โจอี้ บอยเมื่อ 17 ปีที่แล้ว

Highlights

  • โจอี้ บอย ในวันที่เราสัมภาษณ์นั้นอายุเพียง 26 ปี และประสบความสำเร็จในวงการเพลงไปแล้วกับการเป็นแรปเปอร์แถวหน้าในวงการและผลงานเพลง 4 อัลบั้ม
  • เขาเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นที่หลงรักเพลงแรปและความสนุกในการทำเพลงในตอนนั้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้เขาอยู่กับมันมาได้อย่างมีความสุข
  • โจอี้ บอย ในวัยหนุ่มยังมีทัศนคติต่ออะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่นการยกย่อง Eminem, ฮิปฮอปคือการตีแผ่ตัวตน, เพลงที่ใช้เวลาแต่งสั้นที่สุดแต่ดังที่สุด และประสบการณ์กับเบเกอรี่มิวสิค

(โจอี้ บอย เคยขึ้นปก a day ฉบับที่ 9 เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ในช่วงที่เพลงแรปไทยกลับมาเบ่งบาน เราชวนอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในวัย 26 ปีอีกครั้ง)

คุณทักษิณไว้ผมทรงรากไทร คุณเสนาะใส่ Levi’s 501 คุณชวนตะโกนเชียร์บอลเสียงดัง เชาวรินธร์พูดอะไรที่เป็นเรื่องจริง (เสียที) ฯลฯ นั่นคงเป็นภาพที่เห็นได้ยากพอๆ กับที่คุณจะได้เห็นโจอี้ บอยร้องไห้

“ตื่นเช้ามาผมก็มีความสุขเลย ชีวิตผมไม่ค่อยมีเรื่องเศร้า” ชายหนุ่มวัย 26 ปีพูดพร้อมกับเหยียดยิ้มที่มุมปากซึ่งเป็นท่ายิ้มที่เขาชอบทำ “เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตผมน่ะเหรอ ..” เขาทวนคำถามแล้วนั่งนึกทบทวนอยู่นาน ซึ่งนั่นยิ่งย้ำคำสันนิษฐานก่อนหน้า ก่อนจะให้คำตอบพร้อมเสียงหัวเราะ

“คงโดนพ่อแม่ด่ามั้งครับ คือผมมีคติที่ปลอบใจผมอยู่ตลอดก็คือ ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับเราจะเลวร้ายยังไง พ่อแม่จะเป็นคนที่อยู่กับเราเสมอ เราสอบตก ทะเลาะกับเพื่อน แฟนทิ้ง เราสามารถกลับไปหาพ่อแม่ได้ตลอดเวลา ดังนั้นการตั้งตัวอยู่ตรงข้ามพ่อกับแม่นี่ไม่ใช่เรื่องฉลาด นั่นแหละความทุกข์สำหรับผม”

ไม่น่าเชื่อ! โจอี้ บอยยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเขาเป็นลูกแหง่

“ผมยังอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ในบ้าน คงเรียกว่าเป็นลูกแหง่ได้มั้ง” เขาบอก โปรดสังเกตว่าเขาเรียก ‘คุณพ่อ’ ‘คุณแม่’

“คุณแม่ผมใจดี ค่อนข้างจะตามใจลูก ส่วนคุณพ่อก็คอยดุให้เราอยู่ในกรอบบ้าง ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องดี เพราะมีคนหนึ่งตามใจแล้ว ก็น่าจะมีอีกคนที่ทำให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง

“ครอบครัวผมเป็นครอบครัวคนจีนที่เป็นเจเนอเรชั่นที่สองจากเมืองจีน คุณแม่ค่อนข้างที่จะอยากให้ลูกได้มีโอกาสเห็นอะไรมากๆ พยายามที่จะส่งผมไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ แต่ตอนนั้นครอบครัวเรายังไม่มีฐานะพอ บ้านผมไม่รวยครับ เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง ใจผมก็อยากไปต่างประเทศนะ อยากไปอเมริกา แต่พอมีปัญหาเรื่องการเงินก็เอาไว้ก่อนน่ะ ค่อยไปวันหลังก็ได้ จนกระทั่งผมได้มาเจอดนตรี”

เข้าเรื่องกันแล้ว, ดนตรีที่ว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากดนตรีฮิปฮอป

“มันเริ่มจากวันหนึ่ง เพื่อนผมชื่อทาโร่ เอาเทปรันดีเอ็มซีมาให้ฟัง ตอนนั้นอายุ 13-14 นั่นเป็นจุดแรกที่ผมได้รู้จักกับฮิปฮอป เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ฟังคาราบาว ฟังอัสนี-วสันต์ ฟังไมโครแล้วก็เพลงฝรั่งอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมก็ฟังฮิปฮอปอย่างหลงใหลมาก รู้สึกว่าเฮ้ย มันเจ๋งดีว่ะ ฟังมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าอยากจะฟังเพลงแรปภาษาไทยบ้างแล้วล่ะ”

ดูเหมือนว่าจุดเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเด็กชายอภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต (ชื่อจริงของโจอี้ บอย – มีใครรู้บ้าง?) จะเริ่มฉายแววให้เห็นรางๆ แล้ว ยิ่งประกอบกับนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือเข้าไปด้วย มันจึงยิ่งขับเน้นให้เขาต้อง ‘เลือก’ เร็วขึ้น

“ตอนเอนทรานซ์ ผมหนีไม่ไปสอบวิชาคณิตศาสตร์ นี่ผมไม่เคยบอกใครเลยนะ” เขาเล่าพลางยิ้ม “พอไปเข้าเอแบค ผมก็เริ่มรู้สึกมากขึ้นว่าชีวิตเราไม่น่าจะไปทางนี้ เรื่องเรียนผมรู้สึกว่าผมโง่มาก ผมกับทาโร่สองคนวันๆ ไม่ค่อยเข้าห้องเรียนหรอก โน่น กินก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเดียว (หัวเราะ) ปกติผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะอยู่ในกรอบมาตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ค่อยมีเรื่อง ไม่เคยเดินเข้าห้องอาจารย์ฝ่ายปกครองเลย แต่พอมาถึงจุดนั้นแล้วได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาเจอดนตรี ผมก็เริ่มรู้ว่าผมได้เจอสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน”

ก็อย่างที่บอกแต่แรกว่าโจอี้ บอยเป็นลูกแหง่ที่ค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจพ่อแม่ ดังนั้นการขอเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจึงเป็นเรื่องไม่เล็กสำหรับเขา

แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตัดสินใจ

“ก่อนหน้านี้ผมไปอยู่กับทาโร่ที่ฮ่องกง แม่เขาทำงานตลาดหุ้นอยู่ที่นั่น ไอ้โร่ทำงานเป็นดีเจด้วย มันก็แนะนำให้ผมรู้จักกับดีเจอะไรต่างๆ ซึ่งทำให้ผมได้ประสบการณ์ในเรื่องดนตรีเยอะมากเลย นั่นทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าทางนี้แหละที่ผมอยากไป พอกลับมาเมืองไทย ผมก็เดินเข้าไปบอกแม่ว่าขอดร็อปการเรียนได้มั้ย อยากเป็นนักร้อง

“เท่านั้นแหละ ความวุ่นวายก็บังเกิด”

เขารำลึกความหลังเมื่อ 8-9 ปีที่แล้วอย่างอารมณ์ดี เหมือนกับนั่งพลิกอัลบั้มภาพถ่ายส่วนตัวในวันเก่าดู แม้เวลานั้นดูเหมือนจะเคร่งเครียด วุ่นวาย สับสน แต่พอถึงวันนี้ ความหลังของใครก็คงเหมือนๆ กัน คือเป็นเรื่องที่รำลึกถึงเมื่อไรก็ยิ้มได้

“ก็ถูกคุณแม่ด่าเยอะเหมือนกันครับ คุณแม่บอกจะบ้ารึเปล่า! คือเขาไม่ค่อยรู้ว่าผมฟังเพลงอะไร แค่ไหน มีความสามารถจริงหรือ แต่สุดท้ายเขาก็ยอม”

เมื่อได้ไฟเขียวแล้ว โจอี้ บอยเล่าว่าเขาจึงเร่งเคี่ยวกรำตัวเองในเรื่องดนตรีและตระเวนเดินสายฟังเพลงในคลับต่างๆ โดยลำพังทุกค่ำคืน จนกระทั่งเรียกได้ว่า ‘เข้าไส้’ กับดนตรีฮิปฮอป เมื่อ ‘ของ’ มันอัดแน่นอยู่ในตัวมากพอแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยออกไปบ้าง โชคดีที่เขาได้พบกับสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ หัวเรือคนหนึ่งของเบเกอรี่มิวสิค และได้มีโอกาสเข้าไปร่วมร้องเพลง ‘ตาอินกับตานา’ ในอัลบั้ม ‘Z-MYX’  นั่นอาจเรียกว่าเป็นงาน ‘แจ้งเกิด’ ชื่อโจอี้ บอยอย่างไม่เป็นทางการได้

