ไม่แปลกเลยที่ปัญหาบางอย่างในครอบครัวมักจะถูกส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่น
จากอากงถ่ายทอดสู่พ่อ จากพ่อถ่ายทอดสู่ลูก และจากลูกที่ก็พร้อมจะส่งต่อไปอีกยามที่เขากลายเป็นพ่อคน
แล้วเมื่อไหร่วงจรนี้จะหยุด
ไม่มีใครตอบได้ จนกว่าจะมีใครสักคนฉุกคิดขึ้นมาจริงๆ ว่าไอ้สิ่งที่ได้รับมา
มันดีแล้วจริงๆ หรือ?
‘ร่อน’ เป็นละครเวทีใหม่แกะกล่องจากฝีมือของเขียนบทและกำกับโดย ‘จตุรชัย ศรีจันทร์วันเพ็ญ’ เจ้าของผลงานละครเวทีหลายเรื่องที่ใครหลายคนน่าจะคุ้นหูอย่าง หมูบินได้, ปีศาจหัวโต, ก่อนจูบ และตึกหญิงคุณหรี่ ครั้งนี้เขาหยิบเอาแรงบันดาลใจจากหนังสือที่เขาอ่านในวัยเด็กเรื่อง ‘ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ’ จากผลงานการประพันธ์โดยประภาส ชลศรานนท์มาตีความใหม่และเล่าต่อในสไตล์ของตัวเอง
เรื่องราวของ ‘ร่อน’ ยึดโครงเรื่องหลักจากหนึ่งตอนในหนังสือ ‘ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ’ ที่ว่าด้วยเรื่องความรักของสุธีและพัชรา ทั้งสองกำลังจะตัดสินใจแต่งงานกันในเร็ววันแต่ความฝันทุกอย่างก็พังทลายเมื่อสุธีได้รับจดหมายจากแม่ที่อยากให้เขาไปแต่งงาน สปอยล์ตอนจบของเรื่องสั้นนี้คือสุธีและพัชราตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตายด้วยกัน
จากบทประพันธ์ข้างต้น จตุรชัยหยิบเอาแรงบันดาลใจตรงนี้มาขยายความต่อ เขาตั้งคำถามและจำลองโลกคู่ขนานขึ้นมา โลกที่ความจริงแล้วสุธีและพัชราไม่ได้กระโดดน้ำตาย แต่สุธีตัดสินใจทำตามคำสั่งแม่ เขาเลิกกับพัชราและกลับไปแต่งงานตามที่พ่อแม่หวัง เรื่องราวใน ‘ร่อน’ คือเรื่องราวที่ดำเนินอยู่บนสมมติฐานนี้แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านมาอีกหลายปี
มันเล่าถึงวันธรรมดาวันหนึ่งที่สุธีกลับบ้านช้า โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าความวายป่วงทั้งหมดกำลังรออยู่ที่บ้าน เพราะที่นั่นมีภรรยาและลูกของเขาได้พบกับพัชราซึ่งกลับมาหาสุธีอีกครั้ง
ตลอดการแสดง 1 ชั่วโมงของ ‘ร่อน’ พวกเขาขนเอาความสนุกเต็มพิกัดและเสียงหัวเราะมาฝากพวกเราอย่างไม่มีกั๊ก ตัวละครทุกตัวดำเนินเรื่องผ่านห้องรับแขกของบ้านสุธีแค่ฉากเดียว แต่ทั้ง 7 ตัวละครถูกจัดลำดับการปรากฏตัวอย่างลื่นไหลไม่เสียจังหวะ ละครค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นกราฟความน่าสนใจไปเรื่อยๆ จากตอนแรกที่อาจจะนิ่งไปบ้าง แต่เมื่อความฮาเริ่มถูกยิงเข้ามา หลังจากนั้นมันค่อยๆ ถูกยิงมาถี่ขึ้น แรงขึ้น จากเราแค่ยิ้มมุมปากในตอนแรก แต่พอมาถึงจุดพีคเราถึงกับหัวเราะตัวโยนและปรบมือให้กับการแสดงที่เรียกเสียงหัวเราะจนเราน้ำตาไหล
อีกอย่างหนึ่งที่เราชมเชยมากๆ คือนักแสดงในเรื่อง ‘ร่อน’ ที่ใช้ตัวละครเพียงแค่ 7 คน แต่พวกเขาผลัดกันออกมาเล่าเรื่องราวระหว่างที่สุธีกลับบ้าน ต้องบอกว่าทั้ง 7 คนทำหน้าที่สร้งมวลบรรยากาศให้กับคนดูได้เหมาะสมมาก บางบทที่ทำหน้าที่เป็นตัวโจ๊กก็สามารถสร้างเสียงฮาให้เราจนแทบตกเก้าอี้ (โดยเฉพาะวัฒนชัย ตรีเดชาในบทบุรุษไปรษณีย์ ทุกๆ การขยับของเขาทำเอาเราหลุดขำได้เสมอ) หรือบางจังหวะที่ละครเลือกที่จะเล่าเรื่องซีเรียส นักแสดงทุกคนก็ส่งความรู้สึกนั้นมาให้เราได้อย่างไม่ติดขัด สำหรับเรา การวางจังหวะของผู้กำกับและการแสดงของนักแสดงที่สัมพันธ์กันเนี่ยแหละ คือจุดเด่นของละครเวทีเรื่องนี้เลย
