“To keep me from heartbreaks, headaches
the doctor says I’m diagnosed with shit days, mistakes.
But I’ll be fine. But I’ll be fine.
‘Cause you’re my-”
“ถึงแล้วครับ” เสียงคนรถบอกขณะรถจอดสนิทเทียบท่าทำให้เราต้องกดหยุดเพลง ในยามเย็นที่การจราจรของกรุงเทพฯ ใกล้จะแออัดเต็มที เราก้าวเข้าสู่โรงแรมหรูใจกลางเมืองเพราะมีนัดกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เสียงความวุ่นวายด้านนอกเฟดหาย ในขณะที่เสียงความตื่นเต้นข้างในดังขึ้นทุกขณะ เมื่อมาถึงห้องที่นัดหมาย เด็กหนุ่มคนนั้นผู้นั่งรอเราอยู่ในห้องก็ยิ้มต้อนรับ
เขาคือเจ้าของเพลงที่เราเพิ่งกดหยุดไป
หากมองเพียงปราดเดียว ชายตรงหน้าของเราคงเหมือนเด็กหนุ่มชาวตะวันตกคนหนึ่ง
จะใช้คำว่าเด็กหนุ่มทั่วไปก็กระดากปาก เพราะด้วยเสน่ห์และรูปลักษณ์แล้วสาวๆ คงต้องเหลียวหลังหลายคน
แต่หากใครรู้จักเขา จะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ Ruel ศิลปินวัย 17 ปีที่กำลังมาแรงที่สุดคนหนึ่งในวงการดนตรีโลกขณะนี้ เขาเพิ่งเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเราไป คอนเสิร์ตที่บัตรขายหมดเกลี้ยง (ทั้งสองรอบ!) จบไปหมาดๆ และเพิ่งประกาศทัวร์ครั้งใหม่ที่ไทยในเดือนมีนาคมปีหน้า (ซึ่งมีทีท่าว่าจะโซลด์เอาต์อีกแหงๆ) หลายครั้งที่ชื่อของเขาถูกหยิบยกให้เป็น Shawn Mendes หรือ Justin Bieber คนต่อไป ซึ่งรูลเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเข้าใจว่าทำไมหลายคนจึงคิดแบบนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการมัน เพราะเขากำลังพยายามอย่างหนักที่จะเปล่งประกายในแบบของตัวเอง
Ruel Vincent van Dijk เกิดที่อังกฤษ เติบโตที่ออสเตรเลีย เริ่มเล่นกีตาร์ร้องเพลงตั้งแต่จำความได้ เขาอัพโหลดคลิปวิดีโอโชว์เสียงร้องเพลง Hey, Soul Sister ของ Train บนยูทูบครั้งแรกตอนอายุแค่ 8 ขวบ ระหว่างนั้นก็ตั้งใจฝึกฝนและเขียนเพลงเองเรื่อยมา จนกระทั่งอายุราว 12 ปี รูลก็ไปเตะตาโปรดิวเซอร์ชื่อดัง M-PHAZES ผู้เคยโปรดิวซ์งานให้ศิลปินดังอย่าง Eminem
4 ปีต่อมา รูลก็ปล่อยอีพีแรก ‘Ready’ บรรจุเพลงฮิตอย่าง Not Thinkin’ Bout You, Dazed & Confused, Younger หนึ่งปีหลังจากนั้นอีพี ‘Free Time’ ก็ถูกปล่อยออกมาติดๆ โหมกระแสด้วยเพลงอย่าง Face to Face, Real Thing และ Painkiller
“เพลงของผมคือส่วนผสมของโซลและเพลงป๊อป” เขาอธิบายแนวเพลงของตัวเองว่าอย่างนั้น
ตลอดบทสนทนาของเรา มีเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นบ่อยครั้ง บางช่วงเด็กหนุ่มตรงหน้าก็นิ่งคิดอยู่นาน และเวลาที่พูดถึงงานดวงตาก็จะเปล่งประกาย แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่มีร่วมกัน เราก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเขาถึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับศิลปินขวัญใจวัยรุ่นเบอร์ใหญ่อยู่ตลอด ถ้าวัดกันที่คุณภาพของเพลง ฐานแฟนคลับที่กำลังขยายใหญ่ขึ้น และความมุ่งมั่นที่เขามีต่องานอย่างสม่ำเสมอ เด็กหนุ่มตรงหน้าเรามีสิทธิที่จะไต่ไปถึงระดับนั้นได้ไม่ยาก
