ใน a day 217 ฉบับ The Rise of Thai Rap เรามีโอกาสได้สนทนากับกลุ่มแรปเปอร์ชื่อ Rap Against Dictatorship
เวลานั้นพวกเขายังเป็นที่รู้จักในวงแคบในฐานะของกลุ่มแรปเปอร์ที่พูดเรื่องการเมืองเป็นหลัก เราได้สนทนากับสองแรปเปอร์ในกลุ่ม นั่นคือ Liberate P และ HOCKHACKER ถึงที่มาที่ไปเกี่ยวกับเจตนาของเขาในฐานะแรปเปอร์การเมือง หลายคำบอกเล่าและหลายความตั้งใจที่พวกเขาอยากให้เป็นในตอนนั้น มาในตอนนี้ เราอาจจะพอพูดได้ว่ามันประสบความสำเร็จแล้วจากกระแสเพลงล่าสุดที่ถูกพูดถึงทั่วประเทศ ประเทศกูมี
ปัจจุบันท่ามกลางข่าวหนาหูถึงกระแสที่มีทั้งชื่นชมและตีกลับ เราคิดว่าคงเป็นการดีถ้าจะหยิบเอาเจตนารมณ์ตั้งต้นและสิ่งที่พวกเขาเคยพูดกับเรามาบอกต่ออีกครั้ง ตอนนั้น Liberate P และ HOCKHACKER ตอบคำถามเราด้วยคำพูดหนักแน่น หลายๆ ถ้อยคำสะท้อนถึงมุมมองต่อประเทศที่เรากำลังยืนอยู่และสะท้อนกลับไปถึงตัวผลงานของพวกเขาเอง
คำถามที่ว่าประเทศกูมีอะไร คำตอบนั้นเราอาจจะต้องหา
แต่คำถามที่ว่าแล้ว Rap Against Dictatorship มีอะไร
เราคิดว่าพวกเขาตอบแล้วผ่านบทเพลง
Liberate P
Liberate P หรือชื่อเต็มๆ ว่า Liberate The People เริ่มมาจากคนรุ่นใหม่ที่สนใจประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางการเมืองในยุค 14 ตุลาฯ, 6 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ สาเหตุหนึ่งที่เขาตัดสินใจทำเพลงแรปการเมืองเพราะบ้านเรายังไม่มีแรปที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มีเพียงแรปที่เลือกพูดเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น
“สิ่งที่บางคนพูดมันผิวมากๆ เปลือกมากๆ เช่น ด่าตำรวจ ด่าพระ ด่านักการเมือง แล้วมองว่ามันเป็นความขบถ แต่เราด่าคนพวกนี้ให้ตายยังไงก็ไม่เคยเข้าไปถึงโครงสร้างทางการเมืองได้เลย มันมาถึงจุดที่เราได้ยินเพลงพวกนี้แล้วรู้สึกรำคาญ มันห่วยแตก เราเลยทำเพลงการเมืองที่เป็นแนวคิดเราออกมา”
สิ่งที่ทำให้ Liberate P ชัดเจนและโดดเด่นในการเป็นแรปเปอร์สายการเมืองคือเนื้อหาที่กล้าพูดถึงผู้มีอำนาจ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคาดหวังมากกว่าความบันเทิงคือมุมมองและวิธีคิดต่อประเด็นทางสังคม เขาคาดหวังว่าคนจะมองปัญหาได้ลึกมากขึ้น ไม่ใช่แค่ด่าอย่างเดียว
“หลักๆ เราพูดถึงเรื่องสิทธิมากกว่า ไปในเชิงประเด็นทางสังคม เราเน้นปัญหาที่ว่าเราไม่มีประชาธิปไตย เราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ เราพยายามจะสร้างความเข้าใจว่าต่อให้รัฐบาลชุดนี้ออกไป ปัญหาก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม อย่างเรื่องนาฬิกาประวิตร คนทั่วไปเขาก็ด่ากัน แต่เราต้องไปให้ไกลกว่านั้นว่าแล้วยังไงต่อ มันไม่ใช่เขาลาออกแล้วปัญหาทุกอย่างจะจบ แต่มันต้องไปให้ถึงโครงสร้างว่าเพราะอะไรถึงมีนาฬิกาที่ยืมเพื่อนมา เราอยากให้คนฟังต่อยอดเองได้”
