‘เอ้โอเว่น’ เป็นนางแบบ เป็นนักร้อง และที่ไม่เป็นรองใครคือการสนุกกับการเป็นเป็ด

Highlights

  • EAOWEN คือนางแบบสาวไซส์มินิที่มีโรลการเป็นนักร้องเพิ่มขึ้นมาในชีวิตแล้วปีกว่าๆ ภายใต้ค่ายดนตรีอิเล็กทรอนิกสุดยูนีก Comet Records
  • ถึงตอนนี้เอ้มีผลงานเพลงทั้งภาษาอังกฤษและไทยมาแล้ว 4 เพลง คือ Back again, Now or never, We've lost it now และ I like you
  • สิ่งที่เธอกำลังโฟกัสในตอนนี้คือการเป็นนักร้องที่ดีขึ้นจนสามารถมีโชว์จริงๆ จังๆ ได้ รวมถึงการเป็นเป็ดที่สนุกกับทุกสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ

เอ้–พีรดา โคอินทรางกูร คือนางแบบสาวไซส์มินิที่หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเธอจากหลากหลายผลงานที่ผ่านมาของเธอ จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเอ้คือการเป็นแบบให้ร้านเสื้อผ้าในอินสตาแกรมของรุ่นพี่ที่คณะตั้งแต่ยุคขายเสื้อผ้าในนั้นยังไม่เฟื่องฟู

เมื่อมีคนเห็นเธอ จึงชักชวนเธอทำงานในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่งานโฆษณาไปจนถึงการเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ “ฟรีแลนซ์ตามโอกาสที่เข้ามาและตามสิ่งที่ตัวเองอยากทำ” เอ้ใช้คำจำกัดความยาวยืดนี้ระบุตัวเองมากกว่าคำที่เฉพาะเจาะจงเมื่อเราถาม

แต่กลับกัน สิ่งที่เธอมั่นใจและอยากให้เรียกคือชื่อ ‘เอ้’ เติมสร้อยท้ายด้วยโอเว่น ‘เอ้โอเว่น’ อันมีที่มาจาก ‘ไมเคิล โอเว่น’ นักฟุตบอลที่เอ้ชื่นชอบตั้งแต่ประถม

และในนาม EAOWEN นี่เอง เธอทำตั้งแต่แชนแนลยูทูบที่คนดูรู้จักในฐานะบิวตี้บล็อกเกอร์ หนึ่งในสามโฮสต์ช่อง ‘รถติดหู’ แอ็กเคานต์อินสตาแกรมที่ชอบร้องเพลงให้ฟอลโลเวอร์ฟัง ผู้หญิงที่ดูบอล ทำกราฟิกดีไซน์เนอร์บ้างประปราย ไปจนถึงเป็นศิลปินของ Comet Records จากการชักชวนของพี่ในค่าย ให้มาลองขายเสียงร้องบนดนตรีอิเล็กทรอนิกดู

Back again, Now or never, We’ve lost it now, I like you คือทั้ง 4 เพลงตามลำดับเวลาที่เธอเดบิวต์มาปีกว่าๆ ถึงตอนนี้เอ้ยังไม่ได้มีงานแสดงสดให้ชม แต่เราก็ยังตั้งตารอ และตามไปเชียร์เสมอเมื่อเธอพร้อมแสดงโชว์แบบจริงๆ จังๆ

ในช่วงบ่ายวันจันทร์ เรานัดเอ้มาพูดคุยกันสบายๆ ใน PôET HOUSE CAFÉ ตรงอารีย์ ซอย 5 พร้อมกับให้เธอลองร้องเพลงเล่นกีตาร์ อย่างเวลาที่เธอชอบเล่นให้เพื่อนๆ ฟัง

แล้วสิ่งพิเศษก็เกิดขึ้น

ไปไงมาไงเอ้ถึงมาเป็นนักร้องได้

ความจริงเอ้อยากทำดนตรีมาตลอดอยู่แล้ว เป็นคนชอบร้องเพลงเล่นกีตาร์ แต่ก็แค่อัดไว้ใน Photo Booth ง่ายๆ ว่าเราร้องเป็นนะ แต่เราก็ไม่ได้มีความรู้ว่าต้องทำดนตรียังไง เรารู้แค่ว่าถ้ามีคนเสนอโอกาสมาเราไม่ปฏิเสธแน่นอน แล้วตอนนั้นพี่ตั๋ง Comet Records ทักมาพอดี ก็ตอบทันทีว่าทำค่ะ เป็นความบังเอิญด้วยส่วนหนึ่งที่พี่เขาผ่านมาเห็นเราพอดี เขาคงเห็นว่าคาแร็กเตอร์เราน่าสนใจ ทั้งที่เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าเราร้องเพลงได้หรือเปล่า พอเราตอบตกลงก็เลยคุยกันจริงจังมากขึ้นว่าเอ้ชอบร้องเพลงประมาณนี้ ก็ส่งไปให้เขา เขาก็คงหาประมาณนี้อยู่เหมือนกัน โชคดีมากที่เขามาถามแล้วเราก็ได้ทำเลย

