วิ่งเพื่อปกป้องชีวิต

Highlights

  • วราพรรณ ตันพัฒน์อนันต์ เริ่มออกวิ่งครั้งแรกเมื่อปี 2016 เป็นแรงกระตุ้นครั้งแรกที่ทำให้เธออยากออกวิ่ง
  • เมื่อเธอต้องใช้ชีวิตคนเดียวและมีปัญหาด้านสุขภาพ เธอจึงออกวิ่งอย่างจริงจัง จนสามารถวิ่งมาราธอนได้ในที่สุด

งานแข่งวิ่งครั้งแรกในชีวิตของเรา คือ Human Run 2016 จัดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ลงระยะ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่ง 2 ชั่วโมงกว่า

ตอนนั้น ผู้หญิงอายุ 33 ปีคนนี้ไม่เคยออกกำลังกายเลย (อาจมีไปเดิน-ว่ายน้ำ-เต้นแอโรบิคบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ และมักทำได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพราะยอมแพ้ต่อความขี้เกียจด้วยข้ออ้างสารพัด) เราลงสมัครงานวิ่ง Human Run 2016 เพียงเพราะน้องรหัสชักชวน ทั้งๆ ที่ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่ชอบการวิ่งอย่างมาก เพราะเหนื่อย ไม่เคยรู้จัก Bib และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานวิ่งเลย จำได้ว่าลากกระเป๋าเดินทาง นั่งรถตู้เข้ากทม. จากบ้านไปนอนบ้านน้องรหัส น้องเห็นสภาพแล้วถามว่า

“นี่ตั้งใจขึ้นมาวิ่งขนาดนี้เลยเหรอ ชวนเล่นๆ นะเนี่ย”

เราก็ “เอ้า ก็เห็นว่าชวน จริงจังนะเนี่ย” (หารู้ไม่ว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้)

ถึงวันงาน เราวิ่งเหยาะๆ (น่าจะเพซ 10) ไปได้แค่ 300 เมตรโดยประมาณ เริ่มรู้สึกจุกแน่นหนาอก หายใจไม่ทัน น้องๆ ที่วิ่งข้างกันหันมาหาดู อาการไม่ค่อยดี แต่ก็กัดฟันตอบไปว่า ล่วงหน้าไปได้เลย ยังไงพี่จะเข้าเส้นชัยให้ได้

ตอนนั้นไม่มีแรงบันดาลใจอะไรทั้งนั้น คิดแค่ว่าแค่ 10 กิโลเมตรเอง คนอื่นทำได้ เราต้องทำได้สิ (ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้ามีคัทออฟ) น้องรหัสที่ชวนมาอยากทำเวลา เธอก็ลาแล้ววิ่งฉีกไป เหลือน้องอยู่คนนึง เขายืนยันที่จะวิ่งจ๊อกไปเข้าเส้นชัยพร้อมกัน ในขณะที่เราเดิน แต่ด้วยความเกรงใจเลยไม่เดินช้า พยายามก้าวขาให้เร็ว ช่วงไหนจ๊อกได้ก็จ๊อก เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้น้องช้าไปกว่านี้ เราเห็นน้องจ๊อกอย่างสบาย พี่ๆ น้องๆ หลายคนวิ่งแซงไป ได้แต่คิดในใจว่า เราอยากวิ่งได้จนจบระยะแบบไม่เหนื่อยเหมือนคนอื่นๆ บ้างจัง

ในที่สุดก็เดินมาจนถึงเส้นชัย จบงาน นั่งรถตู้กลับบ้าน (จันทบุรี) หลังจากงานวิ่งวันนั้น ทำให้เริ่มสนใจการวิ่งอย่างจริงจังมากขึ้น เริ่มออกไปซ้อมวิ่ง เช้าบ้าง เย็นบ้าง เริ่มจากวิ่ง 1 กิโลเมตรแรกได้ (ใช้แอพ Endomondo จับระยะเอา อุปกรณ์เสริมใดๆ ไม่มีทั้งสิ้น เพราะไม่รู้จัก ฮ่าๆ) และช่วงนั้นมีปัญหากับแฟนที่คบมานานพอควร จนในที่สุดก็จบกันไป ชีวิตเหมือนเดินทางมาถึงจุดจบ รู้สึกชีวิตไร้ค่า พยายามออกไปหาความสุขจากข้างนอกหลายที่ ไปเจอคนใหม่ๆ แต่ไม่เจอความสุขที่แท้จริงเสียที

จนเมื่อได้ไปออกหน่วยทันตกรรม พอสว. ในถิ่นทุรกันดาร ได้ทำงานเพื่อสังคม แต่หลังจากกลับมาก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ ร่างกายอ่อนแอจนถึงขีดสุด มองตัวเองในกระจกในห้องน้ำโรงพยาบาลแล้วก็ตกใจสภาพของตัวเอง หญิงอ้วน ผมเผ้ากระเซิง อ่อนแอ มีเสาน้ำเกลือคู่กาย นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อคิดได้ว่าเราต้องหันมารักตัวเราเองมากกว่านี้ก่อน ยิ่งเราไม่มีใครดูแล เราต้องดูแลตัวเอง ถ้าเราไม่รักตัวเองก็จะไม่เหลือใครจริงๆ แล้ว

พอได้กลับบ้านจึงหันกลับมาวิ่งอย่างจริงจังอีกครั้ง ซ้อมต่อเนื่อง หาความรู้จากเพจต่างๆ ลงวิ่งงานระยะต่างๆ จากมินิ เป็นฮาล์ฟ แล้วจึงอาจหาญลงมาราธอน (เกียวโตมาราธอน 2018) หลังจากเริ่มซ้อมวิ่งจริงจังแค่ 5-6 เดือน ทุกครั้งหลังวิ่งจบแต่ละงาน ถึงแม้ว่าบางทีเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่กลับรู้สึกดีใจเสมอที่ก้าวผ่านตัวเองในเมื่อวานมาได้ รู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันกลับมาใส่ใจร่างกายและจิตใจของตัวเองเพื่อ “ปกติของชีวิต”

วันนี้ เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวมากขึ้น แต่ในทุกๆ วัน ชีวิตจะมีบททดสอบต่างๆ เข้ามาให้เราได้ฝึกฝนเพื่อเป็นคนใหม่เสมอ ต้องขอบคุณน้องรหัสที่ดึงเข้ามาอยู่ในสังคมคนรักการวิ่ง ขอบคุณเพื่อนๆ นักวิ่งทุกคนที่ยิ้ม โบกมือ ให้กำลังใจว่าสู้ๆ ในขณะวิ่งฝั่งเดียวกันหรือวิ่งสวนทางกัน ขอบคุณงานวิ่ง Human Run 2016 ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราคิดว่า เมื่อคนอื่นก้าวเข้าเส้นชัยได้ เราก็ก้าวได้เหมือนกัน

เพียงแค่เริ่มต้น เส้นชัยก็อยู่ใกล้เราเข้าไปทุกทีๆ