ทำไมคนเราถึงออกมาวิ่ง
วิ่งเพื่อออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ ลดความอ้วน เอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง เป็นที่หนึ่งในรายการแข่งขัน ฯลฯ คำตอบของคนส่วนใหญ่นั้นเป็นคำตอบที่เกี่ยวข้องกับร่างกายในเชิงกายภาพ
แต่สำหรับ ดาว–ดุจดาว วัฒนปกรณ์ หญิงสาวนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวนั้น เมื่อชีวิตเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันจนพาลให้หัวใจไม่แข็งแรงอย่างเคย เธอออกมาวิ่งเพื่อบำบัดจิตใจ ก่อนที่จะค่อยๆ ค้นพบและตกหลุมรักแง่มุมใหม่ในการวิ่งที่ดีต่อใจไม่แพ้กัน
เพราะอยากเข้าใจว่าการวิ่งมันไปเกี่ยวกับจิตใจได้ยังไง เราเลยชวนเธอมานั่งคุยกันดูสักที
วิ่งเพื่อคุยกับตัวเอง
“เพราะเจอช่วงเวลาที่หนักหนา ชีวิตคู่ของเราพัง คนที่อยู่ด้วยเขาไม่อยากใช้ชีวิตแต่งงานด้วยกันแล้ว ตอนนั้นเราก็จะมีคำถามที่คั่งค้างในตัวเยอะมาก ไม่รู้จะจัดการยังไง รู้สึกได้ว่าข้างในเรามีอาการซึมเศร้า แต่ไม่อยากโดนดูดไปกับมัน เราเลยต้องจัดการตัวเอง” ดาวเล่าถึงสภาวะทางจิตใจที่เธอเผชิญ จนทำให้ตัดสินใจมาเริ่มวิ่ง
“เราเลือกใช้การวิ่งเป็นตัวผลักให้เราไปข้างหน้า เพราะมันไม่ต้องมีอุปกรณ์ มันมีรองเท้าคู่หนึ่ง เปลี่ยนชุดปุ๊บแล้วก็ออกไปเลย วิ่งตามถนนตามสวนหลังเลิกงาน ง่ายดี เป็นสิ่งที่เคยทำเพื่อวอร์มร่างกายอยู่แล้ว และในขณะที่วิ่งได้ยินตัวเองชัดที่สุด เราคุยกับตัวเองได้”
คำตอบของดาวชวนให้สงสัย เราจึงขอให้เธออธิบายเพิ่มเติม
“ถ้าเราทำอย่างอื่น เวลามีอะไรเข้ามาในใจ เราจะรีบเคลียร์มันแล้วกลับไปทำกิจกรรมที่ทำอยู่ แต่การวิ่งแบบไม่ใส่หูฟังและอนุญาตให้ร่างกายขยับได้เต็มที่ มันจะมีความทรงจำบางอย่าง เรื่องบางเรื่องแวบเข้ามาในหัว เราก็อนุญาตให้มันหมุนออกมา ฟังเสียงตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามันเป็นยังไง หรือบางทีก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันยังไง คืออะไร เกิดขึ้นเพราะอะไร อะไรทำให้เรารู้สึกแบบนี้ คือมันมีบทสนทนากับตัวเอง ทำให้เราได้ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทบทวนตัวเอง ได้ประมวลทุกอย่างอย่างมีสติ
“เราไม่ได้วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว เราวิ่งกับสิ่งที่วนอยู่ข้างในแล้วเฝ้ามอง เป็นการบำบัดตัวเอง” หญิงสาวยิ้ม
วิ่งเพื่อใช้เวลาร่วมกัน
เพราะติดใจการวิ่งที่ช่วยทำให้ผ่านเรื่องราวหนักๆ มาได้ ดาวจึงยังหาเวลาไปวิ่งอยู่เป็นครั้งคราว แต่เมื่อรู้จักชายหนุ่มผู้ตกหลุมรักการวิ่งที่กลายมาเป็นคนรักในปัจจุบัน และได้ออกวิ่งไปด้วยกัน เธอก็ได้พบแง่มุมใหม่ของการวิ่งที่ดีต่อจิตใจ
“การได้วิ่งด้วยกันในระยะทางไกล ทำให้รู้สึกแข็งแรงในด้านจิตใจและความสัมพันธ์ เพราะระหว่างวิ่งก็จะคอยดูแลกัน ได้ใช้เวลาร่วมกันในแบบที่ดีต่อสุขภาพ เราก็เลยเริ่มวิ่งจริงจังไปด้วย
