ความฝันที่อยากเห็นภาพยนตร์ไทยเดินทางไปไกลถึงตลาดโลกดูจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนนึกถึง โดยเฉพาะคนในวงการภาพยนตร์ที่พยายามขับเคลื่อนให้ผลงานตัวเองเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
แต่สำหรับ เรย์มอนด์ พัฒนวีรางกูล โปรดิวเซอร์ผู้เคยคว้ารางวัลโปรดิวเซอร์แห่งปี AFCNet Best of Producer 2017 จาก AFCNet (Asian Film Commissions Network) ไม่ได้แค่อยากให้ภาพยนตร์ไทยเดินทางไปไกลระดับโลก แต่เรย์มอนด์อยากเห็นภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ยอมรับไปด้วยกัน เขาจึงชักชวนเพื่อนในวงการอย่างวิศรา วิจิตรวาทการ ผู้กำกับและหนึ่งในนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง ดาวคะนอง มาร่วมจัดโครงการหนึ่งขึ้น
โครงการนั้นคือ Southeast Asia Fiction Flim Lab หรือ SEAFIC แล็บที่ให้นักทำหนังทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาพัฒนาบทภาพยนตร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ด้วยประสบการณ์การเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศ และการเป็นผู้คัดเลือกภาพยนตร์ให้กับเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Cannes Film Festival, Toronto International Film Festival, Hong Kong International Film Festival เรย์มอนด์จึงได้เรียนรู้เรื่องราวในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับสากลและเกิดไอเดียที่จะสร้างโครงการนี้เพื่อช่วยพัฒนาผู้กำกับหรือคนเขียนบทหน้าใหม่ให้ผลิตผลงานออกมาได้อย่างมีคุณภาพ
ตลอด 3 ปีของการจัดกิจกรรมเขาได้เห็นอะไรในแวดวงภาพยนตร์อาเซียนบ้าง แล้วการทำบทเพื่อให้เกิดภาพยนตร์ที่ดีจะต้องทำยังไง เรย์มอนด์มีคำตอบรออยู่
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้คืออะไร
ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนเลือกหนังเพื่อเทศกาลใหญ่ๆ ทั้งเทศกาลโทรอนโต, เทศกาลคานส์ ในเซกชั่นที่ชื่อว่า credit weeks แล้วเคยทำงานกับบริษัท Fortissimo Films ที่ไปขายหนังให้ผู้กำกับดังๆ อย่างหว่อง กาไว, พี่ต้อม เป็นเอก ต่อมาผมก็มาเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่อง Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ และ ฝนตกขึ้นฟ้า ของพี่ต้อม เป็นเอก, พี่ชาย My Hero ของ Josh Kim และ Apprentice ของผู้กำกับชาวสิงคโปร์ชื่อ Boo Junfeng ทำให้ผมได้ทำงานในวงการนี้มามากกว่า 10 ปี ก็เลยมีประสบการณ์รู้ว่าต่างประเทศเขามีเทสต์เป็นยังไง ตลาดหนังเมืองนอกเป็นยังไงบ้าง
แล้วทีนี้ตอนที่ผมเป็นโปรดิวเซอร์เรื่อง Apprentice พวกเราเข้าไปที่สคริปต์แล็บที่อิสราเอล ชื่อว่า The Jerusalem International Film Lab มันเลยทำให้ผมรู้ว่ามันมีแล็บแบบนี้ในต่างประเทศ แล้วผมก็ได้ไปเจอที่อื่นๆ อีก อย่างแล็บที่อเมริกาของ Sundance Institute หรือที่อิตาลีชื่อว่า TorinoFilmLab ผมก็เลยคิดว่าถ้าเกิดมันมี development lap แบบนี้ในต่างประเทศซึ่งมันช่วยคนทำหนังได้ ทำไมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีอย่างนี้ล่ะ
