วิ่งเพื่อเตือนตัวเองว่า ‘ฉันทำได้’

Highlights

  • ภญ.กมลนาถ สหสุนทร เคยเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่เรียนหนักจนน้ำหนักขึ้น และเมื่อเพื่อนของเธอชวนวิ่ง เธอจึงลองดูสักตั้ง
  • กมลนาถก้าวผ่านความเหนื่อยลำบากเพื่อพิชิตการวิ่งระยะ 10.5 กม. ด้วยคาถาเตือนใจ 'ฉันทำได้ อดทนไว้' เธอนำคาถานี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย จนเธอได้พบกับความสำเร็จจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตอีกมากมาย

ความคิดว่า ‘ฉันทำได้’ ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่ฉันต้องทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ยาก หรือสิ่งที่อาจดูเกินตัวไปบ้าง

ในช่วงชีวิตวัยเด็ก นับว่าฉันโชคดีที่คุณพ่อเป็นมนุษย์ที่รักการเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นไม่ว่าจะบาสเกตบอล ปิงปอง แบดมินตัน ว่ายน้ำ หรือ วอลเลย์บอล ฉันก็พอจะเล่นได้แบบกลางๆ จนช่วงเรียนคณะเภสัชศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มีเพื่อนชวนไปวิ่งรอบสนามในมหาวิทยาลัย

ตอนนั้นเรียนหนักมาก (มากแบบที่คิดย้อนกลับไปแล้วน้ำตาจะไหล ทำไปได้ไง) ความหนักในการเรียนแปรผันตรงกับน้ำหนักของฉันด้วยเช่นกัน ตอนนั้นจำได้แม่นว่าหนักที่สุดในชีวิตคือ 64 กิโลกรัม  อาจจะดูไม่มาก แต่ฉันสูง 150 เซนติเมตร ทีนี้..พอจะเห็นภาพความอวบกันได้อยู่สินะ ตอนนั้นจึงลองไปวิ่งตามคำชวนของเพื่อนซึ่งเป็นมนุษย์รักการวิ่ง เผื่อน้ำหนักของเราจะแปรผกผันกับความหนักหน่วงจากการเรียนสูตรโครงสร้างของยาบ้าง

เมื่อวิ่งได้ 3 เดือน เพื่อนชวนฉันไปลงงานวิ่ง 10 กิโลเมตร ในใจคิดว่า เดี๋ยวนะ มันจะอิมพอสซิเบิลไปนิดหรือเปล่า แต่ก็ลองสมัครไปเพียงเพราะอยากลองดูว่างานวิ่งที่เพื่อนชอบไปบ่อยๆ เป็นยังไงกันแน่

งานวิ่งครั้งแรกในชีวิต วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ฉันวิ่งไปได้ 2 กิโลเมตร คิดในใจว่าฉันมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ (วะ) เนี่ย เห็นข้างหน้าจะถึงจุดกลับตัวสำหรับนักวิ่ง 5 กิโลเมตร กลับตัวเลยดีไหมนะ แต่ก็กลั้นใจเดินสลับวิ่งจนจบ 10 กิโลเมตร ภายในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง อย่างกะปลกกะเปลี้ย

หลังจากงานนั้น ฉันเริ่มคิดอยากทำเวลาให้ดีขึ้น อยากวิ่งต่อเนื่องจนจบ 10 กิโลเมตรอย่างคนอื่นบ้าง ฉันจึงเริ่มซ้อมวิ่งที่มหาวิทยาลัย ลงงานวิ่งบ้างในช่วงที่ไม่ใกล้สอบ (ซึ่งชีวิตของนิสิตเภสัชฯ มักจะมี 2 ช่วงคือช่วงใกล้สอบกับช่วงใกล้สอบเสร็จ พูดแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที) ตอนซ้อมวิ่ง ฉันมักบอกกับตัวเองว่าวันนี้จะวิ่งกี่กิโลเมตร เมื่อวิ่งไปก็ต้องท่องในใจว่า ‘ฉันทำได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น’ ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กอ้วนที่แค่เรียนก็เหนื่อยแล้ว

จนเวลาผ่านไปถึงช่วงขึ้นปี 5 แม้จะต้องทำงานกลุ่ม เรียน อ่านหนังสือ แต่ฉันก็แบ่งเวลาให้การวิ่งเสมอ จนถึงงานวิ่งครั้งที่ 4 ของฉัน วันที่ 29 มกราคม 2560 ภายใต้เท้าที่ชาระหว่างวิ่ง ขาที่อ่อนล้า น่องที่ปวดตึง ลมหายใจถี่และร้อนผ่าว หัวใจเต้นเร็วเหมือนจะทะลุออกมา ฉันสูดหายใจฮึบไว้แล้วบอกกับตัวเองว่า ‘ฉันทำได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น’

ในที่สุด ความตั้งใจของฉันที่จะวิ่งต่อเนื่อง 10.5 กิโลเมตรแบบไม่หยุดเดินเลยก็สำเร็จ ฉันไม่ได้ดีใจจนน้ำตาจะไหลขอทิชชู่ แต่ความภาคภูมิใจในตัวเองอาบล้นไปทั้งร่างกาย รู้สึกเหมือนได้เติมไฟอุ่นๆ ให้หัวใจ ได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเอง และเมื่อลองมองย้อนกลับไปช่วงเริ่มวิ่ง การเรียนของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ เกรดเฉลี่ยสูงขึ้นในทุกๆ เทอม การทำงานกลุ่มของฉันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉันกลายเป็นคนกระตือรือร้น มีความมั่นใจมากขึ้น รูปร่างและบุคลิกภาพดีขึ้น เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น เสมือนว่าการวิ่ง 10.5 กิโลเมตรของฉันครั้งนี้ได้ประกอบรวมสิ่งที่ฉันทำมาตลอด 2 ปี กลายเป็นผลลัพธ์จากสิ่งที่เรียกว่า วินัยและความเพียรพยายามทำที่สิ่งที่เรารัก

สิ่งที่ฉันคิดว่ามีค่ามากที่สุดสำหรับฉันที่ได้จากงานวิ่งในวันนั้นคือ คำว่า ‘ฉันทำได้’  การที่เราเชื่อมั่นในตัวเองแล้วทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำเร็จในทุกวัน เมื่อทำสำเร็จความภูมิใจเล็กๆ มันเกิดขึ้น ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง จนพัฒนากลายเป็นทัศนคติที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ ฉันเชื่อว่าการที่ใครต่อใครก็ตามบอกกับเราว่าเราทำได้ ไม่มีทางเลยที่จะสร้างพลัง สร้างความเชื่อมั่นในใจได้เทียบเท่ากับการที่เราบอกกับตัวเองว่าเราทำได้

มาวิ่งแล้วบอกกับตัวเองว่า ‘เราทำได้’  กันเถอะ