แรปเปอร์สายการเมืองบอกกับเราว่า ในยุคที่แรปมาถึงคนผิวสี มันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการพูดถึงปัญหาที่พวกเขาพบเจอ ปัญหาของตัวเอง ไปจนถึงปัญหาสังคมและการเมือง ภาพของแรปเลยถูกจำแบบนี้นับตั้งแต่นั้นมา แต่ยังไงก็ตาม แรปยังคงเป็นเพลง และเพลงก็สามารถเข้าถึงผู้คนได้เสมอ
“ตอนไปเล่นสดที่งานหนึ่ง คนที่มาเป็นคนรุ่นป้ารุ่นแม่เยอะ เราเลยกังวลว่าเพลงที่เราแรปมันจะเข้าไม่ถึง แต่พอเล่นจริงแล้วพบว่าพวกเขาชอบ ผลตอบรับดี เราเลยมั่นใจมากขึ้นว่าแรปมันเข้าถึงคนได้หลากหลาย เมื่อเขาเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อ
“ปัญหาที่ผู้ใหญ่มองว่าแรปมันดูเด็กๆ เป็นเพราะเนื้อหาที่สื่อออกไปมากกว่า เพลงเข้าถึงคนทุกกลุ่ม แต่คอนเทนต์บางอย่างต่างหากที่เข้าไม่ถึงเลยทำให้คนไม่เข้าใจ”
นอกจากในนาม Liberate P ปัจจุบัน เรายังติดตามผลงานของเขาได้ในโปรเจกต์ที่หลายคนน่าจะรู้จักแล้วอย่าง ‘Rap Against Dictatorship’ (RAD) โปรเจกต์ที่เขาบอกว่า อยากสื่อสารกับชนชั้นกลางด้วยเมสเสจที่ว่าด้วยเรื่องความห่วยแตกของสังคมไทยและอยากจะสร้างพื้นที่ในการแสดงออกว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็สามารถพูดได้ ใครๆ ก็แรปเรื่องการเมืองได้
“โปรเจกต์นี้เกิดจากคน 4 คนที่มีเป้าหมายอยากสื่อสารกับชนชั้นกลางให้เห็นปัญหาของประเทศนี้มากขึ้น ให้เห็นว่าปัญหาในประเทศนี้มันคาราคาซังขนาดไหน การไล่ทหารออกไปไม่ได้หมายความว่าปัญหาทุกอย่างจะจบ ประเด็นสำคัญคือไม่ควรเอาทหารเข้ามาแทรกแซงทุกกรณี”
แล้วพอเสี่ยงแบบนี้ เรากลัวบ้างไหม เราเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะในสังคมที่พูดอะไรได้น้อยมาก วาจาและไรม์ของเขาช่างขัดกับระบบที่เป็นอยู่เหลือเกิน
“เราต้องรอบคอบ ต้องคิดเยอะๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง ถามว่าเราด่าไปแล้วมันยังไงต่อ จะเกิดผลอะไร เราต้องการอะไร ด่าเพื่อความสะใจ ก็คือได้ความสะใจ แต่มันจะไม่มีอะไรต่อ แต่ถ้าด่าเพื่อให้เขาแก้ไข เราก็ต้องคิดว่าด่าแล้วจะทำยังไงให้เขาอยาก แก้ไขได้ มันมากกว่าการด่า
“ลึกๆ เราก็กลัวแหละ กลัวคนที่บ้านจะโดนไปด้วย ดังนั้นเราต้องคอยเช็กตัวเองตลอด ในโลกออนไลน์มันพอทำได้ แต่ถ้าเราทำในโลกจริงคงโดนร้อยเปอร์เซ็นต์”
HOCKHACKER
เบื้องหน้าของ HOCKHACKER หรือฮอคกี้–เดชาธร บำรุงเมือง คือหนึ่งในทีมงาน RAP IS NOW แต่ในเบื้องลึกเขาเป็นอีกหนึ่งแรปเปอร์ที่กล้าพูดเรื่องการเมือง