พอได้เริ่มคุยกัน จากนั้นเป็นยังไงต่อ

เริ่มแรกสุดคือทำความรู้จักกับพี่ตั๋งก่อน เขาก็ทำความรู้จักกับเราว่าเราชอบเพลงประมาณไหน ตรงกลางของเรากับเขามันอยู่ตรงไหน เราน่าจะเหมาะกับเซตเพลงประมาณนี้นะ แล้วเลือกทำนองหนึ่งให้เอ้ลองใส่คำเข้าไป ก็ช่วยกันแต่งเพลงดู แต่มันยังไม่เสร็จ กลับบ้านไปนั่งทำต่อ แต่มันก็ยังไม่เสร็จ คืนนั้นเราก็คิดไม่ออก แล้วจู่ๆ พี่เขาก็อีเมลมาให้อีกทำนองหนึ่งว่า “พี่มีเดโม่มาให้เพิ่มเผื่อสนใจ” ปรากฏว่าเราฟังปุ๊บแล้วชอบเลย เพลงนี้ใช่มาก ก็เลยหยุดเขียนอันแรกแล้วลองนั่งเขียนคำร้องอันนี้ แล้วมันเสร็จเลยโดยที่ไม่ต้องมานั่งพยายาม กลายเป็นว่าเพลงนี้ออกมาเป็น Back again เพลงแรก แล้วเพลงก่อนหน้าก็ไม่ได้ทำอีกเลย (ยิ้ม)

คอนเซปต์เนื้อเพลงของเอ้มาจากไหน

เอ้ว่า 90 เปอร์เซ็นต์มันเป็นความรู้สึก เราเป็นคนให้ความสำคัญกับเนื้อเพลงมากเลยนะ เป็นคนที่ชอบเพลงไหนจะต้องร้องให้ได้ ต้องรู้ว่าเขาร้องว่าอะไร พอรู้ความหมายเราก็จะอิน คือบางคนอาจจะฟังผ่านๆ เพลินๆ แต่สำหรับเราทุกคำในเพลงมันมีความหมาย

แล้วเนื้อหาในแต่ละเพลงของเอ้เป็นยังไงบ้าง

Back again พูดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้เราไม่สามารถมีมันได้แล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ เราก็แค่ want you back again

Now or never เป็นเพลงที่เกิดขึ้นจากจินตนาการตอนเราดูหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง แล้วพระเอกนางเอกไม่สามารถคบกันได้ เลยชวนกันว่าคืนนี้เรา run away กันเถอะ ถ้าคุณไม่ไปกับฉันตอนนี้เราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ เป็นเพลงที่ช่วงแรกเล่าเป็นซีนหนัง ส่วนช่วงหลังเป็นการโต้ตอบกันระหว่างคนสองคน

We’ve lost it now เป็นเพลงแรกที่เราลองแต่งตอนเล่นกีตาร์ เป็นเพลงแรกที่แต่งเองแล้วค่อยให้พี่ตั๋งเรียบเรียงให้อีกที เนื้อหาเกี่ยวกับการบอกเลิก แต่เป็นการบอกเลิกที่ยังรักกันอยู่

I like you คือหลังจากสามเพลงนี้ หนึ่งสิ่งที่ได้ยินบ่อยเลยคืออยากให้ร้องเพลงภาษาไทยบ้าง มันจะได้เข้าถึงคนได้ง่าย แล้ววันนั้นอารมณ์ดี เราก็จับกีตาร์แล้วตีคอร์ดเซตที่ง่ายที่สุดของเรา ก็ทำออกมาเป็นท่อนฮุกเสร็จเลย หลังจากนั้นก็ให้พี่เขาช่วยแต่งดนตรี ลดความหวานลงไป เพิ่มความเป็น Comet Records ของเขาเข้ามา

เหมือนว่ามิวสิกวิดีโอเอ้ก็ทำเองด้วย

คือเราทำอิลลัสเตรเตอร์อยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่มีแรงบันดาลใจเราจะไม่ได้วาด แต่ถ้าเกิดอยากวาดเราก็วาด แล้วคืนนั้นที่เพลงใกล้เสร็จ เราก็ลองฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็เห็นภาพว่าอยากให้มันเป็นโมเมนต์ง่ายๆ เล็กๆ ที่คนเข้าใจได้ และเป็นภาพกึ่งๆ สตอปโมชั่นก็เลยตื่นมาทำในวันรุ่งขึ้นเลย เพราะเราอยากให้คนที่ดูเอ็มวีรู้สึกไปกับเนื้อเพลงด้วย อยากให้มันเข้าไปปั่นป่วนคนดูด้วย ให้เขาได้อึดอัดไปกับตัวละครของเรา

 

ทำเพลงมาระยะหนึ่งแล้ว เจออะไรระหว่างทางบ้าง

เราก็ยังอยากค้นหาการทำเพลงในหลายๆ แบบอยู่ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเราชอบแนวไหน เข้าใจตัวเองว่าเราจะร้องเพลงประมาณนี้นะ เสียงประมาณนี้ เนิบๆ เพลงไหนก็จะเป็นประมาณนี้

