Saas-Fee หมู่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์ที่เปิดประตูออกมาก็เจอภูเขา 13 ยอดโอบล้อม

ผมกำลังเดินทางไปบนเส้นทางสายรถไฟในสวิตเซอร์แลนด์ แวะพักตามเมืองต่างๆ ไปเรื่อยๆ และมีอยู่ที่หนึ่งยังไม่เป็นที่นิยมและไม่อยู่ในไกด์บุ๊กมากนัก นั่นคือซาสฟี (Saas-Fee)

ซาสฟีคือหมู่บ้านริมเขาสไตล์ mountain town แบบสวิสคลาสสิก ที่นั่นผมได้ป้อนถั่ว ลูบหัว น้องมาร์มอต  และทานมื้อเที่ยงที่ภัตตาคารหมุน 360 องศาที่สูงที่สุดในโลก

ขบวนรถไฟสายความฝัน ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า หิมะ–Glacier Express เขาบอกว่านี่คือรถด่วนที่ช้าที่สุดในโลก ที่ช้าก็เพราะจะได้เห็นวิวชัดๆ ทุกภาพบรรยากาศ ซึ่งมีค่าเกินกว่าจะพลาดไปสักวินาที

ถือเป็นช่วงเวลาที่เพลินมากๆ การได้นั่งรถไฟนาน คิดอะไรไปเรื่อย หรือมองเหม่อโดยไม่มีอะไรในหัว รู้สึกเหมือนได้พักชีวิต พักใจ ไปกับความสวยงามข้างทาง

บนรถไฟเราเห็นทิวทัศน์แบบพาโนรามาเพราะกระจกใสทั้งสองด้าน หลังคาก็ยังใส ไม่มีสิ่งใดบดบังสายตา ข้าม 291 สะพาน ลอด 91 อุโมงค์ ข้ามเทือกเขาแอลป์ แล่นเลาะเลี้ยวไปตลอดหุบเขา ผ่านเงื้อมผาสูงชัน ผ่านหมู่บ้านบนภูเขาสงบสันโดษ ข้ามทางรถไฟยกระดับ ผ่านหุบเหวลึกแห่งแม่น้ำไรน์อันมีสมญาว่า ‘แกรนด์แคนยอนแห่งสวิตเซอร์แลนด์’ ไต่สู่จุดสูงสุดที่ระดับกว่า 2,000 เมตร พร้อมเมนูกลางวันปรุงสดใหม่ กล้าพูดได้เลยว่านี่คือการนั่งรถไฟที่รู้สึกชีวิตดูแพงขึ้นจริงๆ

ผมได้หยุดพักท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ 2-3 วัน ส่วนใหญ่อยู่บนรถไฟ มีต่อกระเช้า ต่อรถเมล์ สลับไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นเมืองละแวกทางรถไฟสาย Glacier Express จนมาถึงซาสฟี เมืองเล็กๆ ใจกลางหุบเขาที่งดงาม ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา 13 ยอด ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์’ (Pearl of the Alps) ในฤดูหนาวเป็นที่นิยมและคึกคักมากๆ สำหรับการเล่นสกี ฤดูร้อนก็เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบเดินป่าชมธรรมชาติ

ผมเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆ บ้านในเมืองนี้ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ บางหลังใช้ไม้เก่าอายุกว่า 140 ปี ขนาดโรงแรมที่นี่ยังสร้างจากไม้ แต่ก็ดูทันสมัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ

หลังจากอาหารค่ำสุดล้ำฉ่ำชีสเยิ้ม ที่สุดพิเศษคือน้ำ Rivella ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของสวิส รสชาติหวานหอมซ่าๆ เหมือน ginger ale แต่ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องดื่มชนิดนี้มีหัวใจสำคัญเป็นนมวัว ค่ำคืนนี้ผมนอนแช่อ่างน้ำอุ่นในห้องกว้างที่มีระเบียงยาวติดไหล่เขาอย่างฟินๆ

ตื่นมาตอนเช้า ที่ไทยคือตอนเที่ยง ภาพแรกในไลน์คือส้มตำ ตับหวาน และไก่ทอด ที่น้อง ๆ ผู้น่ารักที่ออฟฟิศส่งมายั่ว ซึ่งได้ผล ผมกระเด้งตัวเปิดม่านระเบียงโรงแรมสูดอากาศ เห็นตัวเมืองถูกฉาบเบาๆ ด้วยแสงทองรุ่งอรุณ ดูเป็นการต้อนรับที่อบอุ่น ดีใจที่วันนี้ฟ้าเปิดและฝนไม่ตก เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับวันที่จะต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอก

หลังจากเตรียมตัว กินอาหารเช้า เติมพลังงานเสร็จ ก็ลากกระเป๋าลงมาไว้ให้โรงแรมช่วยเอาไปส่งที่สถานีรถไฟที่เราจะไปตอนบ่ายๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบ hiking เดินป่าชิลล์ๆ ชมธรรมชาติ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่น่ารักน่าอยู่ เหมาะกับการมาพักผ่อนหย่อนจิตหย่อนใจ มีโรงแรมมากมายหลายระดับดาว ร้านขายของที่ระลึก ของแบรนด์แนม ที่สะดุดตามากอีกอย่างคือมีดสวิสหลากหลายรูปแบบ ใจกลางเมืองมีโบสถ์ โรงเรียน คาเฟ่ ร้านอาหาร สิ่งปลูกสร้างดูมีเสน่ห์ ท้องถนนสะอาดตา ยากที่จะหาขยะสักชิ้น

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาถึงถิ่นก็เลยเดินเข้าไปดูกระเป๋า FREITAG หลังจากที่เล็งจะซื้อมาหลายเมืองแล้วแต่ไม่มีเวลาและโอกาสมากพอ กระเป๋าแต่ละใบจะถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก เรียงแถวตามรุ่น ถ้าอยากดูก็ต้องดึงออกมาทีละอัน ผมเอาชื่อรุ่นให้คนขายดู เมื่อรู้ว่าอยู่แถวไหนก็เปิดลิ้นชักทุกอันแล้วถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนที่ฝากซื้อดู มีเวลาให้พวกเขาตัดสินใจ 3 นาที สรุปสุดท้ายโดนไป 2 ใบ เป็นเงิน 320 ฟรังก์

และแล้วก็ถึงเวลา เราจะออกไปให้อาหารน้องมาร์มอตกัน! น้อนนนน พี่มาแล้วววว

คนพาเที่ยววันนี้คือ Samata จาก Saastal Tourismus AG กับ Mario ซึ่งเป็น CEO หนุ่มจาก Matterhorn Region พวกเขาเริ่มนำทางพาเราเดินลัดเลาะออกไปข้างนอกหมู่บ้าน

ท้องฟ้ายังเปิดโปร่งสบาย สีขาวหิมะบนขอบภูเขาตัดกับสีของท้องฟ้าคมกริบ เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ พอหันกลับไปก็มองเห็นเมืองสวยจากมุมไกล เดินไปเรื่อยๆ อากาศกำลังดี เดินไปสัก 40 นาทีก็เริ่มเข้าใกล้ทุ่งหญ้าอาณาเขตของน้องมาร์มอต

แล้วมาร์มอตคือตัวอะไรน่ะเหรอ? เกี่ยวอะไรกับช้างแมมมอทขนยาวไหม

จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกัน น้องแค่เป็นสัตว์ที่อยู่ในตระกูลกระรอก (แบบบิ๊กไซส์) ตัวอ้วนๆ น่ารัก มีหลายชนิด บางชนิดอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขาสูง ทิวเขา เช่นเทือกเขาแอลป์แบบที่เรากำลังจะไปหา มาร์มอตมักอาศัยอยู่ในโพรงและจำศีลในฤดูหนาว นอกจากนี้ยังใช้เสียงที่แหลมสูงในการเรียกพวกพ้องเมื่อเกิดอันตรายหรือเหตุการณ์ตื่นตระหนก ที่สำคัญคือน้องกรี๊ดเก่งมาก แม้ตัวจะเล็กแต่เสียงแหลมสะท้อนขุนเขา ลองเสิร์ชว่า Marmot screaming on Blackcomb Mountain ในยูทูบดูสิ

ชื่อมาร์มอตมาจากภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์จากภาษาลาติน คำว่า marmotte ภาษาอังกฤษคือ mountain mouse หรือหนูภูเขา แต่ผมรู้สึกว่ามันใหญ่เกินที่จะเป็นหนู ตัวขนาดนี้คงกินแมวได้เลย น้องเป็นสัตว์กินพืช เช่น หญ้า ผลไม้ รากไม้ และดอกไม้ชนิดต่างๆ แต่มาร์มอตที่นี่คงอ้วนเพราะถั่วจากนักท่องเที่ยวนี่แหละ 

