Smileplease:) เพจที่ชวนถอดยูนิฟอร์มแม่ไปซัก โบกมือทักผู้หญิงคนเดิมที่อยู่ในตัวเรา

การได้รู้จักกับ Smileplease:) ทำให้เรานึกถึงมีมมีมหนึ่งที่มีชายหนุ่มเสื้อส้มกางเกงน้ำเงินเดินไถเครื่องตัดหญ้าสบายๆ ในขณะที่มีพายุทอร์นาโดด้านหลัง เราประทับใจเพจนี้ในความที่ถึงแม้จะไม่ได้มียอดไลก์อลังการ แต่กลับมีคาแรกเตอร์โดดเด่นท่ามกลางสมรภูมิวงการเพจแม่ๆ ทั้งหลาย ที่น่าสนใจคือ ไม่ได้เป็นไปในทางที่ไม่สน ไม่แคร์โลกด้วยนะ ตรงกันข้าม แต่ละคอนเทนต์ของเพจเต็มไปด้วยการใส่ใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันสุดๆ 

และเมื่อได้รู้จักอย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก ก็พบว่านี่คือเพจที่แหวกทุกกฎเกณฑ์ของวงการเพจแม่ ตุ๊กตา-พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล เจ้าของเพจที่ยังคงยึดมั่นในอาชีพบรรณาธิการมาได้ 19 ปีแล้ว (จากบรรณาธิการนิตยสาร Knock Knock, บรรณาธิการสำนักพิมพ์ polkadot, บรรณาธิการสำนักพิมพ์ Yayee, บรรณาธิการพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเอง และล่าสุดบรรณาธิการเพจ) บอกกับเราว่า “เราทำคอนเทนต์เหมือนสมัยที่ทำ polkadot (สำนักพิมพ์ไลฟ์สไตล์สำหรับผู้หญิง) เพราะแม่ก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถ้าเราถอดคำว่าแม่ของลูกออกไป เราก็มีชีวิตส่วนตัวของเรา และมีเวลาที่เป็นของตัวเองได้” 

พอจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่าคอนเทนต์ในเพจจะชวนยิ้มได้ประมาณไหน แต่ก็ยังขมวดคิ้วอยู่นิดหน่อยว่า แล้วจะเป็นเพจสำหรับแม่ได้ยังไง ในเมื่อพูดถึงไลฟ์สไตล์ทั่วๆ ไปของผู้หญิง

เอาล่ะ คำถามเริ่มพรั่งพรู เราจะค่อยๆ ไขทุกปริศนามัมจากปากคำของคุณแม่ลูกสองเจ้าของเพจคนนี้กัน

ปริศนามัม: เพจสำหรับแม่ที่ชื่อเพจไม่มีคำว่าแม่ และไม่คุยเรื่องเลี้ยงลูก…ก็ได้ด้วยเหรอ

“ชื่อเพจเกิดจากพี่บอย (ตรัย ภูมิรัตน-สามี) คิดชื่อ ‘แม่ยิ้ม’ เป็นภาษาไทย เพราะพี่บอยจะสอนให้ชื่นใจ (ลูกสาว) ง้อแม่ ถ้าเมื่อไรที่แม่ไม่ยิ้มแปลว่าแม่ไม่โอเค ชื่นใจก็จะ ‘แม่ยิ้ม แม่ยิ้มหน่อย’ ถ้ายิ้มก็แปลว่าเรื่องนี้โอเค ซึ่งมันก็ใช่เลย เราเลยใช้ชื่อ Smileplease:) ซึ่งไม่ต้องมีคำว่าแม่ เหมือนกับไอเดียเพจที่ เมื่อฉันส่องกระจกแล้วนี่คือตัวฉัน เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เราจะไม่ใส่ยูนิฟอร์มแม่ตลอดเวลา ต้องมีวันที่ถอดเสื้อผ้านี้ไปซัก แล้วจะใส่เสื้อผ้าตัวเดิมที่เราใส่ก่อนจะมีลูก ไม่อย่างนั้นตัวเราจะแห้งแล้ง จนไม่สามารถไปทำอย่างอื่นให้ใครๆ ได้ เราไม่แม้แม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธความเป็นแม่ไม่ได้เพราะเราเป็นแม่ ไม่สามารถเลิกเป็นแม่ได้ 