“ตอนนั้นผมเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ก็ได้ยินว่ากระแสมันดี มีคนชอบ เพื่อนๆ ก็เดินเข้ามาบอก เฮ้ย มึงร้องใช่มั้ยวะ น่าสนใจมาก” พอกำลังใจเริ่มมาแล้ว โจอี้ บอยก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทำเพลงกับเบเกอรี่มิวสิค ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้เป็นค่ายเพลง แต่เป็นเพียงมิวสิกโปรดักชั่นเฮาส์เล็กๆ

“ออดิชั่นครั้งแรกในชีวิตผมเกิดขึ้นที่หน้าร้านเปี๊ยกดีเจสยาม” แรปเปอร์หนุ่มเล่าเจือรอยยิ้ม “เอาเครื่องเสียงมาตั้ง เอาแผ่นมาเปิด แล้วก็ร้องมันตรงนั้นแหละ” ปรากฏว่า ‘ความห่าม’ ของนักร้องหน้าตี๋ถูกใจผู้บริหารเบเกอรี่มิวสิคจึงตัดสินใจเสี่ยงทำอัลบั้มให้

“โชคดีที่ก่อนอัลบั้มจะออก ผมได้งานใหญ่อยู่งานหนึ่ง คือไปเล่นเปิดวงให้วง East 17 วงจากอังกฤษที่ดังในสมัยก่อน เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิต คนดูสี่พันคนเต็มฮอล ผมแต่งเพลงขึ้นไปร้องสดๆ วันนั้นตื่นเต้นมาก แต่ก็เต็มที่นะ มาถึงขั้นนี้ หยุดไม่ได้แล้ว Nothing to lose จริงๆ”

จะด้วย ‘เหตุ’ อะไรก็ตามที ‘ผล’ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออัลบั้ม ‘JOEY BOY’ ขายได้ 200,00 ก็อปปี้!! เป็นความตกตะลึงที่เกิดขึ้นทั้งกับวงการ ต้นสังกัด และตัวนักร้องหน้าใหม่ที่ชื่อแปลกๆ อย่างเขา กลายเป็นที่รู้จักกว้างขวางในชั่วข้ามคืน ภาพแรปเปอร์หน้าจีนในเครื่องแต่งกายแบบฮิปฮอป กับทีมเต้นชาย 2 หญิง 1 และเพลงจังหวะคึกคักที่มีภาษาประหลาดอย่าง ‘เอโพด สะเรนาปัง โพดนาปัง สะเรนาโพด’ กลายเป็นแพ็คเกจที่ถูกใจวัยรุ่นไทยอย่างแรง

ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอะไรหยุดเขาอยู่แล้ว JOEY MAN (2538), FUN FUN FUN (2539), BANGKOK (2541), 2000 (2543) คืออัลบั้มของโจอี้ บอยที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง แฟนเพลงของโจอี้ บอยเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน และแม้ว่าดูเหมือนเขาจะเป็นผู้บุกเบิกวงการเพลงฮิปฮอป แต่นักร้องหนุ่มกลับไม่เต็มใจที่จะรับเครดิตนี้

“สมัยก่อนเพลง ‘มันแปลกดีนะ’ ของพี่เต๋อ นั่นแหละเพลงแรป ส่วนแรปเปอร์คนแรกของเมืองไทย ผมคิดว่าเป็นพี่ชัยวง TKO”

เถียงไม่ได้ว่าทุกวันนี้ ดนตรีฮิปฮอปและเพลงแรปกลายเป็นคัมภีร์ชีวิตของวัยรุ่นครึ่งค่อนโลกไปแล้ว ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเมืองนอกหรือเมืองไทย มันก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเพลงที่หยาบคาย “ผมว่าการแบ่งแนวดนตรีมันก็เหมือนกับคนเรา แต่ละคนชอบกินอะไรไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ดนตรีทุกประเภทมีคุณค่าและความสนุกในตัวของมัน คนที่ฟังดนตรีคลาสสิกได้สนุกก็เพราะเขามีจินตนาการเกี่ยวกับมันอยู่ในหัว ก็เหมือนกับเพลงฮิปฮอปซึ่งมีความสนุกในจังหวะและเนื้อหาที่โดนใจคนฟังกลุ่มหนึ่ง