ผมก็เลยอยากจะสร้างขึ้นมา ตอนนั้นประมาณปี 2014 ลองเอาไอเดียนี้ไปคุยกับ Purin Foundation เขาก็บอกว่าน่าสนใจ แล้วผมกับคุณวิศรา วิจิตรวาทการ ก็เลยเริ่มสร้างโครงการนี้ด้วยกัน เราคุยกันว่าอยากจะช่วยผู้กำกับรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มทำเรื่องแรก เรื่องสอง เรื่องสาม ให้เขาดำเนินบทให้มันดีขึ้น และมันจะส่งผลให้หาทุนทำหนังได้ง่ายขึ้น แต่ตอนท้ายคุณวิศราก็กลับไปที่ Purin Foundation ผมก็อยู่ต่อเป็น executive director แล้วก็เริ่มชวนคนในวงการภาพยนตร์มาทำงานด้วยกัน
ทำไมหนังเรื่องหนึ่งต้องเริ่มจากบทที่ดี มันต่อยอดอะไรได้บ้าง
ผมคิดว่าคนที่อยากดูหนังก็จะดูเรื่องที่มันสนุกๆ ถ้ามันไม่สนุกคนก็จะไม่อยากเสียเงินเข้าไปดู สุดท้ายก็จะขาดทุน เพราะภาพยนตร์เรื่องหนึ่งมันต้องใช้หลายล้านถึงสร้างมันได้ เพราะฉะนั้นถ้ายูไม่มีบทที่ดี แล้วหนังเรื่องนี้จะดีได้ยังไง เพราะต่อให้มีผู้กำกับดี มีดาราดังที่มีคุณภาพขนาดไหน แต่ว่าสตอรีบทมันไม่ดี คนก็ไม่ไปดู
เราเลยคิดว่าหนังมันต้องเริ่มจากบทที่ดี ซึ่งหมายถึงอ่านแล้วสนุก อ่านแล้วเข้าใจ มีตรรกะที่เอาอยู่ ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดในบทคือคาแร็กเตอร์ ถ้าคนทำหนังไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกถึงคาแร็กเตอร์ คนดูก็จะไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสนุก เพราะคนไปดูหนังเพราะเขาอยากรู้สึกมีความสุข หัวเราะ เศร้า แต่ถ้าคนดูไม่อินกับคาแร็กเตอร์เขาก็ไม่แคร์เนื้อเรื่อง
แล้วทำไมถึงต้องสร้างเป็นโครงการพัฒนาบทระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพราะผมรู้สึกว่าถ้าทำแต่แล็บเพื่อคนไทยมันอาจจะเล็กเกินไป พวกเราอยากจะให้ความคิดมัน international มากขึ้น เราอยากเชิญคนทำหนังจากต่างประเทศมาให้ความเห็นเพื่อจะได้พัฒนางานและให้คนทำหนังได้เข้าใจการทำหนังของต่างประเทศด้วย
ข้อดีของการทำหนังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ หนึ่ง ประเทศพวกเราใกล้ชิดกัน เดินทางง่าย สองคือเราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวกัน เขาก็ไม่เข้าใจว่าคุณมาจากเมืองไทยมีความคิดยังไง คุณก็ไม่เข้าใจเขา ดังนั้นแต่ละคนจะมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมว่าอย่างนี้แหละดี เพราะบทที่ออกมามันจะได้ใหม่ขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือมันมีคำพูดที่ว่า ‘big man on a small island’ หมายถึงว่าในประเทศนั้นๆ คุณอาจจะเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือ แต่ประเทศอื่นเขาไม่ได้รู้จักคุณ เพราะฉะนั้นอีโก้มันจะลดลง เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าคนอื่นเขาคิดยังไงกับคุณ ทำให้ทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน
ก่อนจะมีโครงการนี้ วงการภาพยนตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อกันบ้างไหม
ไม่เลย ตอนนั้นมันเกือบจะไม่มีองค์กรพัฒนาบทอะไรเลยในภูมิภาคนี้ มันเลยมีปัญหาตอนที่พวกเราสร้าง SEAFIC ขึ้นมา เพราะเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของแต่ละประเทศเลย เราก็ไม่รู้ว่าแล็บจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า จะมีคนสนใจมาสมัครไหม แต่ผมคิดว่าพวกเราอยู่ใกล้กันน่าจะช่วยกันได้
