​จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโลกใบนี้ไม่มีผึ้ง?

ผึ้งเป็นแมลงที่ดูห่างไกลจากตัวเรา ไม่เหมือนสัตว์อื่นๆ อย่างสุนัขหรือแมวที่เราเลี้ยงไว้

ถ้าโลกใบนี้ไม่มีผึ้ง? อย่างแย่ที่สุด มนุษย์เราก็คงไม่มีน้ำผึ้งไว้กิน แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะหากโลกในตอนนี้ไม่มีผึ้ง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเรียกว่าหายนะได้!

พืชดอกบนโลกเรามีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ปล่อยละอองเกสรให้ปลิวไปตามสายลมเพื่อรอการไปตกลงบนเกสรตัวเมีย ดอกไม้เหล่านี้มักมีรูปร่างและสีสันที่ไม่โดดเด่น รวมทั้งมักจะไม่มีน้ำหวานเพื่อล่อสัตว์มาช่วยผสมเกสร แต่จะใช้กลยุทธการสร้างละอองเกสรปริมาณมากๆ แทน

พืชดอกส่วนมากจะใช้การสร้างกลีบดอกไม้ที่สวยงามฉูดฉาดเพื่อเชิญชวนสัตว์ที่จะช่วยผสมเกสร (Pollinator) ให้เดินทางมาใกล้ และมักจะมีน้ำหวานตอบแทนการช่วยผสมเกสร

แน่นอนว่าพืชแต่ละชนิดมีสัตว์ผู้ให้บริการขาประจำที่แตกต่างกันไป

– นกที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้อย่างนกฮัมมิงเบิร์ด ส่วนมากจะมองเห็นได้ดีตอนกลางวัน แต่นกพวกนี้มักดมกลิ่นได้ไม่ดีนัก พืชที่มีความสัมพันธ์กับนกเหล่านี้มักจะมีสีแดงสดและไม่มีกลิ่น

– ดอกไม้ที่ล่อสัตว์กลางคืนอย่างพวกค้างคาวมักผลิตกลิ่นอย่างผลไม้หรือกลิ่นค่อนข้างฉุน นอกจากนี้ยังมีสีซีดขาวที่จะเห็นได้ชัดเจนเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์

ส่วนผึ้งนั้นชอบไต่ตอมดอกไม้กลิ่นหอมหวานที่มีสีเหลือง สีน้ำเงิน หรือสีม่วง ดอกไม้บางชนิดสร้างเม็ดสีที่สะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตเพื่อล่อให้ผึ้งบินมาหาน้ำหวาน แต่ดวงตาของมนุษย์เราจะเห็นเป็นดอกไม้สีสันธรรมดาเพราะภายในดวงตาของเราไม่มีตัวรับแสงอัลตราไวโอเลตอย่างผึ้ง

ความสัมพันธ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยนี้เป็นวิวัฒนาการร่วมกันของพืชดอกและสัตว์ช่วยผสมเกสรที่เกิดขึ้นมานานนับล้านปีแล้ว แต่ในปัจจุบัน สัตว์ช่วยผสมเกสรเหล่านี้มีชะตากรรมไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่ถูกเมืองคุกคามและเริ่มลดจำนวนลงไปทั่วโลก

นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า 3 ใน 4 ของพืชผลทางการเกษตรได้รับการผสมเกสรโดยสัตว์ช่วยผสมเกสร ซึ่งโดยมากเป็นแมลงจำพวกผึ้ง ผีเสื้อ และด้วง โดยผึ้งเป็นแมลงที่มีบทบาทต่อการผสมเกสรให้กับพืชการเกษตรของสหรัฐอเมริกามากที่สุด การลดจำนวนของผึ้งเป็นผลมาจากโรคของผึ้ง สารกำจัดศัตรูพืช และการลดลงของพื้นที่ป่าตามธรรมชาติ

ลองจินตนาการถึงโลกที่ไร้ช็อกโลกแลต ไร้โกโก้ ไร้บราวนี่สิ ว่าจะเป็นอย่างไร

ช็อกโกแลตที่เรากินมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ (Theobroma cacao) ซึ่งขึ้นตามป่าฝนเขตร้อน มันสามารถเติบโตได้ดีแม้พื้นที่ป่าจะถูกถางให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตร แต่ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ต้นโกโก้เหล่านั้นไม่ติดเมล็ด!

นักวิทยาศาสตร์พบว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะต้นโกโก้มีสัตว์ช่วยผสมเกสรเป็นแมลงวันจิ๋วที่ชื่อว่า Midge ซึ่งมีขนาดเล็กราวๆ ปลายเข็ม แมลงวันจิ๋วชนิดนี้อาศัยอยู่และออกลูกออกหลานในป่าฝนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมเท่านั้น

เมื่อไม่มีป่า ก็ไม่มีแมลงวันจิ๋ว และไม่มีเมล็ดโกโก้

เกษตรกรจำนวนหนึ่งจึงต้องไปปลูกต้นโกโก้ในร่มเงาของป่าเพื่อให้เจ้าแมลงวันจิ๋วมาช่วยผสมเกสรได้

สถานการณ์ในขณะนี้คือสายพันธุ์ของพืชดอกเกินกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถติดเมล็ดได้เนื่องจากไม่มีตัวช่วยผสมเกสร ในประเทศสหรัฐอเมริกามีพืชดอกเกือบ 600 ชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และมี 140 ชนิดที่เริ่มน่ากังวล

ผลของการสูญพันธุ์ของพืชนิดหนึ่งจะกระทบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปทั่ว

ผีเสื้อ นกฮัมมิงเบิร์ด และค้างคาวบางชนิด บินอพยพตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล หากแหล่งอาหารของมันถูกทำลายลงสักแห่ง มันย่อมสูญพันธุ์ไปได้ไม่ยาก

หากโลกใบนี้ไม่มีผึ้งจะเกิดอะไรขึ้น? อาจต้องลองจินตนาการว่าหากโลกใบนี้ไม่มีพืชผักจะเกิดอะไรขึ้นไปพร้อมๆกัน

การอนุรักษ์เหล่าสัตว์ผสมเกสรนี้เป็นเรื่องยาก แต่การตระหนักถึงปัญหานี้น่าจะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำเราไปสู่การรักษาพวกมันไว้ได้ในที่สุด

AUTHOR