ทำไมฉันถึงเก่งกาจในการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด

Highlights

  • ฉันเคยสงสัยเอาจริงๆ จังๆ ว่าทำไมเพื่อนที่มีแฟนแล้วถึงขยันงอนแฟนกันนัก และเก่งกาจเหลือเกินในการทำให้อีกฝ่ายรักรู้สึกแย่
  • ฉันจึงตั้งใจเอาไว้ว่าถ้ามีแฟนเมื่อไหร่ ฉันจะไม่งี่เง่า งอแง และทำนิสัยแย่ๆ อย่างนั้นใส่คนรักเด็ดขาด สุดท้ายฉันขอสารภาพว่าฉันทำไม่ได้
  • เราทำตัวงี่เง่าอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ผลิตตรรกะผิดเพี้ยนเพื่อเอาชนะฝั่งตรงข้ามที่เราอยากให้เขาเข้าอกเข้าใจเราที่สุดทำไม เราสู้ขนาดนั้นเพื่อปกป้องอะไรกันแน่

1.

ทำไมงี่เง่าจังวะ

ย้อนไปไกลมากในวันที่ยังไม่มีความรัก หรือพูดชัดๆ ว่ายังไม่มีแฟน ฉันเคยสงสัยเอาจริงๆ จังๆ ว่าทำไมเพื่อนที่มีแฟนแล้วถึงขยันงอนแฟนกันนัก เวลาทะเล่อทะล่าเข้าไปอยู่ในบรรยากาศมาคุระหว่างเพื่อนและแฟนเพื่อน ช่างเป็นช่วงเวลาที่ต้องทำตัวคล้ายอากาศธาตุ วุ่นหรือสนใจสิ่งอื่น ทั้งที่จริงได้ยินได้ฟังทุกรายละเอียดของการประชดประชัน ถกเถียง ถากถาง ชนิดที่ต้องยกย่องในใจว่าทำไมเพื่อนเรา (และแฟนมัน) ถึงเก่งกาจเรื่องนี้กันเหลือเกิน, หมายถึงเก่งกาจในการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่น่ะนะ

ด้วยความไร้เดียงสา ฉันตั้งอกตั้งใจเอาไว้ว่าถ้ามีแฟนเมื่อไหร่ฉันจะไม่งี่เง่า งอแง และทำนิสัยแย่ๆ อย่างนั้นใส่คนรักเด็ดขาด

แน่นอน, ย่อหน้านี้ฉันต้องสารภาพว่าฉันทำไม่ได้ และที่น่าละอายใจยิ่งกว่าคือฉันออกจะเก่งกาจกว่าเพื่อนด้วยซ้ำในการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและรู้สึกผิดมากด้วยคำพูดบางอย่าง แววตาบางอย่าง และอากัปบางอย่างที่น่าขนลุกขนพอง ฉันอาจจะไม่ใช่คนรักช่างจับผิด จู้จี้ ขี้บ่น หรือขี้หึง แต่ฉันเป็นเจ้าของความสัมพันธ์ที่ใจร้าย ช่างจดช่างจำ ไม่เคยยอมรับว่าผิด และเก่งเรื่องโยนความผิดอย่างร้ายกาจ ซึ่งสิ่งที่น่าละอายใจที่สุดก็คือฉันไม่เคยยอมรับ (แม้แต่กับตัวเอง) ว่าฉันเป็นคนแบบนั้น ดีลกับความสัมพันธ์แบบนั้น และทำร้ายคนที่รักกันแบบนั้น

2.

ทำเป็นเด็กๆ ไปได้

เหตุการณ์จำฝังใจในวัยประถมเกี่ยวกับชีวิตคู่ของฉัน คือการตื่นเช้ามาแล้วพบถ้อยคำประชดประชันถูกเขียนตัวโตๆ ด้วยปากกาไวต์บอร์ดหน้าบานประตูตู้เสื้อผ้า ฉันตกใจมาก รีบหากระดาษทิชชู่มาลบทิ้งก่อนแม่จะตื่นมาเจอ ฉันนึกโกรธพ่อที่เขียนอะไรแบบนี้ และวิ่งโร่ไปบ้านคุณยายเพื่อฟ้องว่าพ่อเขียนว่าแม่ ฉันไม่รู้หรอกว่าพ่อถูกยายจัดการอย่างที่ต้องการหรือไม่ แต่ความโกรธขึ้งในใจตามประสาลูกสาวคนเก่งถือหางคนเป็นแม่ทำให้ฉันไม่ยอมพูดกับพ่อไปหลายวัน