“ความจริงฮิปฮอปมีอะไรหลายๆ อย่างในนั้นที่น่าค้นหา ฮิปฮอปคือดนตรีที่บอกล่าเรื่องราวง่ายๆ สำหรับคนที่ร้องเพลงไม่เป็น อย่างทางฝั่งอเมริกา เนื้อหาในเพลงก็จะเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างหดหู่ น่าเศร้า เพราะเขามีชีวิตลำบาก ดนตรีแรปสำหรับผมมันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนถ่ายทอดออกมา ถ้าเป็นตัวผมเอง ผมไม่ได้มีชีวิตที่หรูหรา แต่ว่าผมสนุกกับชีวิตได้ตลอด ชีวิตผมไม่ค่อยเศร้า ดังนั้นเพลงของผมจึงเน้นที่ความสนุก”

อัลบั้มล่าสุดของโจอี้ บอยและผองเพื่อนชื่อ “AA” เป็นอันเดอร์กราวนด์อัลบั้มที่ขายดีและฮิตเกินคาด ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิจารณ์ถึงภาษาไม่สุภาพในหลายๆ เพลง “AA จริงๆ เป็นการทำเล่นๆ กับเพื่อนๆ ผมในกลุ่มที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก โตมากับเพลงฮิปฮอปด้วยกัน ทุกปีเราจะมี AA crew Party เป็นฮิปฮอปปาร์ตี้ย้ายไปจัดที่โน่นที่นี่สนุกๆ จนมาปี 2543 เป็นปีที่สิบของเอเอครูว์ ช่วงนั้นผมกับขัน (ขันเงิน เนื้อนวล) ก็วางแผนลงมือว่าอยากจะทำเพลงมาเพื่อร้องในปาร์ตี้นี้ เพราะพวกเรานี่ก็เป็นนักร้องกันเกือบจะครึ่งครูว์อยู่แล้ว ก็ปรากฏว่าพอมาจัดในปีนี้ คนสนใจเยอะ แล้วเป็นปีแรกที่เรามีเพอร์ฟอร์แมนซ์ ทุกคนอยู่บนเวทีลุยกัน มันก็เกิดพลังที่ผมว่า โอ้โห! แรงมาก ผมว่าตั้งแต่เล่นมา นี่เป็นคอนเสิร์ตที่ผมรู้สึกมันที่สุดในชีวิต ทีแรกเราทำเพลงมาว่าจะแจกหน้างาน แต่มีคนสนใจเยอะก็เลยคิดว่าลองปั๊มออกมาจำหน่ายจ่ายแจกก็แล้วกัน” แรปเปอร์หนุ่มเล่ายาว

“ส่วนเรื่องคำหยาบ คือจริงๆ แล้วผมจะทำฟังกันเองและสำหรับคนที่รู้จักเราและอยากฟังเราน่ะครับ แต่สำหรับคนที่ฟังแล้วรู้สึกว่ากระดากหู ก็ง่ายมาก ไม่ต้องไปฟัง คือถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดันทุรังน่ะ” เชื่อเถอะว่าโจอี้ บอยพูดประโยคนี้ด้วยเสียงนุ่มนวล ไม่มีวี่แววก้าวร้าวเลย ซึ่งนั่นเป็นลักษณะเฉพาะของเขา

“การเขียนเพลงมันเป็นเรื่องของอารมณ์ขณะนั้นน่ะครับ เหมือนกับเราดูหนัง สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่อย่างไร เราก็เขียนออกมาอย่างนั้น นี่คือวิธีการทำงานของผม เพราะฉะนั้นการที่เพลงออกมามีคำหยาบ ผมคิดว่ามันมาตามเนื้อเพลงและอารมณ์ของเพลง ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ตั้งใจให้มันหยาบ เรื่องนี้ผมไม่คิดว่ามีอะไรซีเรียส เพราะจริงๆ พูดกับเพื่อนมากกว่านี้เยอะ”

