คืนก่อนหน้า เราแอบไปดูโชว์ของ Sqweez Animal หนึ่งในวงดนตรีที่เราเติบโตมาด้วย
“ขอบคุณทุกคนที่ยังคิดถึงน้องชายของเรา
ขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ลืมเขานะครับ
คิดถึงนะสิงห์”
วิน ศิริวงศ์ พูดหลังจากที่เขาร้องเพลง ย้ำ จบในโชว์วันนั้น ย้ำ คือบทเพลงที่สิงห์-ประชาธิป มุสิกพงศ์ น้องชายผู้ล่วงลับของเขาร้องเพลงนี้เอาไว้ นับย้อนไปสามปีก่อน งาน Singha S-treet คือเวทีสุดท้ายที่บทเพลงนี้ถูกร้องด้วยเสียงของสิงห์ และเป็นงานสุดท้ายที่วินได้ร่วมเล่นดนตรีกับเพื่อนร่วมวงที่เขารักคนนี้
หนึ่งพันกว่าวันจากเหตุการณ์นั้น วงดนตรีที่ชื่อว่า สควีซ แอนนิมอล อาจห่างหายจากโลกของเสียงเพลง เป็นเรื่องยากที่เราจะจินตนาการถึงความรู้สึกของสมาชิกคนเดียวที่เหลืออยู่ของวงว่าเป็นเช่นไร และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ วินเองก็ก้าวเข้าสู่โลกแสนท้าทายใบใหม่ รับหน้าที่ผู้บริหารให้กับริษัท Flowco ธุรกิจของที่บ้านอย่างเต็มตัว สิ่งที่พอจะทำให้เขาวางเรื่องเศร้าเรื่องนั้นลงได้บ้าง
เกือบหนึ่งเดือนมาแล้วที่ ขอบคุณทุกช่วงเวลา ซิงเกิลล่าสุดจากสควีซ แอนนิมอลถูกปล่อยออกมา อาจเป็นสิ่งยืนยันกับแฟนๆ ของวินและสิงห์ว่า วงดนตรีวงนี้พร้อมที่จะเดินทางต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงแล้ว และลึกๆ มันยังย้ำกับเราด้วยว่า ดนตรี คือสิ่งที่วินไม่เคยคิดจะทิ้งไปไหน ไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
วินในเสื้อเชิ้ตสีเบอร์กันดีนั่งยิ้มให้เราอยู่ตรงหน้า เราเชื่ออย่างลึกๆ ว่านั่นคือรอยยิ้มของชายหนุ่มที่มีความสุขอยู่กับวันวานที่ผ่านมา ไม่ว่าเรื่องดีและเรื่องร้าย เขาคงเลือกที่จะกล่าวขอบคุณวันเวลาเหล่านั้นด้วยแววตาที่จริงใจ
อยากให้คุณได้มาเห็นรอยยิ้มของเขาเสียจริง
จากการสูญเสียเมื่อ 3 ปีก่อน และตอนนี้ดูเหมือนคุณได้เข้าสู่โลกธุรกิจที่บ้านอย่างเต็มตัวแล้ว ทำไมยังกอดดนตรีไว้แน่นมาก
จริงๆ มันกลับทางกันครับ ผมมีดนตรีเป็นสิ่งเดียวด้วยซ้ำที่เป็นของผมเอง เราไม่ได้มองว่ากิจการที่บ้านมันเป็นของเราจริงๆ ไม่ได้วางแผนชีวิตเพื่อที่จะทำงานที่นี่แต่แรก ตอนไปเรียนที่บ้านเรายังไงก็ได้ สบายๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องกลับมาเป็น MD ที่นี่ ไม่อย่างงั้นเราคงตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ (หัวเราะ)
พอเรียนจบปุ๊บ ความฝันอย่างเดียวเลยคือทำเพลง สิงห์กับผมก็แชร์เป้าหมายเดียวกัน อยากทำอัลบั้มและไปให้มันสุดทาง ประสบความสำเร็จได้ก็ดี ช่วงที่เราพยายามเคาะประตูค่ายเพลง ที่บ้านคงเห็นว่าผมทำอะไรยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เขาก็บอกให้ผมมาช่วยดูตรงนั้นตรงนี้ อย่างงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษติดต่อกับเมืองนอกก็ให้วินทำ มีอะไรให้ทำก็ทำ
ผมรักครอบครัว อะไรที่เป็นความสุขของเขาผมทำให้ได้หมด เขาก็พยายามทำให้ผมเข้าใจว่าธุรกิจของเราคืออะไร เหมือนโรงเรียนที่ต้องเข้ามาเพื่อเรียนรู้เรื่องงาน มุมหนึ่งมันคือหน้าที่ของคนเป็นลูก ผมเป็นลูกชายคนเดียวของที่บ้าน ผมทิ้งมันไม่ได้แน่ๆ เอาขาข้างหนึ่งแตะกิจการที่บ้านตลอด ส่วนขาอีกข้างก็แตะดนตรีไว้ แต่น้ำหนักอาจจะถ่ายไปที่ดนตรีมากกว่า (หัวเราะ) ชุดแรกมาไม่ได้ดังอะไร ชุดสองก็ดีขึ้นเหมือนพิสูจน์กับที่บ้านว่าเราทำตรงนี้ได้ แต่ตลอดทางที่ผ่านมาผมไม่เคยทิ้งงานที่บ้านเลย
แต่ก่อนผมไม่ได้ดูแลทั้งบริษัทเหมือนตอนนี้ พอหลังจากที่สิงห์จากไปนั่นแหละ มันเหมือนเป็นตัวจุดประกายว่าเราต้องดึงตัวเองออกมาจากเพลงบ้าง เวลาที่อยู่กับตรงนั้นเยอะ มันทำให้ผมคิดถึง ทุกอย่างมันปั่นป่วนอยู่ ไม่ได้อยู่ในมู้ดที่จะเดินต่อในทางนั้นได้ การที่เลือกทำงานกับที่บ้านเต็มตัวก็น่าจะดีหลายอย่าง คือตัวผมเองก็ได้เรียนรู้งานมากขึ้น ที่บ้านก็น่าจะชอบ และได้หยุดคิดถึงเรื่องเศร้าเรื่องนั้นสักพักหนึ่ง
เล่าให้ฟังได้ไหมว่าบริษัท Flowco ทำอะไรบ้าง
โฟลว์โก้เป็นเหมือนผู้ดูแลปั๊มน้ำมันอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร เราจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในปั๊มอย่างตู้จ่ายน้ำมันที่เราเห็น หรืออุปกรณ์ที่อยู่ใต้ดินอย่างท่อ หรือถังน้ำมัน มีบริการติดตั้ง ดูแลหลังการขาย รวมทั้งระบบแคชเชียร์และระบบบัญชีที่ปั๊มต้องใช้ในการขายน้ำมัน โฟลว์โก้มีช่างที่คอยวิ่งอยู่ทั่วประเทศเกือบ 200 คน ประจำตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั้งหลายคอยให้บริการ เวลาเจ้าของปั๊มมีปัญหาอะไรก็โทรมาหาที่คอลเซนเตอร์ เราก็ส่งช่างเข้าไปดู งานก็จะเป็นลักษณะนี้ครับ
ฟังดูยิ่งใหญ่มาก ในฐานะที่เป็นผู้บริหารอายุน้อย เคยรู้สึกไม่มั่นใจตัวเองบ้างไหม
จริงๆ ก็ตลอดเวลา แต่คนที่นี่เขาช่วยผมมากเลยครับ แม้ว่าคนที่อยู่อันเดอร์เขาจะอายุมากกว่าแต่เขาให้ความเคารพผม อย่างน้อยเขาก็ยินดีรับฟังสิ่งที่ผมพูด ถ้าไม่เห็นด้วยเขาจะบอกมาเลย เราอยู่กันเป็นครอบครัวพอสมควร ถ้าคนที่อยู่อันเดอร์ผมแล้วเขามาทดสอบลองภูมิกันตลอด ผมก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมกับที่นี่
ด้วยความที่ผมจริงใจด้วยแหละ ถ้าไม่รู้ผมจะบอกเลยว่าไม่รู้ แล้วผมต้องคิดยังไงผมก็จะถามเขาตรงๆ ถ้าสมมติผมเป็นลูกน้องสักคน เวลาที่เจ้านายขอความช่วยเหลือจากผมเนี่ย ผมคงรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ถ้าหากเจ้านายไม่ขอความช่วยเหลือเลย ผมคงมีคำถามว่าตัวเองจะมีที่ยืนตรงนี้ทำไม นึกออกใช่ไหมครับ
เจ้านายแต่ละคนคงมีทั้งข้อดีและไม่ดีของตัวเอง ลูกน้องจะเชื่อหรือไม่เชื่อในตัวผม อันนี้ผมตอบแทนเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยการที่ทำงานตรงนี้ ผมอยากสร้างบรรยากาศที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากทำงาน ผมไม่ได้ต้องการให้เขามาเชื่อมั่นอะไร ไม่ได้อยากดึงตัวเองให้เป็นฮีโร่ของที่นี่
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสได้คุยกับคนทำงานในบริษัทดูแลปั๊มน้ำมัน
ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะมาทำปั๊มน้ำมัน (หัวเราะ) ตอนเล่นดนตรี ผมมองพ่อตัวเอง เขาคล่องมาก เขาเป็นทั้งนักบัญชี เป็นทั้งนักบริหาร แล้วก็เจรจาธุรกิจกับนักธุรกิจต่างประเทศ เจรจากับราชการ โฟลว์โก้เป็นบริษัทเอนจิเนียร์ริ่งที่ไปหลายแขนงมากๆ มันดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในสายตาของลูกชายคนหนึ่ง แล้วเราต้องมาอยู่บนสุดของเรื่องพวกนี้ บัญชีก็ไม่เก่ง วิศวะคืนครูไปก็เยอะ แต่อาศัยว่าเราคงต้องมีทักษะในการบริหารคนมากหน่อย
จริงๆ แล้วดนตรีมันก็ช่วยปั้นผมให้อยู่รูปที่มันพอดีกับสิ่งนี้ คือมันทำให้เราได้ฝึกฝนการสื่อสารกับคนและการเป็นผู้นำ พอมาเจอคนในที่ทำงาน ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับการที่จะสื่อสารหรืออธิบายความต้องการของตัวเองให้คนอื่นทราบ อาจจะขอร้องให้คนทำอะไรในเชิงที่นุ่มนวลได้หน่อย การทำให้คนชอบมันสำคัญกับธุรกิจเหมือนกัน ผมอยากดูแลลูกค้าทุกคนให้ดี ทำให้เขามีความสุขเวลาที่ร่วมงานกับเรา
บาลานซ์เวลาที่ต้องเข้าออฟฟิศกับเวลาที่ออกไปเล่นดนตรียังไง
ถ้าเรื่องการจัดการเวลา หลักๆ ก็คงเป็นงานที่โฟลว์โก้ครับ บางปัญหามันเร่งด่วนเลยต้องมีคนเซ็นเอกสารเพื่ออนุมัติอะไรพวกนี้ ส่วนเรื่องดนตรี เราสามารถวางแผนให้มันได้ว่าเดือนนี้เราจะมีลิมิตเล่นแค่นี้นะ เราจะไม่รับงานวันจันทร์เพราะเรามีประชุมที่สำคัญ ถ้าเราวางกรอบให้มันถูก มันก็พอจะเดินคู่กันไปได้
คุณได้นอนอย่างเพียงพอใช่ไหม