“เราได้เห็นความแข็งแกร่งของกันและกัน เรียนรู้กัน แล้วพอเข้าใจกันมากขึ้น ก็รู้ว่าบางทีเราไม่ต้องวิ่งด้วยกันตลอดก็ได้ บางรายการเราก็วิ่งแยกกัน เขาอยากวิ่งเร็วก็ไปก่อนเลย ให้เขามีความสุขในแบบของเขา ส่วนเราก็จัดการตัวเองได้ แต่บางรายการ เราก็คุยกันว่าเราไปด้วยกันดีกว่า เขาไม่ได้มาทำเวลา แต่เขาอยากใช้มันร่วมกัน
“เคยมีจุดที่เราไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาก็คอยดูแล ให้กำลังใจ บอกว่ามันโอเคดาว พักก็ได้ เอาเพซที่ตัวเองโอเคเลยนะ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาไปก่อนก็ได้ แต่เขาตัดสินใจที่จะอยู่ เราเลยได้เจอความสวยงามของการช่วยเหลือดูแลกัน ได้รู้จักความสัมพันธ์ที่ช่วยเยียวยากัน ยอมรับกัน มันเป็นอย่างนี้ เขาจะไม่กดดันหรือพยายามเร่งเรา มีแต่คอยให้กำลังใจ แล้วมันเป็นพลังบวก เราจับมือกัน มองหน้ากัน หัวเราะกัน แล้วมันก็ผ่านมาได้ด้วยกัน มันเลยเป็นช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับความสัมพันธ์ไปด้วย เป็นความหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา”
วิ่งเพื่ออยู่กับปัจจุบัน
นอกจากจะวิ่งเพื่อชุบชูใจและความสัมพันธ์ อีกหนึ่งรูปแบบการวิ่งที่ดาวค้นพบและตกหลุมรักมันคือคือการวิ่งเทรล
“ลงวิ่งเทรลครั้งแรกที่เขาใหญ่ เป็นความผิดพลาด เพราะจริงๆ ลงแค่ 10 กิโลเมตร แต่ใน BIB พิมพ์เป็น 25 กิโลเมตร แต่ไม่ไปแก้ อยากท้าทายตัวเอง พอได้ลองแล้วมันเจอความสนุก มีช่วงหนึ่งวิ่งผ่านป่าไผ่ ต้องคอยปัดกิ่งไม้ก็สนุกมากเพราะได้ออกแรง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติจัง ดาวชอบดูใบไม้ ดูนก ดูผีเสื้อ ดูว่าภูมิประเทศที่นี่เป็นอย่างนี้ ต้นไม้ขึ้นมาแบบนี้ ผ่อนคลายดี
“มันต่างจากตอนวิ่งเพื่อคุยกับตัวเอง เพราะแบบนั้นมันเหมือนเปิดออโต้ไพลอตเพราะโฟกัสไปข้างใน แต่เทรลไม่ใช่แบบนั้น ต้องมีสมาธิมากเพราะว่าพื้นมันเป็นดิน เป็นหิน เป็นหลุม มีรากไม้ ถ้าเราเผลอเหม่อก็จะสะดุด ซึ่งเราชอบสภาวะนี้ อยู่กับแค่ปัจจุบัน ตามองพื้น มองต้นไม้ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ถ้าเผลอสะดุด ก็ต้องไปต่อ อยู่แค่ตรงนี้กับเราเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง พอเป็นแบบนั้นก็รู้สึกว่าเรามีตัวตน เราเข้มแข็ง และเรานิ่ง ติดใจเลย” ดาวเล่าให้เราฟัง
วิ่งเพื่อค้นพบ
เมื่อเราถามว่าการวิ่งเปลี่ยนชีวิตดาวไปยังไงบ้าง ดาวนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะตอบออกมาแบบไม่ลังเล
“การวิ่งทำให้เราเจอตัวเราเองเวอร์ชั่นใหม่ ทำให้เราได้ทบทวนและใคร่ครวญ ได้รู้จักกับความล่มสลายและความแข็งแกร่งที่ยังเหลืออยู่ แล้วก็ประกอบร่างขึ้นมาใหม่ การวิ่งมันช่วยเรามากขนาดนั้นเลยแหละ ทำให้เราเจอชีวิตที่มันยังเหลืออยู่จริงๆ แล้วยังพาให้เรามาเจอชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เต็มไปด้วยการช่วยเหลือดูแล ความเคารพในตัวเอง การวิ่งเปลี่ยนเสียงในหัวจากสมัยก่อนที่มักเฆี่ยนตีตัวเองด้วยคำพูด ให้ยอมรับและใจดีกับตัวเองมากขึ้น เราค้นพบตัวเองเวอร์ชั่นที่สุขภาพดี ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมไปถึงสภาพจิตใจ แล้วก็เจอความอึดที่ซ่อนอยู่เยอะมาก”
ภาพ พชรธร อุบลจิตต์