ผมก็เลยคิดว่าก่อนเริ่มโครงการต้องไปทุกประเทศก่อน ไปคุยกับผู้กำกับ คุยกับอุตสาหกรรมบ้านเขา ไม่งั้นทำงานกับพวกเขาไม่ได้ ผมเลือกไปเมืองใหญ่ของ 10 ประเทศคือ ฮานอย นครโฮจิมินห์ ย่างกุ้ง เวียงจันทน์ พนมเปญ กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ มะนิลา จาการ์ตา ผมไปหมด ไปคุยและทำแล็บกับผู้กำกับที่นั่น เข้าไปหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของทุกประเทศก่อนเพราะผมต้องรู้ว่าของเขาเป็นยังไง
คุณบอกว่าไม่รู้ข้อมูลอุตสาหกรรมประเทศเพื่อนบ้านเลย แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าถ้าสร้างโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ
ต้องยอมรับว่าปีแรกๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีคนสมัครหรือเปล่า เปิดโครงการไปสักพักมีคนส่งโปรเจกต์มาน้อยมาก แต่สรุปว่าวันท้ายๆ มีคนสมัครมาจากทั่วภูมิภาคประมาณ 57 โปรเจกต์ ผมก็รู้สึกว่าโอเค (ถอนหายใจแล้วหัวเราะ)
ตอนแรกไม่รู้เลยว่าคนจะเข้าใจโครงการไหม หลายคนก็ไม่เข้าใจ แล็บมันคืออะไร การทำบทให้ดีคือยังไง เขาคิดว่าพวกเราจะเอาบทเขามานินทา มันไม่ดีนะคุณต้องแก้อย่างนี้ๆ แต่มันไม่ใช่ การทำงานของพวกเราคือเราจะถามคำถามเหมือนกับที่เขากำลังไปหาจิตแพทย์ ถามเพื่อให้ผู้กำกับหรือนักเขียนบทรู้ว่าปัญหาของตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะถ้าไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ไหน แล้วไม่เชื่อในบทที่ทำ เขาก็จะเขียนมันออกมาไม่ได้ หรือว่าถ้าเขาเขียนเพื่อจะตามความคิดพวกเราอย่างเดียว ตอนทำหนังมันก็จะแย่ เพราะยังไงบทมันก็ต้องมาจากผู้กำกับหรือมาจากนักเขียนบทเองถึงจะทำให้บทดีได้จริงๆ เราก็จะอธิบายการทำงานไปให้เขาเข้าใจด้วยว่าเราทำงานแบบนี้นะ
หลังจากที่คุณไปเยี่ยมเยียนวงการภาพยนตร์แต่ละประเทศมาแล้วเป็นยังไงบ้าง
ทุกประเทศก็มีปัญหาของตัวเอง บางประเทศเหมือนมีซัพพอร์ตเยอะ เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เขามีทุนด้วย ถ้าไปเทศกาลอะไรเขาจะมีทุนที่ใช้ในเทศกาลใหญ่ๆ พวกนี้ได้ แต่บางประเทศเล็กๆ อย่างเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา เขาไม่มีเงินเลย ส่วนเมืองไทยยังถือว่าโอเค ไม่ได้ดีมากแต่ยังมีกระทรวงวัฒนธรรมที่เขาช่วยได้บางส่วน
ส่วนมุมมองการทำหนังก็จะมีแนวทางต่างกันไป อย่างบ้านเราก็มีสิ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เช่น คนในวงการก็มีการแบ่งแยกหนังเป็นค่ายแมสกับค่าย art house ชัดเจนมาก แต่ไปสังเกตในต่างประเทศเขาไม่คิดอย่างนี้ อย่างหนังของมาร์เวล ผู้กำกับที่จะทำหนังมาร์เวลผลงานแรกๆ ของเขาเป็น art house ล้วนๆ นะ เช่น ผู้กำกับ Black Panther หนังเรื่องแรกเขา art house มากๆ และได้เข้าคานส์ด้วย ผมก็เคยคิดอยู่ว่าทำไมมาร์เวลเลือกผู้กำกับที่ art house ขนาดนี้ เพราะเขาไม่แคร์ว่าคุณมาจากไหน แต่เขารู้ว่าคุณมีสายตาที่มันใหม่ ในขณะที่เมืองไทยมันไม่ใช่อย่างนี้ ซึ่งผมรู้สึกว่านี่มันลิมิตการทำหนังในเมืองไทยมากเกินไป
อย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ก็ไม่คิดมากแบบบ้านเรา เวียดนามบางเรื่องที่เป็นคอมเมอร์เชียลก็เป็น art house ด้วย หรือบางที art house ก็เป็นคอมเมอร์เชียลด้วย อย่างเช่นเรื่อง Goodbye Mother หนัง LGBT ของเวียดนามก็เป็น independent นะ แต่เขาก็ทำเป็นคอมเมอร์เชียลไป ส่วนฟิลิปปินส์มีผู้กำกับที่เขาทำหนังเล็กๆ แล้วตอนสุดท้ายเขาทำหนังที่มันเป็นบล็อกบัสเตอร์ฮิต มาเลเซียก็จะมีหนังแอ็กชั่นเพราะเหมือนเขามีตลาดคนดู แต่ละประเทศเขามีเทสต์ของตัวเอง
