จากสัญลักษณ์มือสามนิ้วที่ชูขึ้นเหนือหัวของ Katniss Everdeen หญิงสาวผู้กล้าตัวแทนจากเขต 12 ในนวนิยายและภาพยนตร์ชุด The Hunger Games ที่สื่อความถึงการต่อต้านและการไม่ยอมจำนนต่ออำนาจของเมืองหลวง การแสดงจุดยืนทางการเมืองของคนไทยรุ่นใหม่ในปี 2557 ก็รับสัญลักษณ์นี้มาใช้เรียกร้องและยังใช้เรื่อยมาตลอดระยะเวลาหลายปี
ไม่นานมานี้ ภาพวาดมือชูสามนิ้วหลากสไตล์เริ่มถูกแชร์จนเต็มฟีดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวิตเตอร์ มีตั้งแต่ผลงานของนักวาดมือสมัครเล่นไปจนถึงระดับศิลปินมืออาชีพ และเหนือภาพทั้งหมดติดแฮชแท็กเดียวกัน
#SaveThaiDemocracy

@Linghokkalom
เราอดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูที่มาที่ไปของมูฟเมนต์ออนไลน์สนุกๆ ครั้งนี้ ก่อนจะเห็นทวีตของผู้ริเริ่มแคมเปญอย่าง เนอส–วิศัลย์ศยา ลอยไสว นักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์เจ้าของนามปากกา Linghokkalom เธออธิบายไอเดียทั้งหมดพร้อมเชิญชวนด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่าย แถมยังเต็มไปด้วยความตั้งใจไม่แพ้แคตนิส
‘เรียนเชิญเหล่านักวาด นักออกแบบ และผู้ร่วมสนุกทางออนไลน์ทุกคน มาร่วมแสดงจุดยืนผ่านการวาดรูป กราฟิก หรือรูปถ่ายสัญลักษณ์ชูสามนิ้ว พร้อมกับชวนเพื่อนอย่างน้อยหนึ่งคนร่วมแสดงอุดมการณ์ พร้อมติดแท็ก #SaveThaiDemocracy กันค่ะ’
ภายใต้ข้อความนี้บวกกับภาพชูสามนิ้ว หลายคนคงพอเดาได้ว่าเนอสคิดหรือรู้สึกยังไงต่อสถานการณ์ทางการเมืองอันแสนวุ่นวายที่เรากำลังเผชิญ แต่จะตรงกับที่เราคิดไหม เราขอให้เธอช่วยยืนยัน

@noetcomic
ให้คนที่ไม่เคยพูดกล้าออกมาพูด
“เราเห็นทุกวันนี้มีการเซฟโน่นเซฟนี่กันเยอะไปหมด เราเลยอยากเซฟประชาธิปไตยบ้าง ออกมาเป็นแฮชแท็ก #SaveThaiDemocracy” เนอสอธิบายง่ายๆ ก่อนขยายความต่อ
“จริงๆ แล้วแฮชแท็กนี้เกิดขึ้นจากความโกรธ เพราะช่วงนี้เราติดตามข่าวสารการเมืองอย่างใกล้ชิด และเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เรารู้สึกโกรธมากๆ โกรธจนอยากทำอะไรสักอย่างที่จริงจังกว่าการบ่นด่าเฉยๆ เลยคิดว่าถ้าลองชวนทุกคนมาแสดงอุดมการณ์ผ่านการวาดรูปน่าจะดี”
“มีการคิดหรือวางแผนก่อนจะสร้างแฮชแท็กล่วงหน้าไหม” เราสงสัย
“เราคิดล่วงหน้าประมาณวันสองวันหลังจากที่ไปชุมนุมที่มหาวิทยาลัยของตัวเอง” แต่เมื่อการชุมนุมไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีอุปสรรคด้านอื่นอีกหลายอย่าง เนอสจึงวางแผนเริ่มแฮชแท็กนี้ด้วยตัวเองและใช้โลก 4.0 เป็นพื้นที่ในการแสดงออก