ปกติเป็นคนนอนยากอยู่แล้ว เรื่องการนอนเนี่ยเป็นปัญหามาก (หัวเราะ) พอเราต้องทำงานที่บริษัทตอนกลางวัน ตอนกลางคืนเล่นดนตรีเราก็เลยต้องเข้านอนตอนดึกๆ เวลานอนมันลิมิตมาก สมมติมี 7 ชั่วโมง หัวถึงหมอนปุ๊บ ถ้าไม่หลับมันก็ไม่ใช่ 7 ชั่วโมงแล้วใช่ไหมครับ มันกลายเป็น 5 ชั่วโมงบ้าง 4 ชั่วโมงบ้าง สุขภาพพังเหมือนกันนะ เมื่อก่อนวันไหนไม่มีงานตอนเช้าเรายังนอนลากไปถึงเที่ยงได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว นาฬิกาชีวิตมันบอกให้เราต้องเด้งตัวขึ้นมาอย่างสายที่สุดคือ 8 โมง นอนดึกแค่ไหนก็ต้องตื่นเช้าอยู่ดี
ถ้าเราเป็นคุณ เราคงคิดว่า ‘เลิกเล่นดนตรีไปเลยน่าจะง่ายกว่า’ คุณไม่เคยคิดแบบนี้เลยเหรอ
ผมไม่รู้ว่าถ้าผมพูดแบบนี้แล้วมันจะเหมาะหรือเปล่า แต่ผมพูดได้ว่าสิงห์ไม่ได้เป็นทุกอย่างของผมในเรื่องดนตรี ผมชอบมันก่อนที่ผมจะมาเจอกับสิงห์อีก ถ้าสิงห์จากไปแล้วผมหยุดมันเลยเนี่ย มันแปลว่าถ้าผมไม่มีสิงห์ผมหายใจไม่ออก มันไม่ใช่แบบนั้นครับ เพราะก่อนเจอสิงห์ผมก็ทำงานคนเดียวตลอด ตอนนั้นสิงห์เขาอายุน้อยอยู่เลย ไม่ได้เป็นสิงห์คนเก่งคนนี้ เราสองคนก็เริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ มาด้วยกัน ย้อนไปตอนที่วิ่งเต้นหาค่าย พี่สุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์ ผู้ก่อตั้งค่ายเบเกอรี่) ถามว่าผมอยากเป็นวงหรือศิลปินเดี่ยว ผมถามสิงห์ เขาบอกว่า ‘ยังไงก็ได้พี่ ผมแค่อยากทำให้เพลงของพี่มันดีขึ้นแค่นั้น’ ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นนักร้องที่สามารถยืนอยู่คนเดียวได้ การมีเขามันอุ่นใจมาก เหมือนอยู่รวมกันแล้วเราอยู่ว่ะ (หัวเราะ)
ผมไม่ได้มั่นใจว่าผมคือนักดนตรีที่มีของ ไม่ได้คิดว่าตัวเองร้องเพลงเพราะกว่าใคร หรือเขียนเพลงออกมาได้ดี ผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ลองผิดลองถูก ผมไม่รู้เลยว่าดนตรีที่เราทำมันจะเป็นที่ยอมรับรึเปล่า สิงห์เองก็ไม่ได้มั่นใจเหมือนกัน แต่เราสองคนรู้ว่าเราชอบดนตรีแบบไหน และเราอยากได้ยินอะไรในเพลงของเรา
ผมก็แค่พาตัวเองย้อนเวลากลับไปในช่วงก่อนที่จะเจอสิงห์ มันเหมือนผมต้องสเตปถอยหลังมาก้าวใหญ่นับสิบปี ทุกวันนี้ผมยังมีความรักความชอบในตรงนี้อยู่ แค่การเดินไปข้างหน้ามันยากขึ้นแค่นั้นเอง
ณ วินาทีนี้ คุณเลือกที่จะทำเพลงไปเพื่ออะไร
เพื่อตัวเอง (หัวเราะ) มันเป็นสิ่งที่เราชอบและเราเองก็ทำได้ ไม่ได้ยากเกินที่จะทำต่อ ตอนนี้เราเดินทางมาเป็นสิบปีแล้ว มีแฟนเพลงที่ติดตาม มีคนที่รอคอยงานผม อีกหนึ่งคำตอบคือการทำเพื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เขาอยากจะฟังเพลงของเราต่อไป พอผมขลุกตัวกับกิจการที่บ้านเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ได้รู้ว่าชีวิตเกินครึ่งผมให้ไปกับดนตรี ถ้าตรงนั้นมันหายไป ผมคงจะไม่มีความสุขกับชีวิตเท่าไหร่ มันคงเฉาๆ อ่ะครับ