แต่ละประเทศก็มีมุมมองอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน แล้วเกณฑ์ในการคัดเลือกบทเข้ามาร่วมพัฒนาในโครงการคืออะไรบ้าง
แล็บของเราเปิดรับหนังทุกรูปแบบ จะเป็นหนังคอมเมอร์เชียลหรือ art house เราก็เปิดรับหมด คือบางคนคิดว่าโปรเจกต์ที่เข้ามาหาพวกเรามัน art house มาก หรือบางกลุ่มก็คิดว่าพวกเราคอมเมอร์เชียลมาก แต่มันไม่ใช่เลย โปรเจกต์ที่เข้ามาตอนนี้มีหนังผี 2 เรื่อง แล้วก็แอ็กชั่น คือเราเปิดรับหมด ขอแค่บทดี สตอรีดี
แล้วจริงๆ พวกเราไม่ได้เป็นคนคัดเลือก แต่จะมีกรรมการที่มีประสบการณ์ในการคัดเลือกภาพยนตร์ในเทศกาลหนังใหญ่ๆ ทำงานในวงการหนังมาแล้วเกือบ 10 ปี และมาจากหลายประเทศ ซึ่งเขาเป็น decision maker อยู่แล้ว พวกเขาจะมาคัดเลือกบทให้เรา ในแต่ละปีเราจะเชิญกรรมการมาไม่ซ้ำกัน อย่างเช่นในปีนี้จะมี Kanako Hayashi คนนี้เคยเป็นที่ปรึกษาในเทศกาล Venice Film Festival และ Berlinale Forum, Hédi Zardi CEO Paris-based international sales หรือว่า Maggie Lee หัวหน้า Asia Film Critic at Variety และเป็นที่ปรึกษาหนังเอเชียใน Tokyo International Film Festival
เราจะมี selection committee 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมี 3 คน อ่านทุกอย่างยกเว้นบท เพราะต้องดูว่า financing ดีหรือเปล่า ถ้าคุณทำหนังสั้นมาก่อนก็อยากจะดูว่ามันดีไหม ไม่งั้นเขาต้องอ่าน 30-40 บทมันเยอะเกินไป ดังนั้นเขาจะอ่านแล้วคัดเลือกให้เหลือ 10-12 โปรเจกต์ก่อน
ส่วนกลุ่มที่สองจะเป็นคนอ่านบท 10-12 เรื่องนี้ แล้วจะคัดเลือกแค่ 5 เรื่องสุดท้ายที่เข้ารอบไปพัฒนาบท ตอนท้ายกรรมการที่คัดเลือกก็จะมาไทยด้วยเพื่อคุยกับผู้กำกับและนักเขียนบทตรงๆ เลยว่าความเห็นเขาเป็นยังไง บางครั้งกรรมการอาจจะรู้สึกว่าโปรเจกต์นี้ดีแต่อาจมีปัญหาตรงนี้นะ หรือโอเค เขาชอบสิ่งนี้ แต่คุณต้องทำสิ่งนี้ให้มันดีขึ้นด้วย เขาก็จะคอมเมนต์มา แล้วพวกเราก็ได้เรียนรู้จากตรงนี้ มันเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมด้วย
ถ้าคนทำบทเรื่องนั้นได้รับเลือกเข้าโครงการแล้ว พวกเขาจะต้องทำอะไรบ้าง
แล็บเรามีการพัฒนาบท 8 เดือน แบ่งเป็น 3 เซสชั่น เซสชั่นแรกเริ่มต้นในเดือนมีนาคม พวกเราจะจัดที่เชียงใหม่ โดยเชิญเมนเทอร์จากต่างประเทศมาเข้าร่วมด้วย ใน 8 วันจะมีการฟีดแบ็กบทกัน ผู้กำกับอ่านบทของแต่ละคน มีการทำงานร่วมกับผู้กำกับคนอื่นๆ แล้วทีนี้ก็จะมีโน้ตว่าต้องแก้ไขบทส่วนไหนบ้าง แล้วเราจะให้เวลาประมาณ 3 เดือนไปแก้บท ระหว่างที่เขาแก้บทพวกเราก็ยังมี Skype session ถ้าใครมีคำถามก็สามารถสอบถามได้ แล้วพวกเราจะมีเดดไลน์ให้ว่าทุก 3 เดือนต้องมีบทที่แก้ไขแล้วมาให้ดู
พอเสร็จทั้งหมดแล้วเราจะให้พวกเขามา live pitching บทให้กับกรรมการในงาน Open House ที่จะจัดช่วงปลายปี แล้วกรรมการจะเลือกผู้ชนะรางวัล SEAFIC 1 โปรเจกต์ พวกเขาจะได้เงินรางวัล 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกิจกรรมนี้สำคัญมาก ใน Sundance, TorinoFilmLab หรือ Jerusarem เขาก็ทำอย่างนี้หมดเพราะมันเป็นการฝึกไว้เพื่อเตรียมไป pitching ให้กับ funding ต่างๆ ถ้าพวกเขาได้เริ่มจากแล็บของเรามันก็จะยังไม่อันตรายขนาดนั้น (หัวเราะ) เพราะถ้าล้มเหลวยังมีโอกาสปรับปรุงได้