“จริงๆ จุดเริ่มต้นเพจมันเกิดจากสิ่งนี้เลยนะ เกิดจากความเศร้า และการทำเพจนี้ช่วยเยียวยาจิตใจเรา ย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเราทำต้นฉบับพ็อกเก็ตบุ๊กหาย หายไปพร้อมกับคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหา แล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปเขียนได้ ตอนนั้นนอนไม่หลับเลย เครียด รู้สึกแย่อยู่นานมาก ในที่สุดก็คิดว่าทำเรื่องใหม่ไปก่อน เลยทำ Smileplease:) เขียนเรื่องที่เป็นเราเพื่อฟื้นฟูจิตใจตัวเอง กลับมาเป็นผู้หญิงคนนี้ เหมือนการบำบัด ทำเพจและทำโปรเจกต์เป็นวารสารรายเดือน จนดีขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กได้แล้ว ทุกการทำงานคือการเยียวยาตัวเอง”

ปริศนามัม: ไม่มีคอนเทนต์เรื่องเลี้ยงลูก แล้วเป็นเพจสำหรับแม่ได้อย่างไร

“คนที่เราสัมภาษณ์ทุกคนเป็นแม่หมดเลย เราจะเรียกทุกคนว่า ‘แม่’ ในการเกริ่นเปิดคอนเทนต์ เป็นกิมมิกให้รู้ว่าเป็นเพจแม่ แต่เราไม่เคยถามว่าเลี้ยงลูกยังไง แบ่งเวลายังไง หรือคุยเรื่องปัญหาของลูก ไม่เคยสนใจ เพราะเราว่ามันเฉพาะตัวมากๆ เราไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลี้ยงลูก จะอ่านแค่กว้างๆ ให้รู้พัฒนาการ รู้วัยของเด็ก เราเชื่อว่าแม่ทุกคนเป็นเจ้าของตำราเลี้ยงลูกของตัวเอง การคุยกันว่าเลี้ยงลูกยังไงมันคุยไม่สนุก แต่สนใจไปที่ตัวของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า

“ถึงเขาเป็นคุณแม่ แต่เราจะคุยถึงตัวตนเขา ดูสิ่งที่เขาทำ บางคนเป็นนักวาดภาพประกอบ เป็นเจ้าของคาเฟ่ มีธุรกิจ มันเป็นแรงบันดาลใจให้แม่คนอื่นว่าเขาก็สามารถเป็นแบบนี้ได้ควบคู่กับการเป็นแม่ เราไม่ทิ้งชีวิตส่วนตัวของตัวเอง เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘เลี้ยงลูกให้เป็นเพื่อน’ จริงๆ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น แต่ถ้าเราเป็นแบบนั้นจริง มีเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ในตัว เราจะสามารถเป็นเพื่อนกับลูกได้ ซึ่งตอนนี้เราก็อ่าน ชินจัง กับชื่นใจ คุยเรื่องเครื่องสำอาง เรื่องแฟชั่นไปด้วยกันได้

“ในเพจจะมีเรื่องที่ชุบชีวิต เราก็ยังอยากรู้เรื่องกระเป๋า รองเท้า เครื่องเขียน คาเฟ่ มีเรื่องสิ่งแวดล้อม รีไซเคิล การจัดการในบ้าน การจัดการตัวเอง ไม่พ้นเรื่องครอบครัว วิธีการทำออนไลน์เราก็จะรู้แหละว่าทำยังไง แต่เราก็ไม่ได้โดดไปทำอย่างนั้นซะทีเดียว เราก็ยังทำในแบบของเรา”