แต่เขาจะไม่ใช่ชอว์น เมนเดส หรือจัสติน บีเบอร์ คนต่อไป
เขาคือรูล
รูลที่พยายามจะเป็นรูลที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง
ก่อนอื่น ยินดีด้วยที่บัตรคอนเสิร์ตของคุณโซลด์เอาต์ทั้งสองรอบเลย
ขอบคุณครับ (ยิ้มกว้าง)
รู้สึกยังไงที่การตอบรับของแฟนๆ ชาวไทยดีมากขนาดนี้
ตื้นตันมากฮะ ครั้งล่าสุดที่ผมมาประเทศไทยมันบ้ามาก ตอนลงจากเครื่องปั๊บ ภาพของแฟนคลับเป็นพันๆ คนรออยู่ข้างนอกรั้วกั้นของสนามบิน ทำให้ผมรู้เลยว่า โอเค ผมคงทำอะไรโดนใจคุณเข้าแล้วล่ะ กระแสตอบรับยอดเยี่ยมมากๆ และผมรู้สึกว่าเมืองไทยพิเศษมาก ยิ่งได้เห็นจำนวนแฟนๆ ที่เยอะขนาดนี้ เมืองไทยก็ขโมยใจผมไป (ทำท่าหัวใจเด้งออกจากอก)
ก่อนหน้านี้คุณเคยมาโชว์ที่ประเทศไทยหนึ่งครั้งแล้ว คุณประทับใจอะไรในเมืองไทยมากที่สุด
ผมประทับใจผัดซีอิ๊วมาก เป็นอาหารไทยเมนูโปรดของผมเลย แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นแฟนคลับ กระแสตอบรับ และความสนใจอันล้นเหลือของพวกเขา การที่พวกเขารู้จักเพลงผมแล้วร้องได้ตรงเป๊ะแทบทุกท่อนนี่น่าประทับใจจริงๆ ฮะ
คุณเป็นหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่หลายๆ คนที่แต่งเพลงเอง อะไรคือแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของคุณ
อาจเป็นอะไรก็ได้นะ ผมรู้สึกว่าเราไม่สามารถเจาะจงได้หรอกว่าอะไรสร้างแรงบันดาลใจให้ผม ว่ากันตามตรงผมฟังเพลงเยอะมาก มีหลายศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญอย่าง Frank Ocean, Billy Eilish, Rex Orange County, Jorja Smith, James Blake ซึ่งมีซาวนด์ดนตรีน่าสนใจ และพวกเขามีสไตล์การเขียนเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกครั้งที่ฟังพวกเขามักดลใจให้ผมคันไม้คันมืออยากแต่งน่ะครับ (หัวเราะ)
ด้านเนื้อร้อง ผมแต่งเพลงขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัว เขียนขึ้นมาโดยอิงจากสิ่งที่ผมรู้สึก ณ ตอนนั้น แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ผมรู้สึกว่าประสบการณ์หมดแล้ว ฟังดูน่าขำแต่เป็นเรื่องจริงนะครับ (หัวเราะ) ตอนรู้สึกแบบนี้ผมมักจะไปอยู่กับคนเยอะๆ ที่อายุต่างกัน ทำความรู้จักพวกเขา สังเกตวิธีมองโลกของพวกเขาซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับวิธีของผม หรือไม่ก็ดูหนัง ดูรายการทีวี เพื่อหามุมมองใหม่ๆ
ศิลปินวัยเดียวกับคุณหลายคนมักเขียนเพลงเกี่ยวกับความรักซะเป็นส่วนมาก แต่เพลงของคุณมักมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต เช่น เพื่อน อาการคิดถึงบ้าน หรือการปล่อยมือจากมิตรภาพวัยเด็ก
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของการเป็นศิลปินคือการปล่อยมือจากมิตรภาพวัยเด็กและเพื่อนบางคน ผมได้เห็นเนื้อแท้ของบางคนที่เขาดีกับเราตั้งแต่แรก แต่เมื่อมีเรื่องชื่อเสียงและเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น พวกเขาก็หยุดคุยกับผมไปเลย มันแปลกเหมือนกันนะที่ได้เจออะไรแบบนี้ แต่นั่นล่ะครับ สิ่งที่ผมต้องแลกกับการได้ทำสิ่งที่อยากทำคือการปล่อยมือใครบางคนไป