Sina Wittayawiroj
การแสดงออกทางการเมืองผ่านศิลปะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่เธอยังเลือกใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางเพราะเผื่ออีกหลายคนที่ยังไม่กล้าแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างชัดเจน เนอสจึงอาศัย soft power อย่างศิลปะเป็นก้าวแรก
“ตอนแรกเราก็กลัวจะแป้กนะคะ กลัวคนไม่กล้าแสดงออก แต่มันก็เหมือนกับการชุมนุมของหลายมหาวิทยาลัยที่พอมีคนเริ่มก็จะมีคนตาม แล้วจึงเกิดเอฟเฟกต์ต่อทำให้อีกหลายคนที่เหลือค่อยๆ ออกมาแสดงความคิดเห็นของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันไม่กลัวแล้วนะ เพราะฉันก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่มาร่วมสู้ไปด้วยกัน
“เมื่อเป็นแบบนี้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในเจตจำนงของตัวเองแล้ว ที่ทำให้คนที่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นกล้าออกมาพูดผ่านงานศิลปะในพื้นที่ที่เราสร้าง” เนอสตอบด้วยความภูมิใจ

@monstyplanet
ไปอยู่ไหนกันมาตั้งนาน
ไม่นานหลังจากที่เนอสตัดสินใจเปิดแฮชแท็ก ภาพชูสามนิ้วติดแฮชแท็ก #SaveThaiDemocracy ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักกัน พอเขาเริ่มเห็นแฮชแท็กก็จะมาบอกว่ารอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวทำด้วย” จากโมเมนต์ประทับใจเล็กๆ นำไปสู่ผลงานเจ๋งๆ จากศิลปินมืออาชีพอีกหลายคน
“อย่างที่เราชวนให้มาวาดด้วยกันก็จะมีพี่จัง ซึ่งพอเขาปล่อยงานออกมาเราก็แบบ โห สุดจริงคนนี้”

@jungsnrk

@saart_tanis
“หรืออย่างของพี่สะอาด งานนี้ก็ทำให้เกิดการวิพากษ์ในโพสต์ว่าตัวละครในการ์ตูนของเขาควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในชีวิตจริงไหม นอกจากนี้ก็มีรุ่นพี่ที่คณะอีกคนที่ทำศิลปะเพื่อแสดงออกทางการเมืองมานานมากแล้วมาร่วมด้วย พร้อมกับบอกว่าดูแล้วน้ำตาจะไหล ไปอยู่ไหนกันมาตั้งนาน”
ผลงานเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในแวดวงของนักวาดอย่างที่หลายคนคิด เมื่อคนที่มาร่วมแชร์ภาพของตัวเองนั้นมีทั้งเด็กนักเรียน นักศึกษา หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่หลายคนที่อยากมาแสดงออกร่วมกัน
“สิ่งที่ไม่คาดคิดคือมีรุ่นพี่ในคณะมาชวนให้ไปทำงานศิลปะเพื่อประชาธิปไตยด้วยกัน ซึ่งเราแอบรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะก็เลยประหม่านิดหนึ่ง แต่เป้าหมายในใจของการทำแคมเปญนี้คือเราอยากให้ไปถึงจุดที่ได้จัดนิทรรศการเลย” เมื่อกระแสสังคมถูกจุดติดและมีคนพร้อมสนับสนุน เนอสจึงไม่ลังเลที่จะวางเป้าหมายต่อไปด้วยความแน่วแน่

@Art_of_Anatomy
สร้างพลังงานหมุนเวียน
ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนอสสร้างแรงขับเคลื่อนบนโลกออนไลน์
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เนอสเริ่มต้นแฮชแท็ก #ThaiArtist ที่ชวนศิลปินไทยบนโลกออนไลน์มาแนะนำตัวพร้อมโพสต์ภาพผลงานของตัวเองเพื่อทำความรู้จักและโปรโมตสิ่งที่ทุกคนกำลังทำอยู่ไปในตัว แฮชแท็กนี้ติดเทรนด์ประเทศไทยอยู่นานแถมยังมียอดคนติดแฮชแท็กรวมกว่า 200,000 ทวีต และเป็นที่สนใจแม้กระทั่งในหมู่คนที่ไม่ใช่นักวาด ที่อดไม่ได้ต้องคอยสอดส่องหาแอ็กเคานต์ศิลปินที่ถูกใจเพื่อตามไปกดฟอลโลว์เช่นกัน
“เราได้เห็นงานของศิลปินเก่งๆ จากต่างประเทศผ่านแฮชแท็กบ่อยมาก อย่างเช่นแฮชแท็ก #portfolioday #visiblewomen หรือ #drawingwhileblack ที่จะโผล่มาให้เราเห็นทุกปี เราเลยอยากสร้างแฮชแท็กบ้าง เพราะเรารู้ว่ามีคนไทยเก่งๆ ซุกซ่อนอยู่มาก เราอยากช่วยให้คนอื่นๆ ได้เห็นงานคนไทยด้วยกันมากขึ้น” เนอสเล่าถึงความตั้งใจที่อยากเป็นหนึ่งแรงซัพพอร์ตเล็กๆ ให้เพื่อนศิลปินในวงการ

@Poontany
“ถ้าอย่างนั้นอะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณเริ่มเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ ทั้งในด้านศิลปะและการเมือง”
“เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง” เนอสตอบแบบที่ทำให้เราผิดคาด เมื่อเทียบกับความสำเร็จของแฮชแท็กที่ผ่านๆ มาของเธอ
“เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง เลยอยากลองเป็นสายซัพพอร์ตดูบ้างเพื่อให้กลับมามีกำลังทำอะไรๆ ได้อย่างมั่นใจขึ้น แล้วเราจะได้เอาเชื้อเพลิงที่ได้จากการเคลื่อนไหวตรงนี้ไปทำเพื่อคนอื่นได้ต่อไป เป็นเหมือนพลังงานหมุนเวียนให้กับตัวเอง แล้วส่งต่อให้คนอื่นด้วย”
แน่นอนว่าเท่าที่เห็นกระแสตอบรับของการเคลื่อนไหวทั้งสองครั้ง เนอสก็ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วว่าความเป็นสายซัพพอร์ตของเธอมีพลังและช่วยส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับคนอื่นได้ไม่น้อยเลย

@markhismo
พลังของอินเทอร์เน็ต
ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนระอุจนเกิดแฮชแท็กทั้งด่าทั้งเซฟกันไม่เว้นวัน เราได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าการโพสต์บนโลกออนไลน์สร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เนอสไม่คิดอย่างนั้น
“มันสร้างแรงกระเพื่อมได้จริงค่ะ” เธอยืนยันหนักแน่น
“เราคิดว่าหลายกิจกรรมหรือหลายเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ก็เกิดขึ้นเพราะกระแสบนอินเทอร์เน็ตนี่แหละ ในอีกแง่หนึ่งมันเป็นเหมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ด้วย เวลาผ่านไปแล้วเรากลับมาย้อนดูจะเห็นว่าในตอนนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“เราคิดว่าตอนนี้สิ่งที่พวกเขากลัวคือพลังของอินเทอร์เน็ต ถ้ามันไม่มีผล ไม่มีแรงกระเพื่อมจริงๆ พวกเขาคงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัว แม้ว่ามันอาจจะยังไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง แต่อย่างน้อยเราเชื่อว่ามันส่งผลต่อมุมมองที่ฝั่งเผด็จการมีต่อคนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน”

@v2902s
“แล้วถ้าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเกิดขึ้นไม่ได้ เราพอจะช่วยอะไรได้บ้างในฐานะคนไทยคนหนึ่ง” เราถามเนอสเป็นข้อสุดท้าย
“เราคิดว่าการที่ทุกคนกล้าออกมาแสดงออก วิพากษ์สังคม เพื่อให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้แล้ว มันคือสัญญาณของความไม่โอเคและเป็นการบอกว่าเราจะไม่ยอมกับความอยุติธรรมอีกต่อไป”

@MNuntikan