ปริศนามัม: ไม่ลงแข่งกับใคร แล้วอยู่อย่างไรในสังเวียน

“เราลงแข่งกับใครก็ไม่สำเร็จ ไม่มีความสามารถในการลงแข่งเลย ตั้งแต่ Knock Knock, polkadot จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีความสามารถนั้น ดูน่าท้อแท้มั้ย (หัวเราะ) ด้วยความที่เราทำจากความชอบส่วนตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจใครเลย สิ่งที่ทำอาจจะมีคนสนใจเหมือนๆ กัน มันอาจจะไม่ได้วงกว้างมาก แต่มีคนแบบนี้อยู่แหละ เพราะจากสิ่งที่ทำมันก็ยังถูกใจใครบ้าง อีกอย่างคือคงไม่มีใครมาทำเรื่องพวกนี้ไง (หัวเราะ) มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เราไม่รู้ว่าเราไม่มีคู่แข่งหรือคนไม่มอง ไม่ทำแบบนี้ แต่ทุกอย่างมันเติบโตมาเรื่อยๆ ตามตัวเรา คนอ่านที่ตามๆ กันมา เขาก็มีลูกเหมือนกัน แก่มาด้วยกัน (หัวเราะ)

ปริศนามัม: ทำเพจแต่ไม่สนใจ Engagement ไม่ตั้งเป้าหมายสูงๆ ก็ได้ด้วย?

“เราไม่กดดันเรื่อง Engagement เลย เราไม่ใช่บริษัทใหญ่ที่ต้องเลี้ยงพนักงานเยอะๆ ด้วยแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจนะ ถ้าคนแชร์เยอะเราก็ดีใจ เราก็จะอ๋อ คนชอบเรื่องนี้ คนตามเพจเราเป็นคนแบบนี้นะ รู้จักแฟนเพจมากขึ้น 

“บังเอิญว่าจุดเริ่มต้นของเราไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องดัง ต้องเปรี้ยง ล้านไลก์ แต่โจทย์คืออยากทำ เราชอบ ซึ่งไม่ใช่ในแง่นักธุรกิจเลย ไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจด้านธุรกิจได้ (หัวเราะ) เป้าหมายเราเล็กน้อยมาก โจทย์คืออยากทำหนังสืออีกครั้ง พอเราทำวารสารแล้วคนได้รับแฮปปี้ เห็นแล้วยิ้ม เก็บหนังสืออย่างดี พอมีคนรู้สึกดีถือว่าตอบโจทย์แล้ว ซึ่งถ้าเราทำงานในแง่การตลาดมากกว่านี้ คงไปได้ไกลกว่านี้มาก แต่เราไม่ใช่นักธุรกิจ เราชอบทำหนังสือ เราใช้ชาแนลของเราอย่างเดียว อาจจะมีเพื่อนพ้อง อย่าง a day ช่วยสัมภาษณ์ หรือคนที่พอจะเชื่อถือเรา รู้ว่าเราทำอะไรกันมา เราก็ดีใจแล้ว แต่ถ้าใครเป็นนักการตลาดแล้วมองว่ามันทำให้ดีได้กว่านี้ เราก็ยินดีร่วมงานนะคะ (แม่ยิ้ม)

“เวลาที่คนเขาบอกว่าได้ทำงานอาชีพที่ชอบแล้วได้เงินจากมันก็คือสุดยอดแล้ว จริงๆ มันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้นนะ เราไม่ได้สามารถเอาเงินจากการทำหนังสือมาเลี้ยงชีวิตทั้งหมดได้ คนอื่นอาจจะทำมันได้นะ คือการทำหนังสือมันมีคุณค่ากับเรา และมันต่อยอดงานอื่นๆ ได้ ซึ่งงานต่อยอด งานที่มีคนจ้างนั่นแหละที่เอามาลงกับสิ่งที่เราชอบได้ เงินเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เราทำเพราะเห็นคุณค่าของสิ่งสิ่งนั้น 

“แต่ถ้าวันหนึ่งเพจเกิดดังขึ้นมามันก็ดีนะ (หัวเราะ) แต่เราก็จะทำแบบนี้แหละ เป็นการบาลานซ์ในชีวิต ถ้าทำมากกว่านี้แล้วเป็นทุกข์มากก็ไม่ไหว พอชีวิตเป็นทุกข์ก็ไปดึงด้านอื่น มันจะเสียสมดุล (แม่ยิ้ม)”

(ขอบคุณ KIRIN SNAP X LABS สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย