เดินสามหมื่นก้าวฝ่าขึ้นไปบนเขาสูง ที่เส้นทาง Roys Peak Track บนเกาะทางใต้ของนิวซีแลนด์

ดวงอาทิตย์กลมโตกวักมือเรียกให้เราลุกจากเตียงออกไปทำกิจกรรมเอาต์ดอร์แต่เช้า

ในเมืองที่ไม่ได้มีกิจกรรมหวือหวาให้ทำมากนัก ไม่มีข้าวของให้จับจ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ การมีส่วนร่วมกับธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสามัญที่อยู่คู่กับชาวนิวซีแลนด์มาเนิ่นนาน

กิจกรรมของเราวันนี้มีความพิเศษและฮาร์ดคอร์กว่ากิจกรรมอื่นๆ ในทริปนิดหน่อย เพราะเรากำลังจะเดินฝ่าขึ้นไปบนเขาที่สูงที่สุดในเมืองวานากะ เมืองเล็กๆ บนเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เส้นทางเส้นนี้มีชื่อเรียกเท่ๆ ว่า Roys Peak Track รูตมีความยาวรวมทั้งหมด 16 กิโลเมตร และสูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,600 เมตร

ฟังดูน่าเหนื่อยหน่ายสำหรับหลายคน

แต่เหตุผลที่ทำให้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งอยากขึ้นไปเหยียบด้วยฝ่าเท้าของตัวเองก็คงไม่พ้นวิวงามๆ ด้านบน สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังต่างๆ ระหว่างทาง ประสบการณ์ที่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้ทำอีก และความต้องการเอาชนะความขี้เกียจในใจ

เราเตรียมเสบียงอาหารเอาไว้สำหรับมื้อเที่ยงกับไว้กันหิวระหว่างทาง น้ำสองขวด แซนด์วิชหรือข้าวปั้นที่พกง่ายๆ เอเนอร์จีบอล และกล้วยหอม

ลานจอดรถ Roys Peak มีรถหลายสิบคันจอดเรียงรายอยู่ ทำให้เราอุ่นใจว่าไม่ใช่เราแค่กลุ่มเดียวที่บ้าพลังเดินขึ้นภูเขาที่มองไม่เห็นยอดเขาด้วยซ้ำ เราตกลงกันว่าจะเดินกันแบบไม่รีบเพราะต่างไม่ใช่มนุษย์ออกกำลังกายถี่ๆ และไม่ได้แข็งแรงถึงขนาดที่สามารถเดินรวดเดียวจนถึงได้ จึงค่อยๆ ก้าวไปอย่างเนิบช้าพร้อมตัวช่วยอย่าง trekking pole สองมือ

หอบบ้าง หน้ามืดบ้าง ขาเปลี้ยบ้าง แต่ทิวทัศน์ 360 องศารอบๆ ตัวก็บอกเราตลอดว่าเราหอบร่างกายมาไกลแค่ไหนแล้ว เราเริ่มเห็นวิวภูเขาด้านข้างต่ำลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็เห็นสันเขาที่เป็นเป้าหมายของเราชัดเจนขึ้น พลังงานของเราหดหายไปตามจำนวนก้าวที่เดิน แต่สิ่งที่ทำให้เราอยากออกแรงก้าวขาต่อก็คือยอดเขาสูงลิบเหนือหัวที่คอยดึงดูดให้เราอยากไปต่อ

ขาแข็งแรงอย่างเดียวไม่พอ จิตใจก็ต้องแข็งพอที่เห็นกลุ่มคนที่เดินขึ้นด้วยเวลาไล่เลี่ยกับเราหรือหลังเรา เดินไปถึงยอดเขาแล้วกลับลงมาสบตากับเราอีกครั้งในขากลับของพวกเขา บางคนเดินกระเตงลูกไปด้วย บางคนอายุน่าจะเหยียบเลขเจ็ด แต่ดันแข็งแรงกว่าเราหลายเท่า จึงได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนกลับไปทุกครั้งที่เจอกันรอบสอง แล้วเดินเนิบๆ สไตล์เราต่อไป

ความเกร็งของกล้ามเนื้อขาทุกสัดส่วนถูกลบเลือนไปชั่วขณะด้วยภาพภูเขา Mt. Aspiring กับ Lake Wanaka สีฟ้าสด เรายืนสูดอากาศไร้ละอองฝุ่นราวกับไม่เคยหายใจมาก่อน หยิบกล้องทุกรูปแบบที่มีออกมาเก็บภาพราวกับจะไม่ได้ถ่ายภาพอีกตลอดไป ถึงจะใช้เวลานานหน่อยในการรอเหล่าเทร็กเกอร์ทั้งหลายยืนอ้าแขนถ่ายรูปในจุดวิวพอยต์ แต่เราก็ต่างเต็มใจรอและต่อคิวอย่างสงบเสงี่ยมด้วยความที่เราต่างเข้าอกเข้าใจความเหนื่อยยากของกันและกัน

ธรรมชาติยิ่งใหญ่, มนุษย์ช่างเปราะบาง

ไม่อยากจะเชื่อว่าเรากำลังยืนต้านลมอยู่บนสันเขาบางๆ ที่อยู่เหนือภูเขาทุกลูกในเมืองวานากะ

พอก้มลงมองลงไปจากตรงนี้ ภูเขาที่เคยมองว่าใหญ่ก็กลายเป็นขนาดเท่าก้อนหิน เมืองวานากะก็เหมือนโดนไฟฉายย่อส่วนให้เล็กจิ๋ว ส่วนตัวเราก็ไม่ต่างจากธุลีเล็กๆ ปลิวไปปลิวมาอยู่บนเขา

ขากลับที่คิดว่าจะสบายเพราะไม่ต้องต้านแรงโน้มถ่วงของโลก กลับทุลักทุเลไปอีกแบบ เพราะต้องคอยเกร็งขาในทุกๆ ก้าวที่ย่ำลง ด้วยกล้ามเนื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ทำให้เราต้องหยุดพักยืดกล้ามเนื้อกันเป็นระยะ

ในขณะที่ต้องพยุงร่างกายและเป้อันหนักหน่วงบนแผ่นหลังในขากลับ ธรรมชาติก็พยุงตัวเราเอาไว้ทุกครั้งที่เราเหลือบมองเช่นกัน อย่างน้อยทะเลสาบด้านข้างก็ส่งสัญญาณเบาๆ มาเตือนให้เรารับรู้อยู่ตลอดเส้นทางว่าเราใช้เวลา 8 ชั่วโมงด้วยจำนวนก้าวราวๆ สามหมื่นก้าวกับภูเขาลูกนี้เพื่ออะไร

ภาพที่เห็น และความรู้สึกที่ได้รับในวันนี้คือคำตอบ

AUTHOR