สำหรับชีวิตเอ้แล้ว ดนตรีคืออะไร

เอ้ว่ามันคือสิ่งที่ใช้ระบายอารมณ์ เพิ่งรู้เลยว่ามันคือส่วนที่เราใช้พูดในสิ่งที่เราไม่ได้พูด เพราะเวลาเอ้มีปัญหาอะไรเราจะเก็บไว้กับตัว ถ้าไม่มีใครถามเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หรือบางทีที่เราไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร แต่พอเราดาวน์เราสามารถเอาสิ่งนั้นไปเขียนเป็นเพลงได้ ซึ่งพอเราเขียนเสร็จ เราสบายใจ เหมือนได้บ่นออกไปแล้ว

 

ความยากของการทำเพลงในตอนนี้คืออะไร

คือเราร้องเพลงได้ในแบบ just for fun แต่พอมีคนเริ่มมองเราว่าเป็นนักร้อง ก็รู้สึกว่ามาตรฐานเราอาจจะยังไม่ได้ดีถึงขั้นนักร้อง เราก็ต้องเริ่มเรียนรู้ วิธีการ เทคนิค มันเป็นดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องพัฒนา หรือการเล่นสด ไม่รู้เป็นอะไร พออยู่ในสถานที่ที่มีคนกำลังนั่งฟังมันจะตื่นเต้นมาก มีคนถามตลอดว่าจะมีเล่นสดเมื่อไหร่ เราก็รู้สึกว่ามันจะต้องเกิดขึ้นสักวัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องพัฒนาให้ได้

ด้วยความที่ไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพขนาดนั้น เจอคำสบประมาทบ้างไหม

ก็เข้าใจได้เพราะเราไม่ได้ทำมันได้จริงจังขนาดที่บอกทุกคนได้ว่าฉันเป็นนักดนตรีนะ ฉันเป็นนักร้องนะ แต่เอ้รู้สึกว่าเราไม่สามารถทำตามใจทุกคนได้ เราไม่สามารถห้ามให้เขาคิดอย่างนั้นได้ แต่เราก็คิดว่าถ้าวันไหนเราสามารถจริงจังกับมันได้ เราก็จะจริงจัง แต่สุดท้ายมันอยู่ที่เราแหละ ว่าเราจะตอบสนองยังไงกับตัวเองมากกว่า มันมีโควตที่เอ้ชอบมากของ Coldplay ประมาณว่า “We can’t please everybody right? You got what you chasing you just gonna fall”

 

เหมือนที่เราชอบเปลี่ยนลุคไปเรื่อยๆ ด้วยหรือเปล่า

เอ้ว่าเรายังสนุกกับตัวเองมากกว่า แต่ก็แอบเสียดายบางงานเหมือนกันที่กว่ามันจะออนลุคเราก็เปลี่ยนไปแล้ว คนก็จะจำไม่ได้ว่าเราเล่นงานนี้ด้วยหรอ แต่ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น เหมือนกับหลายๆ เรื่องที่เราทำอยู่ตอนในนี้ เอ้รู้สึกว่าเราทำในสิ่งที่เราอยากทำเฉยๆ เรารู้อยู่แล้วว่าเราชอบถ่ายแบบ ดนตรีเราก็ชอบ ถ้ามีโอกาสในการที่เราจะได้ทำสิ่งที่เราชอบเราก็ไม่ปฏิเสธมัน

ถ้าจำกัดความตัวเองเป็น tagline สวยๆ อยากให้คนเรียกเราว่าอะไรดี

‘โอเว่น’ คืออย่างแรก แล้วก็เรียกว่าเป็ดแล้วกัน เราเล่นกีตาร์ได้แต่ว่าก็ไม่ได้เก่ง เล่นไวโอลินได้แต่ก็ไม่ได้เก่ง ตีกลองได้แต่ก็ไม่เก่ง เราวาดรูปได้แต่ก็ไม่ได้วาดรูปเก่ง เราเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าเราขายทุกอย่างคนจะจำไม่ได้ว่าเราขายอะไร แต่ถ้าคุณขายอย่างเดียว สิ่งเดียวที่ตรงไปตรงมา คนจะจำได้ว่านี่คือคุณ

เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าการเป็นเป็ดมันดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะการเป็นเป็ดมันคือเรา ถ้าวันหนึ่งเราอยากเล่นแซ็กโซโฟนขึ้นมาเราก็คงไม่ห้ามตัวเองไปเรียนสิ่งนั้น เพื่อต้องจดจ่อกับกีตาร์เพียงอย่างเดียว

 

สุดท้ายอยากให้เอ้ลองตั้งชื่อบทสัมภาษณ์ให้ตัวเองหน่อย

เอ้โอเว่นที่เป็นเป็ด และสนุกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำในแต่ละเรื่อง

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน

Video Creator

ชาคริต นิลศาสตร์

อดีตตากล้องนิตยสาร HAMBURGER /ค้นพบว่าตัวเองมีความสุขและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงานภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว