เบื้องหลัง Rompboy x juli baker และสูตรการทำรองเท้าให้ขายหมดภายในหลักนาที

Highlights

  • ‘I’ll Follow The Sun’ คือชื่อของคอลเลกชั่นรองเท้าใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Rompboy ของ บู้–ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์ หรือ บู้ SLUR ที่ทำร่วมกันกับศิลปินเจ้าของสีสันสดใสอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง juli baker and summer
  • เพราะเป็นคนชอบเดินทาง เธอจึงนำสิ่งที่พบเจอจากการท่องเที่ยวที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ และเพลงโปรดของเธออย่าง I’ll Follow The Sun ของ The Beatles ที่สอนให้ชีวิตต้อง move on มาเป็นไอเดียตั้งต้นในการออกแบบรองเท้า
  • อันที่จริง นี่ไม่ใช่การร่วมงานครั้งแรกระหว่างแบรนด์ Rompboy และศิลปิน โดยเกณฑ์ในการเลือกศิลปินของบู้ไม่ซับซ้อน คือเป็นศิลปินที่เขาชื่นชอบเป็นทุนเดิม บวกกับสามารถเข้ากับแบรนด์ Rompboy ได้โดยไม่เคอะเขิน
  • สำหรับเคล็ดลับขายของให้หมดอย่างรวดเร็วเริ่มจากความไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากช่วงแรกแบรนด์สามารถผลิตของได้น้อยจึงขายหมดเร็ว และกลายเป็นว่าภาพลักษณ์ความ limited ก็ติดอยู่กับ Rompboy ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกเขาในวันนี้

เพียงแค่ได้เห็นภาพรองเท้า I‘ll Follow The Sun รองเท้าคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดจาก Rompboy ที่เจ้าของแบรนด์อย่าง บู้–ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์ หรือ บู้ SLUR ทำร่วมกันกับ juli baker and summer หรือ ป่าน–ชนารดี ฉัตรกุล ณ อยุธยา ศิลปินเจ้าของลายเส้นสีสดใสที่เราแอบสมัครเป็นแฟนคลับ เราก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและอยากจับจองเป็นเจ้าของรองเท้าที่ผสมผสานความสดใสและเรียบง่ายออกมาอย่างลงตัวคู่นี้

แต่เพราะรู้กันว่าแบรนด์รองเท้าอย่าง Rompboy มีดีที่ความกล้าผลิตสินค้าออกมาในจำนวนจำกัด แถมยังมีสถิติเดิมที่เคยขายรองเท้าหมดภายในหลักนาที เราจึงหวั่นใจว่ายังไงรองเท้าคอลเลกชั่นนี้ก็คงขายหมดได้สบายๆ

ใช่ เป็นจริงตามที่คาดไว้ และเราเป็นหนึ่งในคนนั้น

คนที่จับจองหาซื้อรองเท้าคอลเลกชั่นนี้ไม่ทัน

เพราะติดใจในการออกแบบและวิธีการทำการตลาดให้ยอดจองเต็มภายในหลักนาที เราจึงขอไปคุยกับบู้และป่านถึงเบื้องหลังการออกแบบรองเท้า I’ll Follow The Sun ที่ขายดีจนเราซื้อไม่ทันเสียหน่อย

และแน่นอนว่าบทความนี้ไม่จำกัดเวลาและจำนวนคนในการอ่าน

ผสมผสานตัวตนของสองคน กลายเป็นรองเท้ารุ่น I’ll Follow The Sun

“โปรเจกต์นี้น่ารักและมีพลังสำหรับผมมากๆ” บู้ตอบอย่างกระตือรือร้น เมื่อเราเปิดบทสนทนาว่าการทำงานคอลเลกชั่น I’ll Follow The Sun เป็นอย่างไรบ้าง