เราเดินออกจากหมู่บ้านแบบไม่รีบไม่เร่ง และไม่ร้อน อากาศเย็นสบาย แสงสวย ทุ่งหญ้าเขียว เลยแวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เห็นก้อนขาวๆ ขนาดใหญ่วางเรียงซ้อนกันเป็นแถวอยู่กลางทุ่งหญ้า มาริโอบอกว่าลูกของเขาเรียกว่า eggs of dinosaurs ข้างในคือหญ้าที่ถูกเก็บเกี่ยวไว้สำหรับเลี้ยงวัวในฤดูหนาว ที่วัวถูกต้อนกลับลงมาจากบนเขา เราเดินมาถึงทุ่งหญ้ากว้างริมเทือกเขา และแล้วเราก็เจอน้อง

มาร์มอตเป็นสัตว์ขี้อาย บางตัวชะเง้อหัวออกมามอง ไม่กล้าออกมาจากรู บางตัวที่ออกมาก็มีอาการระแวดระวังสุดๆ เหมือนตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ามนุษย์ทำเสียงดังนิดเดียวก็พร้อมจะพุ่งกลับเข้าหลุมทันที เวลาเราเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงต้องก้าวช้าๆ จังหวะต่อเนื่อง และพยายามให้เสียงเบาเพื่อไม่ให้น้องตกใจ

พอเราเข้าใกล้ระดับหนึ่งก็หยิบถั่วลิสงยื่นล่อให้พวกเขาเข้ามาหาเราเองอย่างช้าๆ ซามาทาแจกถั่วพวกนี้ให้เรา จริง ๆ คนก็กินได้ ส่วนถุงใส่ถั่วมีโลโก้ Saas-Fee ให้นักท่องเที่ยวเก็บกลับไปเป็นของที่ระลึก

จากเม็ดที่ 1 ถึงเม็ดที่ 2, 3, 4, 5, 6 ความไว้ใจก็ยกระดับขึ้นตามจำนวนถั่วที่น้องได้รับ ตอนนี้น้องเข้ามาใกล้จนเอาขามาก่ายบนตัก ช่วงนี้ผมเนียนๆ เอามือไปลูบตัวน้อง แต่ขอเน้นว่าต้องเบาๆ ไม่งั้นก็วิ่งกลับลงรูอีก เวลาส่งถั่วให้มันจะเอาปากคาบแล้วนั่งลงเอามือสองข้างพยุงถั่ว แล้วเอาปากกัดให้เปลือกถั่วแตกกระจุย ก่อนจะกินเม็ดข้างในอย่างเมามัน เคี้ยวตุ้ยๆ น่าเอ็นดู ขณะที่บางตัวกำลังแฮปปี้อยู่กับถั่วและแคร์รอต บางตัวขี้กลัว โผล่มาครึ่งตัว แล้วเอามือคว้าอาหารที่คนส่งให้ บางตัวยิ่งกว่านั้น คือโผล่หัวมาแค่ปากหลุม พอได้ถั่วแล้วก็รีบวิ่งกลับลงไปในหลุมใหม่

ต้องขอชื่นชมการท่องเที่ยวของที่นี่ที่ยังคงรักษาสัตว์ให้มีสภาพแวดล้อมที่เป็นบ้านของเขา แต่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษกับเจ้าบ้านตัวจริง

หลังจากที่มาร์มอตอิ่มเอมกับอาหาร และเราก็อิ่มเอมกับความน่ารักท่ามกลางบรรยากาศสุดพิเศษ ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางต่อ โดยเดินต่อเนื่องจากทางเดิมวนกลับเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง ระหว่างทางเราจะเจอตรอกซอกซอยสุดคลาสสิก ซ้อนกับฉากหลังแห่งขุนเขา ป่าไม้ ไอแดดเริ่มร้อนแรง แต่ก็ยังมีหิมะฉาบทับอยู่บนยอดสูง อาคารบ้านเรือนสร้างจากไม้สีน้ำตาลเก่าแก่ เกือบทุกบ้านหรือโรงแรมจะประดับชานระเบียงด้วยดอกไม้สีสดใส ทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาและอ่อนโยนขึ้น 

