ความกลัวที่ซ่อนอยู่หลังบทเพลงของกานต์ The Parkinson

พอพูดถึงดนตรีโซล แนวดนตรีที่มีรากมาจากคนผิวสีในอเมริกา คนไทยหลายคนคงเริ่มลังเลแล้วว่าตัวเองจะฟังเพลงแนวนี้รอดหรือเปล่า เราเองก็เคยเป็นกังวลเหมือนกัน

แต่ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีมานี้ เราเชื่อว่าบทเพลงที่มีกลิ่นอายโซลชัดเจนอย่าง จะบอกเธอว่ารัก, หมดแก้ว, เพื่อนรัก เพลงดังจากวงดนตรี The Parkinson ต้องเป็นเพลงคุ้นหูของหลายคนแน่ๆ และเผลอๆ คุณอาจจะร้องตั้งแต่ต้นจนจบเพลงได้อย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

The Parkinson คือวงดนตรีโซลที่ประกอบไปด้วย กานต์-นิภัทร์ กำจรปรีชา (ร้องนำและกีตาร์) โต-ณัฐวิทย์ โอดาคิ (เบส) และ เบียร์-อริย์ธัช เกื้อจิตกุลนันท์ (กลอง) บทเพลงจำนวนไม่มากไม่น้อยของพวกเขาถูกกำหนดทิศทางและเขียนขึ้นโดยฝีมือของกานต์ คุณพ่อลูกสามผู้เป็นฟรอนต์แมนของวง

สิ่งหนึ่งที่วงการดนตรีไทยค้นพบคือ กานต์ทำเพลงโซลให้คนไทยฟังได้อย่างไม่ยากเย็น ขณะเดียวกันนี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนดนตรี เพราะดนตรีโซลกลายเป็นแนวดนตรีที่มีที่ทางให้เดินในวงการเพลงป๊อปไทยมากขึ้น

คนในอินเทอร์เน็ตชื่นชมกานต์ว่า ‘ร้องเพลงเก่ง’ แถมยัง ‘เล่นคอร์ดกีตาร์เก่งมาก’ หากไม่นับเสียงชื่นชมบนเวที ชื่อของกานต์ก็ปรากฏในเครดิตคนเขียนเพลงให้กับศิลปินรุ่นพี่บางคน นี่ก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่า ฝีไม้ลายมือของผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา

ใครจะเชื่อว่า เบื้องหลังบทเพลงแสนไพเราะที่เขาสร้างสรรค์มาทั้งหมด ในบทเพลงที่เราเอนจอยอย่างเพลิดเพลินมาหลายปี กลับมีเสี้ยวความกลัวของ ‘นักแต่งเพลงมือใหม่’ (กานต์เรียกตัวเองแบบนั้น) คนนี้ซุกซ่อนอยู่

เรื่องราวที่อยู่ในบทสนทนาต่อไปนี้ คือวิธีเรียบง่ายที่เขาเอาชนะความกลัวเหล่านั้น แถมกานต์ยังเล่าเรื่องความเชื่อในบทเพลงโซลที่แสนลุ่มลึกของเขา ทำเอาเราและคนข้างๆ ขนลุกไประหว่างนั่งฟัง

ช่วยเล่าถึงเพลงแรกที่คุณแต่งหน่อยได้ไหมว่ามันเป็นยังไง

ที่ผมแต่งเองจริงๆ เลยก็คือ จะบอกเธอว่ารัก เพลงแรกของ The Parkinson ผมเริ่มคลำจากศูนย์ ใช้สัญชาตญาณเขียนล้วนๆ เลยครับ แรกๆ ผมเขียนเมโลดี้กับคอร์ดขึ้นมาก่อน ส่วนเนื้อเพลงใช้เวลาเขียน 3-4 เดือนได้แค่เวิร์สแรก แล้วก็เกิดอาการเขียนไม่ออก ไม่รู้ว่ามันออกมาดีไม่ดี มีแต่ความกลัวเต็มไปหมด

ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอาเมโลดี้นี้ไปให้รุ่นพี่หลายๆ คนฟัง เผื่อได้ไอเดีย แต่มีคนหนึ่งที่ปลดล็อกตัวผมคือพี่สิงโต นำโชค เขาบอกว่าจริงๆ ไม่ใช่เขียนไม่ได้หรอก เป็นตัวผมเนี่ยแหละที่เรื่องมาก (หัวเราะ) คือก่อนหน้านี้ผมเล่นดนตรีมาเกือบสิบปี ผมฟังเพลงที่ดี ฟังเพลงที่เพราะ พี่โตเขาบอกว่าพอฟังเยอะๆ มันยิ่งเป็นกรอบให้ตัวเรา เราจะจินตนาการไปว่าเพลงนี้ยังไม่ดีเหมือนเพลงที่เคยฟัง แต่ถ้าเราลองเขียนสไตล์เรามันอาจจะดีในแบบของเราก็ได้ แล้วคนอื่นเขาจะอินกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง อย่าเพิ่งไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี

หลังจากนั้นประมาณวันสองวันเพลงก็เสร็จ ผมเขียนด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่รู้ล่ะ เขียนให้เต็มเหนี่ยวไปเลย แล้วร้องให้ยากที่สุดเท่าที่จะไปได้ คุยกับวงในห้องอัดว่าทำสุดแล้วแหละ ร้องก็ยาก ดนตรีก็แปลก คิดว่าขายยาก ไม่น่าจะมีใครชอบ ปล่อยไปมีคนฟังสักแสนวิวนี่ก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าแล้วครับ แต่ฟีดแบ็กเกินคาดมาก พอร้องยากกลายเป็นว่าท้าทายนักดนตรีซะเยอะ จริงๆ มีคนชอบเพลงแนวนี้เยอะ แต่มันอาจจะยังไม่มีใครหยิบเพลงโซลมาทำแบบเต็มเหนี่ยว ส่วนใหญ่ผสมนู่นผสมนี่ แต่เพลงของเรา เราไม่ขายแล้ว ทำเพลงโซลแบบเต็มเหนี่ยวไปเลย

บ้านเรามีคนทำเพลงโซลน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย ทำไมถึงเชื่อว่ามันจะมีทางที่ไปได้ในประเทศนี้

ในใจตอนแรกเลยนะ ผมคิดว่าไปไม่ได้แน่ๆ (หัวเราะ) ทำเพลงด้วยความรู้สึกอยากทำล้วนๆ เหมือนตั้งใจทำไว้ฟังกันเองด้วยซ้ำ แต่พอเพลงออกมาแล้วคนมันชอบ มุมมองของพวกผมก็เปลี่ยนไปเลย รู้สึกว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราจะดูถูกสังคมการฟังเพลงไม่ได้แล้ว คนที่เปิดรับอะไรใหม่ๆ รออะไรใหม่ๆ มีเยอะมากจริงๆ

รุ่นของผมอาจจะโชคดีที่ตอนนั้นมันยังไม่มีใครทำอะไรแปลกๆ มีแค่พวกผมกับ Polycat ที่มาพร้อมกัน กรุยทางเส้นนี้มาด้วยกัน รุ่นน้องบางคนอย่าง ปอ Whal & Dolph (กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ) ตอนนั้นมันมีเพลงเก็บไว้กับตัวเยอะมาก มันมีสิ่งที่ชอบแต่ไม่รู้จะเอาไปปล่อยที่ไหน แต่พอ 3-4 ปีถัดมาจากยุคของผม มันเป็นยุคที่มีอะไรเกิดใหม่เยอะมาก วงใหม่ๆ ที่มีทางของตัวเองเกิดขึ้นเยอะ เจ๋งมากเลย