เหตุการณ์ทำนองนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณแต่งเพลงอย่าง Younger ซึ่งพูดถึงการสูญเสียมิตรภาพวัยเด็ก หรือ Hard Sometimes เพลงในอีพีล่าสุดที่พูดถึงการพยายามมีความสุขเมื่อต้องอยู่ไกลบ้านและห่างจากเพื่อนฝูง
ก็มีส่วนฮะ หลักๆ สองเพลงนี้จะพูดถึงชื่อเสียงซะมากกว่า มีเนื้อเพลงบางประโยคที่ดูเหมือนพูดถึงการสูญเสียมิตรภาพอย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วมันพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องเสียไประหว่างทางของการเป็นศิลปิน ตลกดีที่ทุกเพลงมักทำให้คนฟังคิดว่าผมเศร้าจังเลย เรื่องที่ผมเจอมันแย่ที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้วผมก็มีโม้ไปบ้างในเพลง การได้ทำแบบนี้คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลย (หัวเราะ)
คุณชอบแต่งเพลงเศร้ามากกว่าว่างั้น
ผมชอบแต่งเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกดาวน์ เพราะรู้ว่ามันสามารถเชื่อมโยงกับทุกคนได้ และใช่ครับ การแต่งเพลงเศร้านั้นสนุกกว่า เพราะผมรู้สึกว่าการแต่งเพลงเศร้าไม่ต้องเค้นอะไรมากมายเลย เพลงนั้นเขียนตัวเองขึ้นจากบางอย่างที่อยู่ลึกสุดขั้วหัวใจของผม
ผมคิดว่าตัวผมและคนฟังมักอินกับอะไรบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่บางอย่างที่ดำมืดย่อมเป็นวัตถุดิบที่ดีกว่าส่วนที่เป็นแสงสว่างเพราะมันบาดลึกกว่า น้ำตาของความเศร้าทรงพลังมากกว่าน้ำตาของความสุข และผมเดาว่ามันคงง่ายกว่าล่ะมั้งครับถ้าจะเขียนเพลงที่เมื่อกลับมาฟังอีกครั้ง ผมจะรู้สึกเชื่อมโยงถึงมันได้เสมอ
เรารู้มาว่า Unsaid แทร็กหนึ่งจากอีพีล่าสุดของคุณนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งเพราะอาการป่วยทางจิตใจ
ผมขอเล่าให้คุณฟังย่อๆ ละกันเพราะผมไม่อยากกลับไปแตะความรู้สึกนั้นอีกแล้ว ใช่ครับ Unsaid ได้แรงบันดาลมาจากเรื่องนั้น ดราฟต์แรกของมันเกี่ยวกับการโดนผู้หญิงบอกเลิกและมีเรื่องที่คั่งค้างในใจไม่ได้พูด แต่พอมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น ผมจึงอยากอุทิศเพลงนี้ให้กับเพื่อนของผม หลังจากนั้นก็เปลี่ยนถ้อยคำบางคำในเนื้อเพลงให้เหมาะสม สารที่เพลงอยากจะสื่อคือหากคุณมีบางอย่างอยากพูด คุณควรพูดมันออกมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนมุมมองของคุณยังไง
มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าอาการป่วยทางจิตใจเป็นเรื่องที่ทั้งโลกควรให้ความสำคัญ ตอนนี้มีหลักฐานมากมายชี้ชัดว่าคนเป็นอาการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในวัยรุ่น หลายเพลงในปัจจุบันก็สะท้อนเรื่องนี้เช่นกัน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งดีที่จะช่วยใครสักคนด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ คุยกับเขา ผมอยากให้เพลงนี้ของผมบันดาลใจให้ผู้คนทำแบบนั้น ถ้าคุณเห็นสัญญาณว่าคนใกล้ตัวไม่ไหวแล้ว แค่เริ่มต้นคุยกับเขา
คุณคิดว่าดนตรีจะสามารถเยียวยาหัวใจคนฟังได้ไหม
หลายคนบอกผมอย่างนั้น แต่สำหรับผม ผมไม่ได้แต่งเพลงเพื่อพยายามเยียวยาหัวใจคนฟัง ผมแต่งเพลงเพื่อระบายความในใจและเยียวยาตัวเอง แล้วก็เพื่อเงิน (หัวเราะ) ผมล้อเล่นนะ แต่นั่นล่ะ โดยปกติแล้วผมเขียนเพื่อตัวเอง ไม่ได้บังคับให้ตีความอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น หากใครจะตีความเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ใจเขาเลยครับ
คุณเพิ่งปล่อยอีพีใหม่ ‘Free Time’ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไอเดียของอีพีนี้เริ่มต้นจากไหน
เริ่มต้นจากการคิดว่าผมจะทำยังไงให้สามารถทำเงินได้เยอะที่สุด (หัวเราะหนัก) ไม่ๆ ผมล้อเล่นอีกแล้ว เอาใหม่ จะจริงจังแล้ว ผมคิดว่าชื่ออีพีควรบอกคอนเซปต์ของเพลงทั้งหมดในเซตลิสต์ได้ ในกรณีนี้ทุกเพลงในอัลบั้มแตกต่างกันหมดเลย แต่เพลงที่โดนใจผมที่สุดเพลงหนึ่งคือ Free Time ซึ่งเล่าเรื่องราวการมีเวลาว่างมากเกินไปของผม เพราะก่อนหน้านี้เคยแฮงเอาต์กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมูฟออนไปแล้วแต่เรายังติดอยู่ที่เดิม บางครั้งที่เราโดดเดี่ยวนานเกินไป แม้นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ คุณก็รู้สึกกระวนกระวายได้เหมือนกัน นั่นล่ะคือคอนเซปต์
แล้วจริงๆ คุณทำอะไรในเวลาว่าง
ดูเน็ตฟลิกซ์ เล่นเซิร์ฟ หรือไม่ก็บาสเกตบอลครับ
อยู่ในวงการเพลงมา 5 ปีแล้ว อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นศิลปิน
สิ่งที่ดีที่สุดคือ 45 นาทีบนเวที
ทุกครั้งผมจะมอบความรู้สึกบ้าคลั่งที่สุดในโลก เอเนอร์จี้ในตัวผมจะดีดขึ้นสูงมากเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะหรือบันจี้จัมป์ยังไงยังงั้น ไม่มีที่ไหนที่อะดรีนาลินในตัวผมจะสูบฉีดได้มากเท่ากับการได้ยืนอยู่บนเวทีและได้ยินเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับ แม้ในวันที่ผมป่วยหรือเหนื่อยล้า การได้รับความรักจากพวกเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะไม่เป็นไร ใช่ครับ ผมชอบอยู่บนเวทีมากจริงๆ
สิ่งที่โหดหินที่สุดล่ะ
ถ้าตอนนี้คงเป็นการเดินทางนะ ก่อนมาไทยผมเดินทางติดกันมา 3 เดือนแล้ว และทุกที่ก็อยู่ไม่เกิน 2 วัน ผมต้องเจอการโยกย้าย ไทม์โซนใหม่ ผู้คนใหม่ๆ ที่เข้ามาพบปะทุกวัน บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนเห็นลิสต์สถานที่ที่ต้องทัวร์ตอนเตรียมงานหรอก ผมต้องแสดง 50 โชว์ ตอนแรกผมคุยกับผู้จัดการว่าจะไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ แต่ผมก็ผ่านมาได้และยังสบายดี
คุณรู้สึกว่าการเป็นศิลปินแย่งเวลาที่คุณควรจะใช้กับชีวิตวัยรุ่นไปบ้างไหม
ผมไม่คิดอย่างนั้นนะครับ (ตอบทันที) ตั้งแต่อายุ 15 ปีผมรู้ตัวว่าอยากทำอะไร และอันที่จริงผมก็มีเวลาก่อนหน้านั้นหลายปีด้วยซ้ำที่ต้องฝึกฝน เขียนเพลง และมีโอกาสคิดใหม่ว่าอยากทำเรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า เพราะต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง พอตอนอายุ 15 ปีที่ผมเริ่มแต่งเพลงเพื่ออีพี ‘Ready’ มันเหมือนกับการบอกตัวเองว่า โอเค เอาล่ะนะ จะหันหลังกลับไม่ได้แล้ว
ผมมีช่วงเวลาวัยเด็กที่ดีมาก และผมแน่ใจมากๆ เหมือนกันว่าตัวเองอยากเป็นศิลปินจริงๆ