เราเดินสู่สถานี cable car (กระเช้า) เพื่อไปกินมื้อเที่ยงที่ revolving restaurant ชื่อ Allalin คนที่นี่ใช้การเดินทางขึ้นเขาด้วยกระเช้าเป็นหลัก บางหมู่บ้านอย่างเบตต์เมอราล์ป (Bettmeralp) มีทางขึ้นทางเดียวคือกระเช้า ทำให้ปลอดรถยนต์ ปลอดมลพิษ

เมื่อกระเช้าเริ่มไต่ระดับความสูง มองย้อนกลับมาก็เห็นซาสฟีเล็กนิดเดียวอยู่ตรงซอกเขา เห็นลานหญ้าสีเขียวที่เราเพิ่งไปให้อาหารมาร์มอตมาหมาด ๆ สักพักเริ่มเห็นหิมะเกาะอยู่ตามสันเขา เมื่อถึงสถานีด้านบนเราต้องเดินลอดอุโมงค์เย็นยะเยือกเพื่อขึ้นรถรางลาก คล้ายโบกี้รถไฟ 1 ที่มีกระจกใสรอบด้าน เราถูกลากขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ต้องหาที่ยืนพิงให้มั่น ไม่งั้นอาจจะเอียงคว่ำตามความเร็ว ไม่นานก็มาโผล่ที่ทางออกบนยอดเขาสูงสุด ตรงนี้เองที่เขาเริ่มแจกถุงมือเพราะมีหิมะขาวโพลนรอเราอยู่ด้านนอก

มีกลุ่มคนที่เพิ่งเล่นสกีเสร็จเดินสวนกลับลงมาเป็นขบวนพร้อมด้วยอุปกรณ์พะรุงพะรัง วันนี้ด้านบนฟ้าเปิด แสงแดดแรงสะท้อนกับความขาวจั๊วะของหิมะทำให้รู้สึกแสบตา บรรยากาศบนนี้สวยสะกดมาก โค้งเว้าของภูเขาสลับรับขับเงาตัดหิมะขาวเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ในชั่วขณะ ผู้คนกำลังเล่นสกีกันอย่างจริงจัง แม้กระทั่งคนที่ไม่มีขาก็ยังมาเล่น ผมไม่ได้เตรียมชุดหรือรองเท้ามาเล่นสกี หลังจากยืนมือสั่นปากสั่นเลยขอหลบเข้าไปข้างในก่อนคนอื่น

ร้านอาหารที่หมุนได้สูงที่สุดในโลกที่ระดับความสูง 3,500 เมตร สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้อาหารอร่อยก็คือทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของยอดเขารอบทิศทาง พนักงานเริ่มรินไวน์ขาวก่อน อาหารจานแรกเริ่มเสิร์ฟ เป็นซุปร้อนๆ คล้ายฟักทอง มีกลิ่นพริกไทยหนักๆ ตักมามีถั่วและธัญพืชแน่น ๆ ปัญหาคือจานใหญ่มาก คือถ้ากินหมดอาจจะกินเมนคอร์สไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็กินไปแค่ครึ่งเดียว จากนั้นจานหลักก็มา เหมือนสเต็กหมูชิ้นใหญ่อบชีส เพราะที่นี่ยังไงก็ขาดชีสไม่ได้จริงๆ ด้านข้างมีสปาเกตตีเส้นแบน รสชาติอร่อยมากและก็จานใหญ่มากอีกแล้ว พนักงานบอกว่าสาเหตุที่ทำอาหารจานใหญ่กว่าปกติเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นคนที่เพิ่งเล่นสกีเสร็จ ซึ่งจะหิวโซกันแบบสุดๆ 

เดวิดเริ่มเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ของที่นี่ให้ฟังระหว่างทานของหวานในกล่องคล้ายกล่องปฐมพยาบาลคลาสสิกธงชาติสวิส ในหนึ่งชั่วโมงร้านอาหารจะหมุน 360 องศาครบ 1 รอบพอดี มุมมองทุกองศาน่าอัศจรรย์และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สงบและยิ่งใหญ่ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าในชีวิตที่ได้สัมผัสความสวยที่หลบอยู่มุมสูงสุด ดั่งไข่มุกแห่งแอลป์สุดมหัศจรรย์

AUTHOR