วิ่งเพื่อเรียนรู้การเสียสละ

ชีวิตของผมตามปกติไม่มีอะไรพิเศษ น่าจะคล้ายชีวิตของคนทำงานส่วนใหญ่ในกรุงเทพ แถมอาจจะออกแนวธรรมดาเหลือเกินเมื่อเทียบกับคนทั่วไป จันทร์ถึงศุกร์แค่ทำงานและกลับบ้าน จะไม่มีชีวิตยามราตรีเหมือนหลายท่าน แต่ใช่ว่าร่างกายจะสมบูรณ์ กลับบ้านก็กินๆ นอนๆ ไม่สนใจสุขภาพเพราะคิดว่าเวลาทำงานก็เดินไปมาเยอะเหมือนออกกำลังกายแล้ว เสาร์อาทิตย์ก็นอนดูทีวี เล่นมือถือ นานๆ ทีถึงออกไปเดินเล่นบ้าง

จนเมื่อ 3 ปีก่อน ชีวิตเปลี่ยนเพราะเพื่อนสมัครงานวิ่งไว้แต่ไปไม่ได้ ผมเลยไปวิ่งแทน ก่อนวันวิ่งไม่เคยซ้อมเลย อบอุ่นร่างกายไม่เป็นด้วยซ้ำ วันนั้นวิ่งได้ครบระยะ แม้ใช้เวลาวิ่งเกิน 1 ชั่วโมง แต่เรียกได้ว่าจบแบบเจ็บๆ เดินขึ้นสะพานยังแทบหยุดยืนเกร็งอยู่บนนั้น พอถึงบ้านแทบขยับขาไม่ได้ เป็นแบบนี้ประมาณ 2 วัน แต่จากวันนั้นทำให้ผมเหมือนเสพติดการวิ่ง ไม่รู้เพราะบรรยากาศภายในงานหรือเพราะอาหารหลังงานที่อร่อย

จากนั้นผมก็ลงงานวิ่งอีกหลายรายการ แทบจะสัปดาห์ละครั้งเลย แถมเข้าฟิตเนสให้ร่างกายเราพร้อมขึ้นด้วย การสะสมเหรียญงานวิ่งเหมือนเป็นงานอดิเรก ผมแทบไม่ใช้เงินเดือนซื้อของกิน เอามาสมัครวิ่ง ที่ไม่ซื้อเพราะคิดว่าเราออกกำลังกายมาตั้งเยอะ จะกลับไปอ้วนอีกทำไม จากการวิ่งต่อเนื่อง รู้สึกว่าร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่ายๆ เพื่อนๆ ทักว่ารูปร่างดูเฟิร์มขึ้นมาก แม้อาจดูผอมแห้งไปหน่อยตามสไตล์นักวิ่งมือใหม่หลายคน

พอวิ่งไปหลายๆ งาน ผมเริ่มโหยหาความท้าทายมากขึ้น ทำให้ชีวิตนักวิ่งที่เริ่มไม่ใหม่มีสีสันขึ้น มีรายการวิ่งรายการหนึ่งตั้งสโลแกนว่า มาร่วมทำ Sub1 กัน (วิ่งให้จบก่อนเวลา 1 ชั่วโมง) ผมตั้งใจซ้อมเพราะคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ ยิ่งช่วงใกล้งานวิ่ง ยิ่งเหมือนแรงกระตุ้นมากขึ้น ใครที่ทำ Sub1 ได้จะได้เสื้อสวยๆ ที่ทำมาเฉพาะ (สวยจริงๆ นะ) รวมถึงได้ร่วมทำบุญกับโรงพยาบาลด้วย

พอถึงวันวิ่ง คิดว่าวันนี้คือวันที่รอคอย อยากลองทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มาก วันนั้นออกสตาร์ทในโซนแรกๆ และทำเวลาช่วงแรกๆ โอเคอยู่ เกาะกลุ่มของ Pacer ระยะ Sub1 ได้ แต่ด้วยไม่ชินพื้นที่หรือสภาพสนามที่ไม่ดีมากนัก รวมถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้แรงผมหายไป แต่พยายามไม่หยุดวิ่ง ทั้งด้วยแรงกระตุ้นจากภายในของผมเอง รวมถึง Pacer ในงานที่พยายามกระตุ้นช่วยนักวิ่งให้สู้ต่อไป

ผมวิ่งโดยไม่หยุดจนถึงประมาณช่วงกิโลเมตรที่ 8 ผมเริ่มสังเกตว่าร่างกายตัวเองอาจไม่ไหว เลยขอแอมโมเนียจากคุณพยาบาลเผื่อไว้ วิ่งไปดมไป จนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 9 ผมสังเกตเห็นมีนักวิ่งหญิงคนหนึ่งเป็นลม (คงเพราะสภาพอากาศ) และเพื่อนเขากำลังช่วยนวดอยู่

ผมคิดในใจว่าจะไปต่อหรือหยุดช่วยเขาดี ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไปต่อ เสื้อ Sub1 ที่อยากได้รออยู่นะ แต่อีกใจก็คิดว่า เราไปหาเสื้อแบบอื่นใส่ก็ได้

แต่ตรงหน้าเราคือชีวิตคน เราจะปล่อยเขาไปจริงหรือ?

ผมหยุดวิ่งแล้วไปช่วยนักวิ่งหญิงคนนั้นแทน เอาแอมโมเนียให้ดม เพราะคิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่าการนวดทั่วไป (ทีมปฐมพยาบาลในงานยังมาไม่ถึงด้วย) แล้วก็ช่วยพยุงตัวเขาเข้ามานอนราบบนฟุตปาธ เพื่อไม่ให้ขวางทางนักวิ่งคนอื่นที่กำลังทำความเร็ว เพื่อนเขาบอกว่าไปวิ่งต่อเถอะ เขาพยายามผลักดันให้ผมกลับไปวิ่งต่อเพื่อให้ได้เสื้อ แต่ด้วยความเป็นห่วง ผมอยากช่วย เลยบอกไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ชีวิตคนสำคัญกว่า อีกอย่างทีม Pacer เพิ่งผ่านไป คงไม่ทันแล้วล่ะครับ”

ผมช่วยเธออยู่จนทีมปฐมพยาบาลมา น่าจะประมาณ 5 นาทีได้ ผมจึงกลับไปวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัย

เมื่อเข้าเส้นชัย ผมได้ดูข้อมูลเวลาที่ตนเองทำได้ ทำให้แอบตอกย้ำตัวเองเหมือนกันว่า เป็นไงล่ะ เข้าเส้นชัยช้ากว่า Sub1 ไป 3 นาทีเอง ถ้าไม่หยุดช่วยเขาก็ได้เสื้อแล้ว เห็นไหม คนที่เขาได้เสื้อกำลังถ่ายรูปสวยๆ กันหน้างาน

แต่สุดท้าย ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ปีหน้ามาใหม่ ฝึกให้ดีขึ้น ปีหน้าเราต้องทำให้ได้ ปีนี้เราทำดีที่สุดแล้ว ชีวิตคนสำคัญกว่าเสื้อนะ ได้แค่เหรียญมาก็พอแล้ว แถมในใจยังกลับไปคิดถึงนักวิ่งหญิงคนนั้นว่า เธอได้วิ่งหรือเดินต่อจนถึงเส้นชัยไหม เพราะใครมางานวิ่งก็คงอยากได้เหรียญเป็นที่ระลึก แต่ผมเชี่อว่าอีก 1 กิโลเมตร เธอคงทำได้ ผมแอบเอาใจช่วย

ประสบการณ์ชีวิตที่ได้จากการวิ่งสอนให้ตนเองรู้ว่า การสละสิ่งหนึ่งทำให้สุขใจจากการได้ทำอีกสิ่งทดแทน ชีวิตเราถ้าสูญไปจะซ่อมหรือหาใหม่ไม่ได้ ในทางกลับกัน เรายังมีโอกาสแก้ตัวกับงานวิ่งนี้ในปีต่อๆ ไป และผมเองได้นำเรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตของตนเอง ทำให้ผมเริ่มเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างเพิ่มมากขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น มากกว่าเพียงคิดคำนึงแต่เรื่องของตนเอง

แค่เพียงรอยยิ้มหรือคำขอบคุณเล็กๆ จากคนๆ นั้น ผมก็สุขใจแล้ว