ตอนนี้โปรเจกต์ที่เข้ามาในแล็บเราก็ได้เงินมาจากหลาย funding แล้ว ผมรู้สึกดีใจมากเพราะเขาทำต่อได้ อย่างหนังไทยที่เข้ามาในแล็บพวกเราแล้วคือ สรยศ ประภาพันธ์ โปรเจกต์ ARNOLD IS A MODEL STUDENT, นนทวัฒน์ นำเบญจกุล โปรเจกต์ Doi Boy, ศิวโรจน์ คงสกุล โปรเจกต์ Regretfully at Dawn ตอนนี้พวกเขาก็กำลังพัฒนาอยู่ สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้สร้างหนัง ได้ยินว่าถ้าทุกอย่างสำเร็จปีหน้าจะเริ่มถ่ายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราก็ภูมิใจว่าได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาบทเขา
ในงาน Open House นอกจาก live pitching แล้วจะมีกิจกรรมอะไรอีกบ้าง
งาน Open House จริงๆ เราอยากให้คนทั่วไปได้เข้ามาร่วมงานด้วย เพราะหลายคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีสคริปต์แล็บ, โปรดิวเซอร์แล็บ ทำไมต้องมีการพัฒนาอย่างนี้ เราเลยจัดกิจกรรมไว้เยอะ เช่น โครงการ SEAFIC Open Fair คือเปิดให้คนมาเข้าร่วมได้รู้จักและพูดคุยกับอีก 8 โครงการแบบเราที่มาจากเอเชียและยุโรป เราก็มีโครงการใหญ่ๆ ที่มาจากเกาหลี อย่างเทศกาลปูซาน แล้วก็ Busan Asian Film School คือเป็นโรงเรียนเพื่อช่วยโปรดิวเซอร์ แล้วก็มี Cannes Residency, Locarno International Film Festival ที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์
แล้วก็มีกิจกรรมเจอ whole investors ที่มาจากต่างประเทศ คือเราอยากให้คนทำหนังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มาเจอกันเพราะเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนพวกนี้ บางคนอยู่ไกล คุยกันยาก แต่ถ้ามีที่หนึ่งที่คนในวงการมาเจอกันได้ คุยกันได้ ผมรู้สึกว่ามันจะมีประโยชน์
พออุตสาหกรรมเป็นแบบนี้ บริบทสังคมจากหลายๆ ประเทศที่แตกต่างกัน แล้วอะไรคือเป้าหมายของการทำโครงการนี้
ในวงการภาพยนตร์จะมีทุนทำหนังจากรัฐบาลฝรั่งเศสกับเยอรมนีชื่อว่า CNC กับ World Cinema Fund ปกติทุกปีจะมีหนังจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 เรื่องที่เข้ารอบ แต่ในปี 2015 เห็นชัดมากว่าไม่มีหนังจากภูมิภาคนี้ที่ได้ทุนเหล่านี้เลย ผมก็ถามหัวหน้าของ World Cinema Fund ว่าทำไม เขาก็บอกตรงๆ เลยว่าหนังมันไม่ค่อยดี
ผมเลยคิดว่าอยากให้คุณภาพของบทหนังมันดีขึ้นเพื่อไปสู่ตลาดโลกได้ เพราะถ้าบทมันดีขึ้นนักลงทุนจะมั่นใจขึ้น สุดท้ายมันจะเกี่ยวกับคนที่มาลงทุนหนัง สมมติว่าตอนแรกเขาไม่กล้าจ่ายเงินให้เรา แต่ถ้าเขาชอบบทจริงๆ ก็มีบางคนที่เขาโอเค ยอมลงเงินได้
ที่สำคัญอยากจะให้อุตสาหกรรมหนังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขายได้ที่ต่างประเทศเหมือน Train to Busan หรือ Parasite ถ้ามีหนังบางเรื่องที่มาจากประเทศพวกเราไปไกลขนาดนี้ ชนะรางวัลใหญ่ ทำเงินได้ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน box office ทั่วโลก โอ้โห ผมแฮปปี้มากเลย มันไม่ใช่โปรเจกต์ของพวกเรา แต่สุดท้ายเราช่วยเขาทำได้ เราอยากให้ตลาดโลกกลับมาดูว่าพวกเรามีมุมมองใหม่ ผู้กำกับใหม่ มีการสร้างหนังที่มันใหม่ มีพลังใหม่ๆ ให้เขาอยากกลับมาดูหนังพวกเราอีก