“คอลเลกชั่นนี้เริ่มต้นจากการที่เราเลือกรองเท้ารุ่น Vanilla มาเป็นโมเดลในการออกแบบ เพราะเป็นรองเท้ารุ่นที่ลูกค้าชอบและถามถึงอยู่ตลอด รวมทั้งยังมีพื้นที่ให้ออกแบบค่อนข้างเยอะ ตอนทำงานผมบอกป่านว่าเราขอเก็บแค่ส่วน Rubber สีดำ และ Upper สีขาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Rompboy ไว้เพื่อความซิมเปิล สามารถใส่ได้ทุกวัน แต่ที่เหลือก็ขอให้มองว่ารองเท้านี้เป็นเหมือนแคนวาสได้เลย ป่านจะออกแบบอะไรมาก็ได้ เต็มที่ ผมแค่ชี้ให้เขาเห็นว่าการออกแบบรองเท้าสามารถเล่นกับส่วนไหนได้บ้าง สุดท้ายมันก็กลายร่างมาเป็นอย่างที่เห็น

“งานนี้เป็นงานที่ผมชอบตั้งแต่ได้เห็นสเกตช์แรก มันสนุก แฟชั่น และป๊อป มีครบทุกอย่างเลย ยิ่งพอป่านบอกว่าคอนเซปต์มาจากเพลง I’ll Follow The Sun ของ The Beatles ผมยิ่งชอบมาก เพราะแบรนด์เราโตมากับการทำเสื้อผ้าเพื่อนักดนตรี หรือคนในวงการนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน หรือแฟนเพลงที่เขาฟังเพลง พอทุกอย่างมันประกอบกันแล้วลงตัวขนาดนี้ ผมเลยคิดว่าเราไม่แตะมันเลยดีกว่า”

เพราะบู้คิดอย่างนั้น สุดท้ายสเกตช์แรกที่ว่าจึงกลายมาเป็นผลงานจริงที่วางขายอยู่ กลายเป็นรองเท้าที่มีอาร์ตเวิร์กน่ารักๆ ที่ต่อยอดมาจากทริปครั้งนั้นของป่านอย่างแสตมป์ติดโปสต์การ์ดและรูปพระอาทิตย์จากเพลง ซ่อนอยู่ที่พื้นรองเท้าด้านใน (insole) ทั้งสองข้าง ที่แม้สองข้างจะมีลวดลายแตกต่างกัน แต่หากนำมาวางคู่กันจะพบว่าลายจากพื้นรองเท้าทั้งสองข้างนั้นสามารถเข้าคู่กันเป็นรูปพระอาทิตย์ดวงโตได้อย่างพอดี แถมยังมีดีเทลเล็กๆ มาเพิ่มความน่ารักด้วยการปักรูปพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกไว้ที่ลิ้นรองเท้า มีคำว่า I’ll Follow กับ the Sun ไว้ที่ส้นเท้าด้านหลัง และพื้นรองเท้าด้านนอก (outsole) ยังมีสีเหลืองสะท้อนแสง เป็นตัวแทนของพระอาทิตย์แบบที่ป่านอยากได้ด้วย

“เป็นงานที่ไม่ได้ดูเป็นเราขนาดนั้น แต่ก็เป็นเราผสม rompboy คนละครึ่ง” ป่านบอกเราแบบนั้น แน่นอนว่าตรงกันกับคำตอบของบู้ด้วย เพราะคงไม่อาจปฏิเสธว่ารองเท้าคอลเลกชั่นนี้ผสมผสานความเรียบง่ายและความสดใสไว้อย่างลงตัวจริงๆ

รองเท้าคืองานศิลปะ

ช่วงหนึ่งของการคุยกัน บู้ออกปากว่าเขารู้สึกว่าช่วงหลังๆ นี้ Rompboy ออกรองเท้าถี่เกินไป จนเราสงสัยว่าทำไมเขายังไม่หยุดทำโปรเจกต์สนุกๆ ร่วมกับศิลปิน

และคอลเลกชั่น I’ll Follow The Sun ก็เป็นหนึ่งในนั้น

“พอได้ทำงานกับศิลปินที่ติดตามอยู่ มันเหมือนได้เติมจิตวิญญาณอะไรบางอย่างให้กับแบรนด์ ผมเลยคิดว่ายังไงปีนี้ก็ต้องมีอีก” บู้ตอบง่ายๆ

“ปีนี้ผมตั้งใจว่าจะจำกัดการออกรองเท้าใหม่ให้เหลือไม่เกินสามถึงสี่ครั้งต่อปี เลยคิดว่าถ้าจะมีการ collab เกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นการ collab ที่พิเศษจริงๆ ต้องมีความเป็นตัวเรา มีความเป็นเอกลักษณ์ เพราะอยากให้รองเท้าของเราเป็นเหมือนของที่ระลึก คือแม้ลูกค้าซื้อไปแล้วจะไม่ได้ใส่ แต่เขาก็ยังสามารถนำไปเก็บหรือตั้งโชว์ได้ เราอยากให้มันเป็นเหมือนงานปั้นสามมิติน่ารักๆ ผมเลยพยายามมองหาศิลปินที่คิดว่าจะมาเติมเต็มในเรื่องของศิลปะได้ เป็นศิลปินที่มีทั้งศิลปะและความป๊อป และที่สำคัญคือต้องเป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบด้วย

“เพราะแบบนี้ผมจึงเลือก juli baker and summer มาร่วมงานกัน ผมรู้สึกว่าป่านมีครบทุกอย่างเลย ศิลปะ แฟชั่น ความเป็นป๊อปคัลเจอร์ จริงๆ ป่านสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของแบรนด์ได้เลยด้วยซ้ำ”

อย่างนี้ก็แปลว่าป่านก็เป็นศิลปินที่คุณชื่นชอบด้วยสิ เราถาม

“ใช่ ผมเป็นแฟนคลับของเขาอยู่แล้ว ฟอลโลว์เขามาตั้งแต่ยังไม่รู้เลยว่าป่านเป็นรุ่นน้องที่คณะ งานของป่านเป็นงานที่ถึงแม้จะไม่มีชื่อเขียนบอกไว้ แต่แค่เห็นการใช้คู่สีก็รู้ได้เลยว่านี่คืองานของเขา เราเลยคิดว่าถ้าได้ทำงานร่วมกัน ทุกฝ่ายก็น่าจะแฮปปี้ ไม่ว่าจะเป็นผม ป่าน หรือกระทั่งลูกค้าเอง”

ป่านคงแฮปปี้จริง–เราคิดในใจเมื่อได้ยินคำตอบของเขา เพราะยังจำวันก่อนหน้าที่โทรศัพท์ไปสัมภาษณ์ป่าน เรื่องไอเดียในการออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ได้ดี

“ตอนพี่บู้ชวนว่าอยากทำรองเท้าด้วยกันไหม เราตื่นเต้นมาก รีบตอบตกลงทันที เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ (หัวเราะ) หลังจากนั้นจึงเริ่มคิดว่าถ้าเป็นเราจะอยากใส่รองเท้ารุ่นนี้ไปที่ไหน ด้วยความเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว เลยนึกถึงตอนที่เราไปเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษกับพ่อ ตอนนั้นเราซื้อทัวร์ไปตามรอยบ้านเกิดของ The Beatles ได้ไปบ้านของ Paul McCartney และเห็นห้องนอนที่เป็นที่มาของเพลงที่เราชอบมากอย่าง I’ll Follow the Sun ก็เลยคิดว่าอยากทำรองเท้ารุ่นนี้แหละ เพราะนอกจากจะมีความหมายตรงตัวน่ารักๆ อย่าง ฉันเดินตามพระอาทิตย์แล้ว สำหรับเราเนื้อเพลงยังสอนให้เรา move on ด้วย เหมือนว่าถึงแม้จะเจอเรื่องแย่ๆ ก็ให้ลองก้าวผ่านมันไป เพราะยังไงชีวิตก็ยังมีเรื่องข้างหน้ารออยู่เสมอ เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นการเตือนตัวเองได้เวลาจะเดินไปไหน จะทำอะไร”

ป่านเล่าเสริมว่าสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นไม่ใช่แค่การได้ออกแบบรองเท้าอย่างเดียวแต่เป็นเพราะแบรนด์ที่มาชักชวนคือแบรนด์ Rompboy ที่เธอชื่นชอบอยู่แล้วด้วย แม้จะแอบโอดครวญว่า “ไม่เคยซื้อทันเลย” ก็ตาม

นั่นสิ บู้ทำยังไง ทั้งเราและป่านถึงไม่มีใครจับจองได้ทันเลย

จำนวนจำกัด ขายหมดภายในหลักนาที

มันเป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกคือคำที่บู้ตอบเราแทบจะทันทีเพียงแค่เราเอ่ยถามว่า ‘จำนวนจำกัด’ คือกลยุทธ์ของเขาหรือเปล่า

“เรื่องของมีจำนวนจำกัด ต้องแข่งกันซื้อ มันมาจากช่วงแรกที่ผมทำแบรนด์ใหม่ๆ ตอนนั้นเราจะชอบไปซื้อผ้าลายแปลกๆ มาทำชุด และผ้าพวกนั้นมักจะมีจำนวนจำกัด บางทีผลิตออกมาได้แค่สิบตัวผ้าก็หมดแล้ว ประกอบกับช่วงนั้นเราขายของมือสองด้วย บางทีก็มีแค่ชิ้นเดียว ลูกค้าเลยเกิดความรู้สึกว่าถ้าอยากได้ของร้านเราต้องแข่งขันกัน ต้องรีบซื้อ สุดท้ายมันเลยกลายเป็นไดเรกชั่นของแบรนด์ไปเลยว่าร้านนี้ลิมิเต็ดนะ เพราะลูกค้าสอนผมอย่างนั้น ผมก็เลย ‘ได้ เอาอย่างนั้นก็ได้วะ’”

บู้หัวเราะขำๆ ก่อนจะเล่าให้ฟังต่อว่าจริงๆ แล้ว Rompboy ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ขายดีหรือขายหมดภายในหลักนาทีมาตั้งแต่แรกเปิดแบรนด์อย่างที่เข้าใจกัน ที่จริงเขาก็มีช่วงที่ขายสินค้าไม่ออก หรือทำสินค้าออกมาแล้วผลตอบรับไม่ดีอยู่เหมือนกัน

“ตอนทำเสื้อผ้าใหม่ๆ ขายตั้งสี่เดือนกว่าของจะหมด จำได้เลยว่าช่วงนั้นผมยังรบกวนให้เพื่อนช่วยซื้อช่วยใส่อยู่เลย กางเกงล็อตนั้นน่าจะขาดทุนด้วยซ้ำ เพราะเจอใครก็แจกหมด เวลาไปเล่นดนตรีก็ติดไป เอาไปให้แบ็กสเตจช่วยใส่ ให้คนนู้นคนนี้ช่วยโปรโมต มันเริ่มขายได้เร็วขึ้นหลังจากนั้น แต่เร็วขึ้นในที่นี้ก็ไม่ได้แปลว่าขายหมดภายในหลักนาทีนะ เราทำไปเรื่อยๆ ขายไปเรื่อยๆ มากกว่า สุดท้ายพอคนรู้จักมันก็เริ่มมีคนประดังเข้ามาสั่ง และขายหมดภายในไม่กี่นาทีอย่างทุกวันนี้เอง”

ทุกวันนี้ไม่เสียดายแย่เหรอ–เราสงสัย เพราะดูจากจำนวนคนที่อยากได้สินค้าของเขาแล้ว ผลิตเยอะๆ น่าจะได้รายได้เป็นกอบเป็นกำกว่านี้อีก

“ใช่ ทุกคนจะพูดแบบนี้กับผมหมดเลยว่า เฮ้ย ทำอย่างนี้แล้วจะรวยเหรอ ไม่เสียดายเหรอ บางงานมันขายดีมากเลยนะ แต่ผมคิดว่าตรงนี้แหละคือการโปรโมตของเรา การที่ลูกค้าเขาไม่ได้สินค้านั้น แต่เขาจำได้ และบอกปากต่อปากกันว่าร้านนี้ทำน้อยนะ ต้องรีบซื้อ ตั้งแต่เปิดร้านมา 5 ปี ผมไม่เคยใช้เงินไปกับการซื้อโฆษณาในเฟซบุ๊กเลย ถ้าตรงนี้มันทดแทนการที่ผมจะเสียเงินไปกับการบูสโพสต์ได้ ผมก็ยอมที่จะไม่ผลิตเพิ่มแล้วให้ลูกค้าบอกต่อดีกว่า มันเป็นการโปรโมตที่ดีสำหรับผมมากกว่า”

ทุกอย่างเกิดจากความชอบ (ของผม)

“ไม่รู้สิ มันเหมือนกำลังพูดกับคนที่พูดภาษาเดียวกับเราอยู่มั้ง” บู้บอกเราอย่างนั้นเมื่อเราถามหาเคล็ดลับการทำแบรนด์จากเขา

“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์แรกๆ ผมเป็นแค่คนที่บอกลูกค้าว่า เฮ้ย ผมชอบอย่างนี้ว่ะ ใครชอบแบบเดียวกับผมบ้าง จนวันหนึ่งพอทำไปเรื่อยๆ เราก็ได้รับการตอบรับมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าเวลาสื่อสารอะไรไปกับคนกลุ่มนี้เขามักจะเห็นด้วย และบอกว่าเราทำแบบนี้ได้ เขาจะซื้อ เพราะเราชอบเหมือนกันอยู่แล้ว เราเป็นคนพันธุ์เดียวกัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าผมเลือกใครแล้ว ลูกค้าก็น่าจะชอบด้วย

“เชื่อไหมว่าถึงแม้ตอนนี้จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ผมก็ยังเห็นภาพลูกค้าของ Rompboy เป็นกลุ่มเดิม ผมหลับตาแล้วสามารถเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้เลย รู้เลยว่าเขาเป็นคนประมาณไหน ลักษณะนิสัย ไลฟ์สไตล์ เพลงที่ฟัง สถานที่เที่ยว เงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ผมพอจะรู้หมดเลยว่ากลุ่มลูกค้าของเราเป็นยังไง ทุกวันนี้ผมก็ยังทำงานเพื่อคนกลุ่มนั้นอยู่ ผมยังสนุกมากๆ กับการทำของ ทำเสื้อผ้า แล้วมีคนที่เห็นดีเห็นงามด้วย มันชื่นใจนะ เหมือนเรารู้จักกันโดยที่เราไม่ต้องคุยกัน เราไม่เคยเจอกันตัวเป็นๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เราสามารถสื่อสารกันผ่านเสื้อผ้าได้แบบนี้

“จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่กับการเลือกศิลปินหรอก กับการเลือกว่าจะทำสินค้าหรือผลิตไอเทมแต่ละอย่าง มันก็ต้องผ่านความอยากของผมก่อน ผมอยากจะใส่อันนี้ อยากจะทำงานกับศิลปินคนนี้ อยากจะทำอะไรบางอย่างกับคนคนนี้ มันมาจากรสนิยมส่วนตัวของผมล้วนๆ เลย ซึ่งจริงๆ วิธีการทำงานและวิธีการคิดของ Rompboy มันคล้ายกันกับตอนผมทำวง SLUR นั่นแหละ มันคือการทำไปโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และคิดว่าสิ่งนี้จะสามารถเป็นแม่เหล็กดึงเอาคนพันธุ์เดียวกันมาเจอกันได้”