ผมมีความสุขในทุกๆ ขั้นตอนของมันตั้งแต่การคิดเขียนเพลง แจมกับเพื่อนๆ ในห้องอัด ปล่อยเพลงออกมา เล่นคอนเสิร์ตบนเวที การเจอแฟนเพลง ร่วมงานกับคนนั้นคนนี้ มันไม่มีตรงไหนที่เราไม่ชอบเลย
ในเวลาเดียวกัน ดนตรีมันก็ส่งเสริมกับงานที่ผมทำอยู่ การที่ผมเป็นที่รู้จักของคนมันก็ช่วยใครลูกค้ามั่นใจได้ว่าเขาทำการค้ากับใคร นายวินไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนเลย ซื้อของจากนายวินแล้วนายวินไม่ปิดร้านหนีแน่ๆ ยังไงเขาก็ยังอยู่ตรงนี้
จากสิบปีก่อนที่มีเพียง ‘วินกับสิงห์’ วันนี้ความรู้สึกในการทำงานเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ช่วงแรกๆ ที่ผมเป๋อยู่ สควีซแอนนิมอลกลายเป็นโปรเจกต์ที่ผมไม่อยากแตะมันมาก แต่มีน้องคนหนึ่งใน SQ Crew ชื่ออายุ (อายุ จารุบูรณะ) คอยถามตลอดว่า ‘พี่วินทำเพลงไหมครับ’ ‘ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ’ บางทีก็ช่วยค้นไฟล์ในแล็ปท็อปของสิงห์มาให้ เหมือนเขามีความอยากทำงานตลอดเวลาและขยันมาก ขนาดอายุไม่ใช่เจ้าของโปรเจกต์ ยังกระตือรือร้นขนาดนี้ ผมก็เลยไฟลุกไปกับเขาด้วย
ผมซาบซึ้งในความพยายามและจิตใจเขามาก จากการทำงานที่คิดว่าจะต้องทำคนเดียว เราก็ได้อายุมาช่วยดูแลแทบจะทั้งหมด และดึงสมาชิกคนอื่นๆ ใน SQ Crew เข้ามาแจมๆ กัน กลายเป็นการทำงานสูตรใหม่ มันเป็นบรรยากาศการทำงานที่แจ๋วมากๆ เลย
พอเป็น ‘วินกับ SQ Crew’ หลังจากนี้คนฟังก็น่าจะได้ยินอะไรใหม่ๆ ด้วยใช่ไหม
ใช่ ผมไม่ได้พยายามที่จะให้เป็นเหมือนเดิมเด๊ะๆ ด้วย เลยต้องหาอะไรใหม่ๆ มาทดแทนสิ่งที่มันขาดหายไป ผมไม่เคยรู้สึกว่ามือกีต้าร์ที่มาเล่นแทนสิงห์ ต้องเล่นเหมือนสิงห์ให้ได้ ถ้าผมให้โจทย์ไปแบบนั้นมันก็ไม่ค่อยยุติธรรมกับเขาเท่าไหร่ ให้เขาเล่นตามที่เขาเข้าใจเลยครับ แต่ถ้าอันไหนไม่ใช่จริงๆ ผมจะบอกเอง
ผมไม่อยากให้คนฟังโฟกัสว่าทำไมเล่นเหมือนสิงห์เลย หรือทำไมเล่นไม่เหมือน อยากลดจุดสนใจจากมือกีต้าร์ไปเป็นจุดอื่นแทน กลายเป็นว่าตอนนี้สควีซ แอนนิมอลมีมือกีต้าร์สองคน มีมือกลองสองคน เป็นการทดลองเล็กๆ ที่คนฟังจะได้รู้สึกว่าทุกๆ ครั้งที่เล่นโชว์ของพวกเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ลองผิดลองถูกกันไปเรื่อยๆ
ได้ยินว่าสิงห์เป็นนักดนตรีที่มีวินัยมาก เขาทิ้งนิสัยอะไรบางอย่างให้คุณไหม