ดนตรี เพื่อน และการเดินทางคือ 3 สิ่งที่โจอี้ บอยจัดว่าเป็นสิ่งโปรดปรานในชีวิตของเขา มีโอกาสเมื่อไหร่ เขามักบินไปเมืองนอก และเมืองหนึ่งที่ในระยะหลังเขามาเยือนบ่อยครั้งก็คือนิวยอร์ก “แต่ผมไม่ได้ไปสบาย นอนโรงแรม เดินเล่นในดิสนีย์แลนด์หรอกนะครับ” เขาออกตัว “ผมไปอยู่กับขันในย่านชุมชนแออัด ขันทำงานอยู่ในสตูดิโอในย่านที่เชื่อมต่อระหว่างควีนกับบรูกลินซึ่งอันตรายมาก จาไมก้าอะเวนิวเป็นต้นกำเนิดฮิปฮอป เพื่อนบ้านก็จะเป็นผิวดำ เป็นอเมริกาใต้ สแปนิช เราไปอยู่ตรงนั้นอย่างลำบากยากเย็น เป็นการดัดสันดาน จะได้ไม่รู้สึกติดกับความสบายเกินไป ถือว่าเป็นกำไรชีวิตมากครับ แล้วผมก็จะได้เจอนักร้องเดินไปเดินมา บางทีก็เดินเข้ามาในสตูดิโอ มาขอฟังเพลงหน่อย ได้ข่าวว่ากำลังทำเพลงอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตแบบนี้ ตื่นเช้ามาก็ไปนั่งสตูดิโอนู้น สตูดิโอนี้ แล้วก็เที่ยวลองของไปทั่วนิวยอร์ก เข้าไปในคลับก็ไปขอเขาร้องเพลง เขากำลังแรปอยู่ก็ขอขึ้นด้วยคน เสน่ห์อย่างหนึ่งของเพลงแรปคือมันจะสดน่ะ เปิดกลองมาก็ร้องใส่กันเลย ด่ากันไป อำกันมา เป็นแบตเทิลแบบสนุกๆ สองไมค์โต้กันอยู่บนเวที เหมือนกับลำตัดอย่างนั้นเลย” เขาเล่าน่าสนุก แถมประสบการณ์ระหกระเหินร่วมกับเพื่อนๆ อีกหลายเรื่อง หลากฉากและสถานที่

เราแลกเรื่องคุยกับอีกหลายเรื่อง คลอไปกับฮิปฮอปกลิ่นแขกของอินเดียที่เขาเอามาเปิดให้ฟังและต่อไปนี้คือการตัดต่อแบบรวบรัดเฉพาะคำตอบของเขา

“เชื่อมั้ย ถ้าเดินเข้าไปในรถผมขอฟังดนตรีฮิปฮอปจะไม่ค่อยมี เพราะว่าพอเราเห็นตัวเองจากคนฟังมาเป็นคนเขียนแล้วนี่ เราก็ต้องพยายามค้นหาตัวเอง ผมฟังเพลงได้ทุกแนวเลย ลูกทุ่ง หมอลำ ฟลามิงโก บอสซาโนวา ผมฟังทุกอย่างเพื่อเก็บเมโลดี้ในโลกนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง”

“ชื่อ ‘โจอี้ บอย’ เริ่มจากตอนที่ผมอยากแต่งงานกับแฟนคนแรก เมื่ออายุ 16-17 ถ้ามีลูกจะตั้งชื่อว่าโจอี้ บอย หมายถึงลูกของโจอี้ นั่นเป็นที่มา จนแล้วจนรอดออกอัลบั้มแล้ว ไม่รู้จะเอาชื่อไหนก็เอาชื่อลูกผมนี่แหละ จำได้แม่นดี (หัวเราะ)”

“ถ้าให้เลือกน่ะเหรอ … คงอยากลองเป็นริคกี้ มาร์ตินมั้งครับ ผมไม่เคยมีประสบการณ์สาวกรี๊ดขนาดนั้น คงสนุกดีถ้าเดินไปแล้วผู้หญิงกรี๊ดกร๊าด แฟนเพลงผมจะเป็นผู้ชายเสียส่วนมาก เจอกันจะเฮ้ย ไอ้โจอี้  ไม่มีหรอกมากรี๊ด”

“กากี่นั้งคือเพลงที่ใช้เวลาเร็วที่สุดในการแต่ง 10 นาที แล้วเป็นเพลงที่ดังที่สุดในชีวิต เพลงยิ่งใช้เวลาแต่งนานยิ่งไม่สนุก อันนี้คือศาสตร์ของผมเลย”

“โชคดีที่สมัยเด็ก ผมตั้งใจเรียนภาษาไทย กลอน กาพย์นี่ผมเซียนมาก ผมชอบอ่านสุนทรภู่ ชอบอ่านวรรณคดีซึ่งผมเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้แต่งเพลงได้”