ทำการตลาดแบบไม่มีวิธีทำการตลาด

“เราไม่ได้มีหลักการอะไรเลย ผมน่าจะเป็นนักธุรกิจที่ลูกทุ่งที่สุดแล้วคนหนึ่ง” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ผมไม่มีทฤษฎี ทุกวันนี้ใช้สัญชาตญาณของตัวเองแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดว่าสิ่งนี้น่าจะดีก็ทำ ทำธุรกิจเหมือนคนทำไม่เป็น ทำระบบหลังบ้านด้วยวิธีบ้านๆ มาตลอด คือถ้าล็อตนี้จะขายเยอะก็เรียกแอดมินมาช่วย ถ้าแพ็กของไม่ไหวก็จ้างคนแพ็ก เหมือนเป็นการเจอปัญหาแล้วค่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้เป็นคนวางแผนเก่งเลย ผมแค่ทำทุกอย่างด้วยความเป็นตัวเอง รู้สึกยังไงก็สื่อสารกับลูกค้าอย่างนั้น ยิ่งเราทำมานาน ทางมันก็จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรามีลูกค้าช่วยบอก ฟีดแบ็กที่ได้มามันก็เป็นเหมือนการล้อมกรอบให้เราเดินไปในทางที่ถูกต้องมากขึ้น มันคือการลองถูกลองผิดนั่นแหละ

“จริงๆ ผมก็ชอบดูพวกรายการเกี่ยวกับธุรกิจ ผมอ่านนู่นอ่านนี่มาตลอด แต่สุดท้ายพอนำมาใช้จริง มันก็จะมีทั้งอันที่ผมรู้สึกว่า โห กูรูคนนี้คิดถูกเลยว่ะ ดีใจที่เอาวิธีคิดของเขามาใช้ และก็จะมีอันที่ผมลงมือทำแล้วพบว่าแนวคิดของเขาไม่ได้เรื่องเลยว่ะ มันต้องลองปรับดู จึงจะได้สิ่งที่เหมาะกับธุรกิจของเรา เพราะสุดท้ายแล้วอย่าลืมว่ากูรูเหล่านั้นเขาไม่ได้มาทำงานกับเราร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เขาไม่ได้มาคลุกคลี หรือรู้ว่ากลุ่มลูกค้าของเราเป็นยังไง เขาได้แต่สันนิษฐาน และผมก็ได้แต่สันนิษฐานเช่นกัน บางอย่างผมคิดว่ามันน่าจะเวิร์กเพราะทำมานานแล้ว มันก็ยังไม่เวิร์กเลย ผมว่าชั่วโมงบินสำคัญที่สุดในการทำงาน ทำเยอะๆ เข้าไว้ เจอปัญหาเยอะๆ แล้วเวลาเราเจออะไรที่มันเจ๊ง เราก็จะรู้แล้วว่าทางนี้เราไม่ควรไปต่อ

“ผมไม่ได้เก่งกว่าใครเลย ผมว่าผมโชคดีมากกว่าที่ตัดสินใจทำแบรนด์ตั้งแต่ยุคที่เฟซบุ๊กมันยังไม่ลดจำนวนการเข้าถึง ผมตัดสินใจเริ่มต้นในขณะที่คนอื่นยังไม่เริ่มต้น พูดตรงๆ ว่าถ้าผมเพิ่งมาเปิดแบรนด์เอาตอนนี้ ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้เขาเลย แต่การที่ผมเริ่มต้นเร็ว จริงใจกับลูกค้า และยังมีไฟในการทำงาน ยังตั้งใจกับการออกแบบสินค้าทุกชิ้นอยู่ แค่นี้ผมก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ยังไงลูกค้าเขาจะรู้สึกถึงเรื่องพวกนั้นเอง มันเป็นอะไรบางอย่างที่ลูกค้าต้องรู้สึกได้

“หลักของ Rompboy ไม่มีอะไรมากเลย ผมยังเชื่อเสมอว่าถ้าเราจริงใจกับงาน งานก็จะตอบแทนเราเอง”

ภาพ Rompboy


ใครที่อยากได้รองเท้า I’ll Follow The Sun แต่จองในเพจ Rompboy ไม่ทันไม่ต้องเสียใจ เพราะเร็วๆ นี้บู้แอบกระซิบมาว่ารองเท้าคอลเลกชั่นนี้ยังมีวางขายอยู่ที่ร้าน Frank สยามซอย 2 ถ้าอยากได้รีบไปกันให้ไวก่อนที่มันจะขายหมดอีกรอบนะ

AUTHOR