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย HOCKHACKER เป็นนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ที่ผ่านประเด็นสังคมมาประมาณหนึ่ง ทั้งเรื่องรับน้องและข่าวสารชาวบ้านในพื้นที่ ประสบการณ์เหล่านั้นมีอิทธิพลต่อเพลงของเขาจนถึงทุกวันนี้ ยืนยันได้จากเพลง อุดมการณ์ และเพลงอื่นๆ ในอัลบั้ม CITIZEN Mixtape ซึ่งถ่ายทอดปัญหาของคนในสังคมที่มักถูกมองข้าม ผ่านไรม์ที่เต็มไปด้วยความคิดและความรู้สึก
“ผมเคยคิดอยากจะออกไปชุมนุมกับเขาเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้ออกไป มีแอบไปตามงานเล็กๆ บ้าง ไปฟังเสวนาบ้าง เพื่อดูบรรยากาศ แต่ผมคิดว่าตัวเองอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี สิ่งที่ผมทำได้ดีกว่าออกไปชุมนุมคือการทำสื่อ ผมไม่สามารถเคลื่อนไหวออกหน้าเป็นแกนนำหรือปราศรัยให้คนเดินตามได้ แต่ผมฟังเพลงแรป งั้นเขียนเพลงแรปก็แล้วกัน
“แรปเป็นเพลงพูด ถ้าเปรียบเทียบเป็นเพลงไทยก็คงเป็นเพลงฉ่อย โดยปกติเพลงพูดจะมีคำพูดหรือเนื้อเพลงมากกว่าเพลงประเภทอื่นๆ อย่างเพลงร็อก เพลงป๊อปก็มีรูปแบบของตัวเองซึ่งสามารถใส่เนื้อหาได้ประมาณหนึ่ง แต่ในเพลงแรป เวิร์สหนึ่งมีตั้ง 32 บาร์ เนื้อหามันมาเป็นหน้ากระดาษเลย มันเหมาะกับการพูดเนื้อหาอยู่แล้ว”
อุดมการณ์ คือเพลงแรปที่ให้กำลังใจนักกิจกรรมทางการเมืองในเหตุการณ์ชุมนุมครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2558 บทเพลงนี้คือจุดเริ่มต้นในการทำเพลงแรปของเขา รวมทั้งกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในการพูดถึงสังคมและการเมืองในเพลงของเขา
“จริงๆ ผมก็แต่งแรปไว้บ้าง พอเกิดเหตุการณ์จับกุมนักศึกษาหน้าหอศิลป์เลยรีบแต่งให้เสร็จ ตอนนั้นผมไม่รู้จักใครเลย ก็ลองทำแบบโง่ๆ เหมือนเด็กหัดทำ
“ผมไม่อยากได้ยินคนพูดว่า ‘อย่าไปยุ่งกับการเมืองเลย’ เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่กำหนดชีวิตและอนาคตของคน ในประเทศ ถ้าคนเกลียดการเมือง ไม่อยากยุ่งเรื่องการเมือง ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง การที่คนทั่วไปสนใจการเมืองและเข้าใจบริบทของการเมืองควรเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำให้เกิดขึ้น อย่างน้อยคนควรจะรู้สึกว่าตัวเองสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งหมดนี้ผมไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถูกจับได้ก็โดนปรับ ขำๆ ไป มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว มันคือความเป็นคน”
สิ่งที่เขาพูดชวนให้เรานึกถึงท่อนท้ายๆ ของเพลง อุดมการณ์ ที่ว่า
“เราก้าวเดินผ่านเวลาออกตามหาเส้นทาง
ถึงความฝันอาจจะดูเลือนราง
แต่ยังมีความหวังที่สวยงาม
เปิดใจแล้วชักชวนคนที่สวนทาง
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ต้องผจญ
สองขาก้าวอยู่ในทางที่มืดมน
อุดมการณ์ไม่เคยทอดทิ้งตัวตน
ลุกขึ้นมาเรายืนหยัดแล้วมั่นคง”