คุณอาจคิดว่าฝาแฝดต้องเกิดมาพร้อมกัน จากแม่คนเดียวกัน และหน้าตาเหมือนกันเด๊ะราวกับแกะ
แต่ ‘แฝด’ ในรูปแบบของ เฟิน–ศุภนารี สุทธวิจิตรวงษ์ วัย 28 ปีนั้นไม่เหมือนใคร เพราะเธอชักชวนคุณแม่ บี–จามจุรี สท๊วต วัย 52 ปี และน้องสาว ซาร่า–รัศมี สท๊วต วัย 15 ปี มาเป็นแฝดสามกันแบบยกแพ็ก
ทั้งเฟิน แม่บี และซาร่า อาจไม่ใช่แฝดจากท้องเดียวกัน แต่พวกเธอมาจากหนึ่งครอบครัวที่มีหัวใจผูกพัน
เรื่องราวน่ารักของ 3 แฝดสาวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเฟินเริ่มทำ Supanaree story เพจเฟซบุ๊กที่สนุกสนานและสีสันฉูดฉาดจากชีวิต ความคิด และความชอบของตัวเอง แถมยังแบ่งปันเรื่องราวในโลกที่มีแม่และน้องสาวที่เธอรักมากอยู่เสมอ
ด้วยความเป็นคนไฮเปอร์ เจ้าไอเดีย บวกกับความเป็นนางแบบอาชีพ เฟินจึงลุกขึ้นมาชักชวนน้องสาวให้ตัดผมบ๊อบหน้าม้าเต่อ แต่งตัวคุมคอนเซปต์ และออกท่องเที่ยวไปด้วยกัน แต่แค่นั้นยังไม่หนำใจ สองพี่น้องยังชวนคุณแม่ให้มาร่วมวงสดใสไปพร้อมกัน กลายเป็นแฝดต่างยุคที่สนิทกันทั้งสามวัย ที่สำคัญยังรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างกลมกลืนและกลมเกลียว
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน เฟินเคยเป็นสาวหมวยผมยาวสุดเซ็กซี่ ดีกรีเจ้าของตำแหน่งนางแบบสุดฮอตแชมป์ FHM Girls Next Door 2014 ขณะที่ปัจจุบันเธอหั่นผมสั้นโฉบเฉี่ยวจนเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหลือคราบสาวพิมพ์นิยมแบบเดิม เราเริ่มบทสนทนายามบ่ายในย่านอารีย์ด้วยการถามเฟินที่มีแม่และน้องนั่งขนาบข้างแบบสบายๆ
ไอเดียการแต่งตัวเหมือนกันแบบคูณสามนี้มาจากไหน
เฟิน : เราเห็นบ้านอื่นที่เป็นแฝดดูน่ารักก็เลยคิดว่าเรา 3 คนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ถึงไม่ได้หน้าตาเหมือนกัน แต่ถ้าแต่งตัว ตัดผม และทำอะไรเหมือนกันคงน่ารักดี เลยลองทำดู ตอนแรกคิดจะถ่ายรูปเล่นๆ ไม่ได้คิดว่าจะมีผลดีจนถึงตอนนี้ แค่อยากเล่าว่าชีวิตตัวเองมีน้องและแม่อยู่ด้วย
เรารับบทเป็นผู้นำในการเลือกว่าใส่ชุดนี้กันนะเพราะแม่กับน้องไม่ค่อยแต่งตัว ต้องคอยดูชุดที่ใส่แล้วทุกคนน่ารัก ด้วยอายุแม่เราก็ไม่อยากให้ใส่อะไรที่คนจะมาบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วใส่อะไรเหมือนเด็กๆ
ซาร่า : ถ้ามีโอกาสได้ไปเลือกชุดด้วยกัน แม่จะชอบชุดลายดอกสวยๆ หนูจะบอกพี่เฟินว่าชุดลายดอกใส่ไปเที่ยวทะเลมันก็เข้าท่าอยู่นะ ก็จะมีออกความเห็นบ้าง ปกติหนูจะใส่เสื้อยืดกับกางเกงบอลเพราะอยู่ต่างจังหวัด ไม่ต้องแฟชั่นมากอยู่แล้ว หนูคิดว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องโอกาสที่มากับงานมากกว่า
เล่าให้ฟังหน่อยว่าผมทรงบ๊อบเฉี่ยวๆ ของทั้งสามสาวมีที่มายังไง