สิงห์เขาตั้งมาตรฐานของวงเอาไว้ว่าเราต้องเล่นให้ดี เราต้องทำเพลงที่เรารู้สึกดีกับมัน เหมือนกับเป็นนโยบายคุณภาพของสควีซ แอนนิมอลไปเลย (หัวเราะ) พอเรารู้สึกได้ว่าเอกลักษณ์หรือความเป็นสควีซมันเป็นประมาณไหน สิ่งที่เราทำมันเลยไม่ค่อยหลุดจากกรอบนี้เท่าไหร่ ผมทำงานร่วมกันสิงห์มานาน เลยเดาได้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ อย่าเอานะ เพราะสิงห์มันไม่เอาด้วยแน่นอน (หัวเราะ) เหมือนมีเงื่อนไขอยู่ในใจว่าแบบนี้สิงห์เกลียด สิงห์ไม่ยอมเล่นด้วยแน่ๆ แล้วถ้าสิงห์ไม่เล่นปุ๊บ เพลงนี้มันก็ไม่ใช่สควีซ แอนนิมอลแล้ว มันคือตัวตนที่เขาได้ทิ้งเอาไว้
จริงๆ แล้วคุณโอเคไหมกับการที่ถูกสื่อหรือทุกๆ คนถามถึงเขาตลอด
จริงๆ ผมรู้สึกว่าถ้าทุกคนที่คิดถึงสิงห์ เขาจะถามข้อมูลนี้จากใครได้ ถ้ามันไม่ใช่ผม ผมรู้เรื่องของเขามากที่สุดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เรื่องการทำงาน เรื่องดนตรี แต่ถ้าเป็นมุมอื่นๆ ของเขาผมอาจจะตอบไม่ได้ ถามว่าเบื่อไหม ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย ผมอยากเล่าว่าที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตของเขายังไง แล้วเขามีความพิเศษยังไงในฐานะนักดนตรี ผมชอบที่จะเล่าในเรื่องราวดีๆ ของเขาให้คนได้ฟัง
ตอนนี้ ‘สควีซ แอนนิมอล’ มีความหมายยังไงกับคุณ
ถ้าตัวชื่อมันคือความทรงจำที่ดีครับ เหมือนเป็นรากฐานที่ทำให้ผมรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ อยู่บนฐานของวงสควีซ แอนนิมอล แต่ถ้าหมายถึงตัววงดนตรีตอนนี้ที่เล่นด้วยกัน จะใช้ชื่อสควีซ แอนนิมอลหรือไม่ สำหรับผมมันไม่สำคัญเลย ความสำคัญมันอยู่ตรงที่เราพยายามสร้างผลงานใหม่ๆ ได้ลองผิดลองถูกเหมือนที่คุยกัน แล้วก็สนุกกับการทำเพลงที่พวกเราคิดว่ามันดีออกมาให้คนได้ฟังกัน
เคยกลัวว่าเขาจะหายไปจากความทรงจำของพวกเราไหม
ถ้าเป็นความทรงจำของผมคงยาก ส่วนคนที่ติดตามสควีซตอนนี้ก็ยังรู้จักสควีซในฐานะวินและสิงห์อยู่ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา แล้วไม่ได้ทันเห็นเขาเลย ผมคงมีหน้าที่ที่จะส่งพวกเขากลับไปฟัง กลับไปดูว่า ถ้าคุณรักปัจจุบันของสควีซ แอนนิมอลแล้ว คุณอยากจะรู้ที่มาของมัน ก็ย้อนกลับไปดูได้นะว่าผู้ก่อตั้งวงนี้มีอีกคนที่ชื่อว่าสิงห์
อยากบอกอะไรกับคนที่คิดถึงสิงห์
อันนี้ตอบยากจัง (หัวเราะ) เพราะผมยังถามตัวเองเลยว่า ถ้าเราคิดถึงสิงห์เราต้องทำยังไง ผมคงต้องเก็บเขาเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต เพราะครั้งหนึ่งที่เราเคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน ในวันข้างหน้าเรายังคิดถึงเขาอยู่ สิ่งที่ทำได้คือการเอาภาพถ่ายเก่าๆ ของเขาออกมาดู ฟังเพลงเก่าๆ ที่เขาเคยทำ ถ้ามองในแง่ดีแล้วมันดีนะ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่เขาจากไปแล้วไม่เหลืออะไรให้เราจำเลย