“คำชมที่ดีที่สุดที่เคยได้รับ มาจากอาจารย์แม่ครับ อาจารย์แม่บอกว่ารู้มั้ย เธอเป็นคนที่ใช้ภาษาไทยได้ ‘ยิ่งยวด’ มาก”

“ความทรงจำที่ผมมีต่อเบเกอรี่ดีมาก ผมรักเบเกอรี่ ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยที่ทดแทนทุกสิ่งที่ผมขาดไปในวันนั้น ช่วงเวลาที่ทำงานกับเบเกอรี่เป็นช่วงที่สนุกที่สุดแล้ว”

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็ต้องเผชิญทั้งความสุขและความทุกข์แหละครับ การมีหรือไม่มีสังกัดก็เหมือนกัน เพียงแต่ช่วงนี้ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้เป็นอิสระ”

“เชื่อมั้ย ผมยังเกลียดเสียงร้องผมเองเลย (หัวเราะ) พูดจริงๆ ยิ่งเพลงซึ้งๆ อยู่บนเวที ผมไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงให้มันเข้ากับเพลง”

“ดาจิมเป็นรุ่นน้องที่ผมชอบในความมุ่งมั่นจริงๆ แล้ววงการนี้คนมันน้อย ก็อยากจะดันๆ กัน แล้วเขาทำงานออกมาได้น่าประทับใจ เขาสามารถจะค้นหาทางของเขาได้ นี่คือสิ่งที่ผมชอบ”

“Eminem มันเก๋าจริงนะ ไม่งั้นไม่มีทางมาได้ขนาดนี้ เขาชนะแรปโอลิมปิกมา เพราะฉะนั้นไม่มีใครพูดได้ว่าคนขาวมาร้องทำไมเพลงแรป ผมว่าเขาฉลาดแล้วก็เก่งมาก เขียนเพลงได้เยี่ยมมาก ยิ่งได้โปรดิวเซอร์อย่าง Dr. Dre มาทำให้ ความสำเร็จต่างๆ ที่ได้มาตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

“อายุ 40 ผมวางแผนไว้แล้วว่าผมจะมียูนิฟอร์มเป็นของตัวเอง ผมจะมีสูทที่แบบว่าต้องใส่ทุกวัน ถ้าคุณเจอผม คุณจะเห็นผมอยู่ในสูทชุดนี้ทุกวันจนตายไป”

“ผมตั้งเป้าเล็กๆ ไว้เหมือนกัน เป็นโกลเล็กๆ ไม่ได้อยากโกอินเตอร์ แต่ผมอยากจะร่วมงานกับ Wyclef Jean ผมชอบมากเลย เขาเป็นคนที่ทำดนตรีแล้วผมรู้สึกว่านี่แหละ คิดใกล้ๆ กันกับผม เพียงแต่เขาฝีมือเก่งกว่าผมเท่านั้นเอง ไวเคลฟเป็นมือกีตาร์มาก่อน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาได้เปรียบ เขาพยายามทำฮิปฮอปให้มีความสนุก มีท่วงทำนองที่แหวกและแตกต่างออกไป มีการนำเอาพื้นเพเฮเตี้ยนของเขามาผสม ผมฟังแล้วรู้สึกได้ว่าเรามีวิถีทางคล้ายๆ กัน ไวเคล็ฟถือว่าเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งของผม”

“ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่ค่อยได้สัมผัสกับดนตรีเท่าไหร่ จนปัจจุบันยังรู้สึกสงสัยตัวเองว่าทำไมเรามาได้ลึก มาได้ไกล มารู้อะไรเยอะแยะถึงขนาดนี้ นึกๆ ดูการที่ได้มาทำเพลง เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนที่ไม่รักเรียนหนังสืออย่างผม พูดง่ายๆ ว่าไม่ค่อยมีอนาคตแล้ว แต่ผมรู้ตัวเองเสมอว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่รอผมอยู่ ที่ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียน นั่นก็คือดนตรี ดนตรีคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ของผม มันเป็นทั้งงาน เป็นทั้งการพักผ่อน และเป็นที่รวมของเพื่อนฝูง สำหรับผมแล้ว ดนตรีเป็นสิ่งสนุก!”

ฯลฯ

เรื่อง  เฟียน กำปั่นทอง
ภาพ  นิติพัฒน์ สุขสวย