เฟิน : เราตัดผมทรงนี้มานานแล้ว อยู่ดีๆ เราก็แนะนำให้น้องกับแม่ตัดเพราะมันสบาย สระผมแล้วสะบัดหัว 2 ทีก็แห้ง สองคนนี้ก็ไม่ได้เล่นตัวอะไรเพราะอยากลองตัดด้วย อย่างแม่ไว้ผมยาวมาทั้งชีวิตคงอยากเปลี่ยนแปลงบ้าง เราเลยตัดหน้าม้าและเอาปัตตาเลี่ยนที่บ้านไถผมข้างหลังให้ ตอนแรกๆ แม่ก็บอกว่าไม่อยากตัดผมสั้นมาก แต่ตอนนี้แม่เริ่มไปตัดผมเองแล้ว สั้นยิ่งกว่าเราอีก ซาร่าเองก็เคยไม่อยากตัดทรงนี้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ตัดสั้นกว่าใครเลย
ซาร่า : ผมทรงนี้เข้าทางครูที่โรงเรียนหนูเลย เขาชอบมากเลยค่ะเพราะเป็นทรงนักเรียนอยู่แล้วด้วย
แม่บี : แม่ก็อยากสวย อยากเด็กลง มันเบาหัวดีด้วย ไว้ผมยาวก็ได้แต่มัดเฉยๆ ปะ ถ้าไว้ผมสั้นทำได้ตั้งหลายทรง จะปล่อยหน้าม้า เปิดหน้าผากหรือเหน็บหูก็ได้ ต้องขอบคุณน้องเฟินด้วยเพราะทำให้ไลฟ์สไตล์แม่เปลี่ยนไปเยอะ เราไม่เคยมีแฟชั่นในชีวิต แต่แม่โดนพวกนี้จับแต่ง ถือว่าสนุกดีนะ (หัวเราะร่วน)
ชีวิตแม่บีเปลี่ยนไปยังไงหลังจากมาเล่นสนุกกับลูกๆ
เฟิน : แม่ได้เปลี่ยนตัวเองจากที่เมื่อก่อนไม่แต่งตัว ไว้ผมยาวมาตลอดชีวิต พอเฟินเป็นคนชอบแต่งตัวและทำกิจกรรมหลายอย่าง แม่เลยได้ทำไปด้วย เช่น ใส่บิกินีที่ไม่เคยใส่ หรือจากที่ไม่ออกกำลังกายก็เริ่มทำเพราะว่าลูกๆ ตัวผอม เวลาถ่ายรูปแม่จะคิดว่าทำไมฉันอ้วนอยู่คนเดียว กลายเป็นแข่งกันสวย กลัวหุ่นสู้ลูกไม่ได้ จนตอนนี้แม่มีซิกแพ็กและสุขภาพดีขึ้นเพราะออกกำลังกายทุกวัน
แม่บี : ตอนนี้น้ำหนักลง 5 กิโลกรัม ลูกทั้งสองคนก็ให้กำลังใจแม่ด้วยเพราะถ้าสุขภาพดีก็จะดีกับตัวเอง
ได้ยินสามคนชอบพูดออกสื่อบ่อยๆ ว่าการทำกิจกรรมร่วมกันแบบนี้ทำให้สนิทกันมากขึ้นด้วย อยากรู้ว่าสนิทยังไง
เฟิน : พอทำกิจกรรมนี้ด้วยกันเราก็สนิทกับแม่และน้องมากขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดคือความสัมพันธ์ในครอบครัวเราดีขึ้น บางทีคนมาดูรูปครอบครัวเราก็คิดถึงบ้านตัวเอง เราก็บอกเขาว่างั้นลองไปถ่ายรูปเล่นกับแม่ดูสิเพราะมันสามารถเก็บเป็นความทรงจำดีๆ ได้ด้วยนะ นี่เราทำเพจมาปีหนึ่ง เจอแบบนี้ก็ถือว่าเพจประสบความสำเร็จแล้ว
ซาร่า : หนูอยู่กับแม่ที่สัตหีบ พี่เฟินอยู่กรุงเทพฯ ตอนเด็กๆ เราสองคนไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่เพราะหนูยังเด็กมาก ส่วนพี่เฟินเป็นลูกคนโต อารมณ์จะเหวี่ยงๆ หน่อย พอเริ่มโตหนูก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสสนิทกันเพราะปกติแทบไม่คุยกันเลย แต่พอได้ทำงานด้วยก็สนิทขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องให้คุยกันเยอะ เช่น เรื่องชุด เรื่องเที่ยว หรือทุกๆ เรื่องเลย ได้เจอกันบ่อยขึ้น มีเรื่องให้สนุกตลอดเวลา มันเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง
สองพี่น้องคิดว่าคุณแม่เลี้ยงดูแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ ยังไงบ้าง
ซาร่า : อย่างเวลาเพื่อนๆ มาบ้านจะพูดเรื่องผู้ชาย แถมมาเปิดใจเรื่องอื่นๆ ให้แม่ฟัง เพื่อนๆ จะบอกแม่ว่าถ้าแม่ตัวเองฟังเขาแบบนี้บ้างก็คงดีเพราะพ่อแม่บ้านอื่นไม่ค่อยให้คำปรึกษาเรื่องพวกนี้
หนูรู้สึกว่าแม่เลี้ยงลูกแตกต่างจากคนอื่น แม่เข้าใจเรามากๆ ทั้งเรื่องการคบเพื่อนหรือมีแฟน บ้านอื่นเขาอาจจะห้าม ให้เอาเรื่องเรียนเป็นหลักก่อน แต่หนูเป็นประเภทบ้าผู้ชายประมาณหนึ่ง แม่ก็เข้าใจ หนูคิดว่าถ้าห้ามไปก็ต้องมีอยู่ดีเพราะมันคือธรรมชาติ เด็กที่ไหนก็มีแฟนกันทั้งนั้น อย่างหนูจะบอกแม่หมดเลยว่าเพื่อนคนนั้นคนนี้เป็นใคร แม่จะได้รู้ว่ามีใครในชีวิตเราบ้าง
เฟิน : แม่จะบอกว่าดีแล้ว เพราะถ้ารู้ว่าผู้ชายเป็นใครอย่างน้อยไปตามที่บ้านได้ ดีกว่าหายไปแล้วตามไม่ได้จะทำยังไง พอแม่เป็นแบบนี้เขาก็เป็นพื้นที่ที่ลูกๆ สบายใจที่จะพูดด้วยมากๆ
แม่บี : มีอยู่หลายครั้งที่เพื่อนซาร่ามาหา เขาจะคุยกันสองคนก่อน คำแรกที่เขาจะถามซาร่าคือ ‘เฮ้ย ซาร่า เราพูดเรื่องผู้ชายได้ใช่ปะ แม่มึงจะด่าไหม’ แม่ก็จะหันไปบอกว่า ‘แม่น่ะรับได้ทุกเรื่องเลยลูก’
แม่เลี้ยงลูกแบบไม่ให้เขาอยู่กับความทุกข์ ปล่อยให้ใช้ชีวิตสบายๆ เขาคิดหรือทำอะไรก็ให้สิทธิเลือก เปิดโลกให้กว้าง ถ้าบังคับว่าลูกต้องทำตามกฎเกณฑ์แล้วเกิดผิดพลาดกันขึ้นมาทั้งแม่และลูกก็จะเสียใจมาก เราเลยให้เขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้ามีปัญหาเราค่อยช่วยลูกแก้ไข เมื่อมีชีวิตแบบนี้เราเลยพูดคุยปรึกษากันตลอดเวลา เฟินกับซาร่าจะทำอะไรก็จะถามแม่ก่อน เราจะบอกว่าทำเลยเพราะผิดพลาดยังไงเรายังแก้ไขได้ พอมีปัญหาจะบอกลูกว่าไม่เป็นไรนะ
เห็นแม่เปิดกว้างกับลูกๆ ขนาดนี้ เลยอยากถามเฟินและซาร่าด้วยว่าข้อดีของวิธีการเลี้ยงลูกของแม่คืออะไรบ้าง
เฟิน : สิ่งที่ดีคือบ้านเราคุยกันทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่เก็บกด ไม่อึดอัด บ้านอื่นเขาจะมีบางเรื่องที่คุยกันไม่ได้ แต่เราคุยได้หมดเลยทั้งเรื่องแย่และดี แม่คือเพื่อนสนิทของเราด้วย เป็นเพื่อนที่เราไว้ใจเสมอ เมาท์กันว่า เฮ้ย คนนั้นหล่อ ผู้ชายคนนั้นแม่งขาวจั๊วะ หรือฝรั่งคนนั้นขายาวมากเลย ทำให้ทุกอย่างไม่เครียด ไม่ได้เป็นแม่ที่คอยชี้นิ้วบงการสั่ง
ซาร่า : ที่บอกว่าแม่เป็นเพื่อนไม่ได้แปลว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วแม่ตามใจ ทุกอย่างมีขอบเขต แต่แม่ช่วยทำให้เราเลือกใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
เฟิน : เราคิดว่าโลกมาไกลกว่าสมัยก่อนมาก เราทุกคนต้องเดินให้ทันยุคสมัย ถ้ายังอยู่ในโลกล้านปีคงไม่เข้าใจกันสักที แถมยังไงก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนวันตาย เข้าใจกันไว้ดีกว่า ไม่งั้นก็คงไม่มีความสุข
