุด
Nightlife / Jungle ที่เต็มไปด้วยคนที่มีหน้าเป็นสัตว์ร้ายสะท้อนวิถีชีวิตกลางคืนในนิวยอร์กก็จัดแสดงในห้องมืดทึมดูลึกลับ
ทำให้แม้งานจะใหญ่ก็เดินไม่เบื่อเลย

งานที่เราชื่นชอบอีกชุดคือ Manimals ภาพพอร์เทรต 12 ภาพแทน 12
ปีนักษัตร ซึ่งนำลักษณะของสัตว์ประจำปีนักษัตรมาผสมกับใบหน้าคนด้วยเทคนิคทางคอมพิวเตอร์
ส่วนห้องสุดท้ายเป็นห้องแสดงให้เห็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ผลงาน จัดแสดงภาพลายเส้นสเกตช์
รูปถ่าย ฟิล์ม สมุดบันทึกของศิลปิน ปิดท้ายด้วยรูปภาพขาวดำขนาดใหญ่บริเวณทางออก
เราจ้องมองผู้ชายวัยหนุ่มใส่เสื้อคอโปโลและกางเกงยีนส์ขาม้า
ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปและกำลังเดินไปที่ไหนสักแห่งท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า เขาคือ
Daniel Lee ในวัยหนุ่มที่ดูมีพลัง

ยังไม่หมดแค่นี้
ถึงจะเป็นนิทรรศการในห้องย่อยเล็กๆ ก็มีความเจ๋งของตัวเอง นิทรรศการที่สองที่เราเข้าไปชมมีชื่อว่า
‘Wait until it Dries’ เป็นศิลปะการจัดวางขนาดใหญ่จัดแสดงในห้องกระจก ทันทีที่ก้าวผ่านไปด้านใน
เราจะพบตัวเองอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเงาสะท้อน แสงสลัว และความสงบนิ่ง งานนี้น่าสนใจเรื่องเทคนิคการนำเสนอเป็นอย่างมาก
เพราะถ้ามองเผินๆ เราอาจจะงงว่างานศิลปะกรอบสีดำที่รายล้อมตัวอยู่คืออะไร จริงๆ แล้วสิ่งนั้นคือน้ำมัน
สิ่งที่ศิลปินรู้สึกเชื่อมโยงเพราะเกี่ยวข้องกับกิจการครอบครัว เขาเลือกสร้างสรรค์งานศิลปะจากน้ำมันสีดำเมื่อม
โดยใช้น้ำและการปิดผนึกแบบสุญญากาศเป็นตัวกักเก็บให้น้ำมันอยู่ในกรอบได้ โดยอธิบายไว้ว่าการใช้น้ำมันเป็นสื่อทำให้เขารู้สึกหลุดจากกรอบความงามของศิลปะทั้งหมดทั้งมวล

‘Small or Big’ คือนิทรรศการสุดท้ายที่เราได้เข้าไปชม
งานนี้อยู่ในส่วน Children’s Art Education Center ของแกลเลอรี่
ผลงานทุกชิ้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับมุมมองในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันของคนตัวเล็กอย่างเด็กกับผู้ใหญ่
งานนี้ออกแบบให้ผู้ชมเข้าไปร่วมสนุกและเล่นกับผลงานได้ จึงมีทั้งคุณพ่อคุณแม่และเด็กเข้ามาเล่นกับชิ้นงานอย่างสนุกสนาน
ทั้งพื้นลาดเอียงลวงตาที่เมื่อเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปยืนคนละฝั่งจะทำให้ทั้งสองดูเหมือนมีรูปร่างสูงใกล้เคียงกัน
ที่วัดความสูงที่ใช้วัตถุต่างๆ เช่น ร่ม ลูกเทนนิส หรือแม้แต่ทัพพี
มาต่อกันในแนวตั้งเพื่อบอกความสูงของเราว่าเท่ากับลูกเทนนิสกี่ลูก

นอกจากนี้ยังมีงานอื่นๆ ที่เล่นเกี่ยวกับสเกลของคนอีกหลายชิ้น
สร้างสรรค์โดยศิลปินถึง 5 คน เช่นชุดภาพถ่ายหุ่นคนตัวเล็กๆ ที่น่ารักมาก การนำเรื่องขนาดมาเล่นกับนิทรรศการเป็นไอเดียที่ทำให้งานเข้าถึงคนทุกวัย
สนุก น่ารัก และเข้าใจง่าย และเป็นเรื่องดีมากที่แกลเลอรี่มีนิทรรศการที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม
ไม่เว้นกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็กและครอบครัว

ก่อนกลับเราไม่ลืมแวะดูร้านหนังสือและร้านขายของที่ระลึกภายในอาคาร
ร้านหนังสือนี้มีความโดดเด่นตรงที่หนังสือส่วนมากจะเกี่ยวกับศิลปะและงานดีไซน์ครอบคลุมเกือบทุกแขนง
(แนะนำเลยว่าควรแวะ) ส่วนร้านขายของที่ระลึกก็รวบรวมสินค้าศิลปะเก๋ๆ
และสินค้าที่ระลึกจากนิทรรศการต่างๆ ไว้เยอะพอสมควร เราออกมาจากพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่แห่งนี้พร้อมของติดไม้ติดมือและความอิ่มเอมในการเสพงานศิลปะหลากรสชาติ
งานนี้ต้องมาเยือนด้วยตัวเองสักครั้งจริงๆ นะ

ภาพ เบญญา สิงห์อุสาหะ, นวลตา
วงศ์เจริญ

AUTHOR