น่าจะนานระดับสิบปีที่ฉันตระหนักได้ในวันหนึ่งว่านั่นเป็นฝีมือแม่ที่ประชดประชันพ่อต่างหาก ฉันจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่าหากได้ใช้ชีวิตร่วมกับใคร ฉันจะเป็นผู้ใหญ่ที่พูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ตัดพ้อเล่นเกมเป็นเด็กขี้งอนเด็ดขาด

ใช่, แม้จะพยายามอย่างมาก แต่ฉันก็ทำไม่ค่อยได้หรอก

3.

มันเป็นกระบวนการที่ออกจะยากสักหน่อยในการยอมรับว่าเราไม่อาจรู้เท่าทันอารมณ์ เอาชนะความงอแงงี่เง่าด้วยเหตุผลไม่ได้ และมองความสัมพันธ์แบบไม่แบ่งเขาแบ่งเราไม่สำเร็จ แต่พอยอมรับขึ้นมาจริงๆ ฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วเราทำตัวงี่เง่าอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ผลิตตรรกะผิดเพี้ยนเพื่อเอาชนะฝั่งตรงข้ามที่เราอยากให้เขาเข้าอกเข้าใจเราที่สุดทำไม

เราสู้ขนาดนั้นเพื่อปกป้องอะไรกันแน่

ในโลกนอกความสัมพันธ์ เราอาจจะพอเข้าใจคนขับรถแย่ๆ บนถนนว่าอยากหวงแหนทางที่ตัวเองจะได้วิ่งไปข้างหน้า พยายามเข้าใจนักการเมืองที่โกหกหน้าด้านๆ ว่าทำไปเพื่อปกป้องอำนาจ หรืออย่างน้อยที่สุด เราก็พอเข้าใจคนที่ออกมาปกป้องนักการเมืองหน้าด้านๆ อีกทีว่าเป็นเพราะเขาไม่อาจยอมรับว่าปกป้องคนผิดมาตลอด

แต่กับความสัมพันธ์, ความรัก–ไม่น่าจะใช่ ความถูกต้อง–มันไม่มีตั้งแต่เถียงกันว่าใครเป็นฝ่ายผิดแล้ว อนาคต–ยอมรับเถอะ นั่นมันข้ออ้าง ประชาธิปไตยในความสัมพันธ์–ใครเป็นฝ่ายค้านล่ะ ฯลฯ

ฉันตอบไม่ได้ แต่พยายามหาข้อสรุปว่าเราไม่ได้ปกป้องอะไรเลย หรือต่อให้มันมีสิ่งที่เราอยากปกป้องอยู่จริง เราก็ปกป้องมันไว้ไม่ได้อยู่ดี

4.

ขอโทษให้มันจบๆ ไปเหรอ

ฉันชอบความคลาสสิกของคำนี้เวลาทะเลาะกันกับคนรัก ไม่ว่าจะออกมาจากปากใคร มันคืออาวุธสุดท้ายที่เรามักหยิบมาใช้กันโดยอัตโนมัติเมื่อไม่อาจตกตะกอนความขุ่นข้องในใจแม้อีกฝ่ายจะยกธงยอมแพ้ เอาจริงๆ เมื่อถอดตัวเองออกมาจากสถานการณ์นั้น นี่เป็นประโยคที่เป็นมนุษย์เอามากๆ ไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน จนต้องเอ็นดูมัน เหมือนเราเอ็นดูแมวงี่เง่าเจ้าปัญหาที่มาอ้อนขอนอนตักทั้งที่เราเพิ่งดุมันไปเพราะมาแอบลับเล็บที่โซฟา

เลิกตั้งความหวังก็ไม่ผิดหวัง เลิกหวงแหนก็ไม่ต้องปกป้อง เลิกราก็ไม่ต้องรักษาไว้

แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงต่อไปเถอะมนุษย์

AUTHOR

ILLUSTRATOR

กาแฟดำไม่เผ็ด

เป็นคนวาดภาพประกอบ เขียนคอลัมน์ เขียนหนังสือสำหรับเด็ก เจ้าของเพจกาแฟดำไม่เผ็ด และ Milo and Me ชอบเดินทาง แต่ก็ชอบอยู่บ้าน ชอบทำอาหาร ชอบดูนก ชอบวาดรูปและเล่าเรื่อง ชอบชีวิต…