ทำไมแม่บีถึงตัดสินใจวางตัวเป็นแม่ที่มีความคิดวัยรุ่นแบบนี้ แม่ของคุณแม่ก็เลี้ยงมาแบบนี้หรือเปล่า
แม่บี : จริงๆ อาม่าของเฟินกับซาร่าเป็นคนจีน เขาเลี้ยงลูกแบบคนจีนสมัยก่อน คือให้อยู่ในกรอบ แม่ต้องเรียนหนังสือ ทำการบ้าน อยู่บ้าน และห้ามคบเพื่อน เน้นให้ช่วยทำงานในครอบครัว ไม่ให้สุงสิงกับโลกภายนอก ยิ่งโตเรื่องผู้ชายจะโดนห้ามเด็ดขาด ดังนั้นแม่เลยเป็นคนเก็บกด มีคำถามว่าทำไมเรามีชีวิตไม่เหมือนคนอื่นเขา ทำไมไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ตัวเราเองก็กลายเป็นคนไม่กล้าแยกตัวออกมาจากครอบครัวเพราะเรากลัวทุกอย่างที่ต้องเผชิญ กลัวแม้กระทั่งผู้ชาย กลัวการคุยกับคน พอโตขึ้น มีลูก แม่ไม่อยากให้ลูกกลายเป็นแบบเรา เมื่อแก่ตัวแม่เลยลองทำทุกอย่าง (หัวเราะ)
แม่จะไม่นั่งคิดเรื่องแก่ เข้าใจไหม แม่น่ะเป็นคนสนุกสนาน บ้าๆ บอๆ ไปวันๆ แม่คิดว่าตัวเองเป็นวัยรุ่น ไม่รู้ว่าจะแก่ไปทำไม ถ้าเราทำตัวแก่และคิดว่าตัวเองเป็นแม่ตลอดเราก็จะไม่ได้ยืนอยู่ข้างลูก แม่ไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาของลูก แต่จะเป็นเพื่อนสนิท อยู่กับลูกได้ตลอดและได้ทุกเรื่อง เข้าใจคำนี้ไหม ‘ทุกเรื่อง’ ที่เขาเล่าให้เราฟังเกิดจากที่เขาเชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ
ซาร่า : เราทุกคนมาเล่นสนุกด้วยกันตลอดนะ พี่เฟินก็เล่น แม่ก็เล่น อย่างหนูสอนแม่เล่นอินสตาแกรมด้วย เดี๋ยวนี้เขามี followers เป็นพันนะ หลายๆ คนพอแม่อายุมากก็จะไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้แล้ว แต่แม่หนูยังลงสตอรีทักทายคนที่ติดตามอยู่เลย ทำให้เขามีอะไรทำเยอะมากขึ้น
แถมแม่น่ะแฟนคลับเยอะ คนเขาชอบแม่กัน เวลาไปตลาดเขาก็บอกว่า โห ดีจังเลย ได้อยู่กับลูก คุณแม่น่ะ หุ่นดีมากเลย ดูแลตัวเอง ออกกำลังกายยังไงน้า
เฟิน : แฟนคลับหม่าม้าเยอะกว่าเราอีก คนเจอเราก็ถามหาแต่แม่ มีคนขับรถตามมาถ่ายรูปเลย ลงทุนมาก แล้วเขาไม่ได้อยากถ่ายรูปกับเราและซาร่านะ เขาอยากถ่ายกับแม่ (หัวเราะ)
จากคนที่เคยกลัวทุกอย่างมาก่อน ตอนจะพลิกโฉมให้วัยรุ่นยังกลัวแม่อยู่ไหม
แม่บี : กลัว แม่เคยกังวลว่าอาม่าจะด่า เพราะเราเคยอยู่ในกรอบแล้วเราทะลุออกมาแบบแหวกแนว เรียกว่าแหกเลยดีกว่า เคยมีครั้งหนึ่งตอนใส่ชุดว่ายน้ำครั้งแรก แม่กลัวโป๊มาก ตะโกนบอกเฟินว่าแกอย่าถ่ายรูปนะ แต่เฟินบอกว่าขอถ่ายรูปเดียวเอง พออาม่าเห็นแกบอกว่า ดูสิ ดูมันทำสินั่น ตอนแรกนึกว่าจะโดนด่าแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็บอกว่า มันก็สวยดีว่ะ
เฟิน : เวลาเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนไป ตอนนี้อาม่าอายุ 70 ปี ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น แต่ก่อนเขาก็ห่วงเพราะแม่ยังเด็ก พอโตก็ทำได้แล้วเนอะ ตอนนี้เรามีไอเดียอยากถ่ายรูปแฟชั่นกับอาม่าสัก 1 เซตด้วย แต่อาม่าไม่สบาย เดี๋ยวรอสบายดีจะให้เขาใส่วิกถ่ายรูปด้วยกัน แต่งตัวเหมือนกัน ให้อาม่าเป็นตัวแทนอีกเจเนอเรชั่นหน่ึงน่าจะน่ารักดี ล่าสุดเราชวนอาม่าไปถ่ายรูปที่ทะเล เขาก็บอกว่า เออ ให้กูหายก่อนเถอะ มึงจะไปไหนกูก็ไป
พอทำกิจกรรมด้วยกันเยอะๆ ชีวิตของทั้งสามคนเปลี่ยนไปยังไง
แม่บี : แม่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ แต่ 2 ปีนี้ชีวิตเปลี่ยนไปมาก เช่น การแต่งตัวที่ดูแฟชั่นขึ้น พอเปลี่ยนปุ๊บก็พลิกชีวิตปั๊บ แม่มีแก๊งเพื่อนในตลาดที่สัตหีบ เขาจะบอกว่าการแต่งตัวเปลี่ยนไปเยอะนะคุณจามจุรี เราก็ไปแนะนำแก๊งด้วยว่าซื้อของมาจากไหน เขาก็จะตามไปซื้อกัน
แต่สิ่งสำคัญจริงๆ คือแม่ได้รับความสุขจากลูกมาเต็มๆ เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้เลย ถ้าวันหนึ่งใครสักคนหลับตาไป อย่างน้อยลูกจะยังมีความทรงจำที่ระลึกถึงแม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่แม่ได้รับ ตอนนี้เราแค่ทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุด เราจะจดจำความผูกพันและความรักที่มีทั้ง 3 คน เรารักกันมากและนี่เป็นการสร้างความสุขต่อไปเรื่อยๆ
แล้วทำไมวัยรุ่นแบบเฟินและซาร่าถึงชวนแม่มาเข้าแก๊งจนซี้กันเหมือนเพื่อน ทั้งที่วัยรุ่นเลือกออกไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวก็ได้
เฟิน : ถ้าวันหนึ่งแม่ตายมันอาจสายเกินไปที่จะมานั่งคิดว่าน่าจะใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานกว่านี้ เราเลยคิดว่าควรใช้เวลาอยู่กับคนในครอบครัวให้มากที่สุด อายุไม่ได้ทำให้เรารู้ว่าใครจะตายก่อน เดี๋ยวนี้มีโรคระบาดอะไรก็ไม่รู้เกิดขึ้นมา สิ่งที่เราทำได้คืออยู่กับครอบครัวและทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุขที่สุด
ซาร่า : เขาเป็นคนเบ่งเราออกมา หนูจะลืมแม่แล้วไปใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเดียวได้ยังไงล่ะ
จากที่ Supanaree story เป็นแค่เพจไลฟ์สไตล์แฟชั่นส่วนตัว พอเฟินชวนแม่และน้องมาสร้างสีสันจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันจริงๆ คิดว่าตอนนี้เพจของเฟินกำลังทำหน้าที่กับผู้ติดตามยังไง
เฟิน : เพจเรากลายเป็นเพจของครอบครัวไปแล้ว เราทำแล้วมีความสุขก็อยากทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย ส่วนประเด็นที่เล่าเป็นเรื่องที่เราสนใจและอยากเขียน เช่น มีคนมาด่าเราเรื่องนมเล็ก เราคิดว่าให้คนมาถกกันดีกว่า เพราะผู้หญิงหลายคนก็โดนด่า โดนบูลลี่เรื่องนี้เหมือนกัน เป็นเรื่องที่คนเข้าใจร่วมกัน เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ
จริงๆ เราเองไม่สนใจเลยนะว่าใครจะมาด่า แต่อยากเขียนเพราะอยากเป็นกำลังใจให้กัน เพราะความละเอียดอ่อนของคนต่างกัน บางคนเขาอาจคิดเยอะเพราะโดนด่าว่านมเล็กมาตลอดชีวิต หรือคนอ้วนที่โดนด่ามากๆ ไปกระโดดตึกก็มี เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น อยากให้เลิกเห่าหอนกันสักที ไปพูดกันเรื่องอื่นสิ พอเราพูดออกมาก็มีบางคนที่ขอบคุณเพราะเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขา
ซาร่า : ไม่ใช่แค่พี่เฟินที่โดนด่า หนูก็โดนด่าว่าหมอยขึ้นหรือยังทำห้าว หนูงงว่าทำไมเขามาด่าทุกรูปเลย แต่ก็คิดว่าแล้วแต่ความคิดคน เราอาจโดนเยอะหน่อยเพราะเด็กกว่าพี่เฟินเยอะ แต่ไม่มีใครกล้ากับแม่เลยนะ
อย่างไปเที่ยวทะเลหนูใส่ชุดว่ายน้ำและคอยดูให้อยู่ในกาลเทศะ คือจะให้ใส่เสื้อเชิ้ตไปเล่นน้ำมันก็ไม่ใช่ หนูไม่ค่อยแคร์สายตาคนมองด้วยความคิดแบบนี้ แต่จะมีคนมาแสดงความคิดเห็นว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ พ่อแม่ไม่ดูแลเหรอ เขาไม่บอกเหรอว่าแต่งตัวแบบนี้มันดูไม่ดี
เฟิน : พ่อแม่ไม่ดูแลอะไรล่ะ ก็พ่อแม่ไปส่ง
แม่บี : ตอนนั้นแม่นั่งอยู่ข้างๆ มันเนี่ย (สามคนหัวเราะร่วน)
ตั้งแต่ได้ออกมาแต่งตัวกับพี่สาวและคุณแม่ ซาร่าภูมิใจเรื่องอะไรบ้าง
ซาร่า : หนูภูมิใจเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะหาเงินได้ ได้ช่วยแม่ผ่อนบ้าน ตอนนี้เราสามคนช่วยกันผ่อนบ้านจนหมดแล้ว
ทำเพจ Supanaree story ด้วยกันมาปีหนึ่ง ลูกๆ ภูมิใจอะไรในตัวคุณแม่บ้าง
เฟิน : ภูมิใจทุกอย่างในตัวแม่นะ เขาเป็นคนขยันมากๆ เราเองก็เอาแม่เป็นตัวอย่างเพราะเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยเหมือนกัน เฟินก็เป็นคนที่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็กด้วย แม่ไม่ได้มีสถานะเป็นแม่ที่เหนือกว่าพวกเรา แม่เป็นคนที่เข้าใจพวกเราเสมอ นี่คือสิ่งที่หนูภูมิใจในตัวแม่มาก
คุณแม่ล่ะภูมิใจอะไรในตัวลูกสาวทั้งสองคนบ้าง
แม่บี : แม่ภูมิใจในตัวลูกมากๆ เลย เพราะว่าลูกๆ มีความรับผิดชอบตั้งแต่เด็ก เขามองการณ์ไกล เลี้ยงดูและรับผิดชอบตัวเองได้ แม่สบายใจและไม่ต้องห่วงอะไรเลย เฟินทำงานตั้งแต่อายุ 14 เริ่มก้าวเดินออกไปก่อน แต่เขาห่วงทั้งน้องและแม่มาก เมื่อเขายืนสแตนด์บายและทำงานได้เต็มตัวเขาก็ดึงและสนับสนุนให้น้องได้ไปทำงานด้วยเพื่อให้น้องได้เรียนรู้ด้วยว่าเงินหามายังไงและต้องใช้จ่ายยังไง
ยิ่งไปกว่านั้นแม่คิดว่าชีวิตนี้เราไม่รู้ว่าสั้นหรือยาว จึงต้องทำทุกวันและทุกวินาทีให้มีความสุข และก็รักกันให้มาก อย่าเอาคำว่าพ่อหรือแม่มาตั้งเป็นกำแพง แต่ให้เอาความรักและความเข้าใจเป็นที่ตั้ง เราอยากให้ทุกครอบครัวมีความสุข อย่าอยู่กับความทุกข์ มาอยู่กับความสุขและความรัก นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ครอบครัวจะมอบให้แก่กันได้