สุดท้ายถึงแม้เราจะฮาให้กับ ‘ร่อน’ มากเพียงใด แต่อย่างหนึ่งที่เราสัมผัสได้อย่างเต็มเปี่ยมคือ ‘ร่อน’ ไม่เลือกที่จะเล่าเรื่องของสุธีอย่างไร้สาระ ถึงแม้จะเป็นจักรวาลคู่ขนานจากบทประพันธ์ของประภาส แต่เขายังคงใจความสำคัญของเรื่องราวตั้งต้นได้เป็นอย่างดี
‘ร่อน’ เลือกจะสร้างบทลูกของสุธีให้หงอและเชื่อฟังพ่อโดยไม่ปริปากบ่น เราจะสัมผัสจากละครได้ตั้งแต่นาทีแรกว่าอะไรหลายๆ อย่างของสุธีในอดีต มันได้ส่งผลมาถึงตัวเขาและลูกในปัจจุบัน ถ้ามาย้อนคิดดูดีๆ เราพบว่าการยอมกลับมาแต่งงานตามคำสั่งแม่ของสุธีเป็นจุดเริ่มที่แท้จริงของละครเรื่องนี้ ถึงแม้ในเรื่องราว สุธีจะกลับมาบ้านสายและปล่อยให้ตัวละครทุกตัวดำเนินเรื่องและเรียกเสียงหัวเราะจากเรามากขนาดไหน แต่เรากลับสัมผัสได้ถึงผลกระทบจากสุธีได้ในทุกๆ ช่วงเวลาของตัวละคร
ครอบครัวของสุธีทำให้เราได้ตั้งคำถามอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงท้ายของ ‘ร่อน’ ที่ได้สร้างปมในใจเราจากประโยคหนึ่งในห้องรับแขกของบ้านสุธี
“ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่หวังดีกับลูกหรอก”
เรารู้สึกว่า ‘ร่อน’ ตั้งคำถามกับคำพูดนี้พอๆ กับบทประพันธ์ต้นฉบับและโลกแห่งความเป็นจริง เป็นเหมือนความเข้าใจพื้นฐานปกติไปเสียแล้วที่พ่อแม่จะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ แต่ละครกลับหย่อนคำถามลงมาในใจเรา
เพราะเหตุนั้นเองไม่ใช่หรือที่ทำให้สุธีต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
เพราะเหตุนั้นเองไม่ใช่หรือที่ทำให้พัชราต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อให้สุธีทำตามสิ่งที่พ่อแม่สุธีคิดว่าดี
และเพราะเหตุนี้เองไม่ใช่หรือที่ปัญหานี้ยังคงไม่หายไปสักทีแม้กับยุคสมัยไหนก็ตาม
เหมือนที่สุธีก็ทำแบบเดียวกันกับลูกของเขาใน ‘ร่อน’
ถ้าจะให้สรุปใจความทั้งหมดหลังจากจบโชว์ อย่างแรกเรารู้สึกว่า ‘ร่อน’ เติมเต็มความสนุกให้กับเราได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมานอกจากนั้นคือตะกอนบางอย่าง มันไม่คล้ายกับคำสอน แต่มันเป็นเหมือนข้อคิดที่ทำให้เราลองตั้งคำถาม ไม่ใช่แค่กับคำสั่งของพ่อแม่ แต่เราตั้งคำถามกับอะไรหลายๆ อย่าง ‘ที่ดี’ ที่ถูกส่งต่อกันมา
มันยังดีอยู่ไหมถ้าเราจะให้คนที่เรารักเดินตามทางที่เราคิดว่าดี
ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะบินได้
พวกเขาอาจจะ ‘ร่อน’ ออกไปได้ไกลกว่าถ้าไม่มีความหวังดีของเรายึดโยงให้พวกเขาอยู่กับที่
ละครเวทีเรื่อง ‘ร่อน’ กำลังทำการแสดงอยู่โดยยังมีรอบให้ทุกคนได้ตามไปดูในวันที่ 4-8 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ในเวลา 20.00 น. และเพิ่มรอบ 16.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับใครที่อยากเติมพลังใส่ถังแห่งความสุขแถมยังได้ข้อคิด เราขอแนะนำให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์นั้นกับละครเวทีเรื่องนี้นะ
และที่สำคัญคือไม่ต้องกลัวพ่อแม่ดุ ถ้าอยากจะมาดูละครเวทีเรื่องนี้
เราแนะนำว่าทางที่ดีคือชวนพ่อแม่มาดูด้วยกันเลยดีกว่า
เพราะสิ่งนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่บอกพ่อแม่ว่าพวกเรา ‘ร่อน’ ไปได้ไกลกว่าที่พวกเขาคิด