การทำเพลงโซลที่คนไทยเข้าถึงง่าย คุณเลือกที่จะเริ่มมันจากตรงไหน

อย่างแรกเลย ผมเชื่อว่าอะไรที่มันเข้าถึงง่าย มันต้องเป็นของแท้ ยิ่งผสมอะไรเข้าไปเยอะๆ มันยิ่งยากครับ ผมคิดว่าของแท้เข้าใจง่ายที่สุด เลยอยากทำดนตรีโซลที่ไม่ผสมอะไรเลย พยายามทำให้มันเพียวที่สุด สมมติบ้านเรานิยมเพลงร็อก ถ้าเราเอาโซลมาทำเป็นโซล-ร็อก กลายเป็นอะไรไม่รู้ที่เข้าใจยากกว่าเดิม เราทำโซลอย่างเดียวดีกว่า เมื่อละลายพฤติกรรมโซลให้คนฟังเก็ตได้แล้ว เราจะเล่นโซล-ร็อกก็คงไม่แปลก มันน่าจะเป็นวิธีที่แข็งแรงกว่าด้วย

อย่างพาร์ตเนื้อเพลง ตอนที่ทำเมโลดี้เราจะฮึมฮัมออกมาเป็นภาษาต่างดาว หรือบางทีก็เป็นเนื้อภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเนื้อไทยโดยไม่ต้องพยายามดัดอะไรให้มันเป็นไทยเลย คนชอบถามผมว่าวรรณยุกต์ในเพลงโซลกับเพลงไทยมันแทบจะไปด้วยกันไม่ได้ ทำยังไงถึงทำให้มันออกมาเป็นเพลง วิธีการของผมก็คือแบ็กทูเบสิก หาคำไปเรื่อยๆ เนื้อในเพลงไทยปกติเราอาจจะคิดได้สิบประโยคแล้วค่อยเลือกท่อนที่ดีที่สุดได้ แต่ถ้าเป็นเนื้อไทยในเมโลดี้เพลงโซลประโยคหนึ่งนี่บางทีหากันครึ่งค่อนวัน แต่ยังไงก็ตามมันจะต้องมีเสมอ ผมเชื่อแบบนั้น

แรงบันดาลใจหลักในการแต่งเพลงของคุณคืออะไร

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนอื่นหมดเลยครับ ผมคิดว่าชีวิตตัวเองอาจจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร ผมเริ่มเขียนเพลงแรกตอนที่ตัวเองมีครอบครัวแล้ว ถ้าเขียนเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเพลงมันคงไปทางสว่างหมดเลย (หัวเราะ) แต่จริงๆ สิ่งที่เล่าในเพลงโซลกับบลูส์มันแทบจะไม่มีมุมสว่างแบบนี้เลย ผมเลยต้องรีเสิร์ชเอาว่ามีเรื่องไหนน่าเล่าบ้าง คุยกับคน ดิ่งไปกับเขา ซึมซับมันแล้วเอามาเขียน

อย่าง หมดแก้ว ก็คุยกับคนที่อกหักเลยว่าเขารู้สึกยังไง กินเหล้าแล้วมันได้อะไรขึ้น ผลลัพธ์มันจะอยู่ในเพลงหมด บางคำในเพลงมาจากสิ่งที่เขาพูดออกมาด้วยซ้ำครับ เช่น ‘รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร แต่มันก็ต้องกิน’ คือเราไม่ได้แปลงอะไรเลย แค่จับมาใส่ในเมโลดี้ที่มันสามารถอยู่ได้ มันเรียลมาก

ได้ยินว่าพวกคุณชอบทำงานส่งใกล้เดดไลน์ ในเวลาจำกัดเราก็ทำให้มันออกมาเป็นเพลงดีๆ ได้ การทำงานของวงเป็นยังไง

การทำงาน The Parkinson ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ผมเนี่ยแหละ (หัวเราะ) เพราะผมเป็นคนขึ้นเมโลดี้ ดนตรี คอร์ด แล้วค่อยแจกจ่ายให้โตกับเบียร์ จริงๆ สองคนนี้เขาเป็นอินสไปเรชั่น หลายๆ เพลงก็มาจากเขานี่แหละ (หัวเราะ) เหตุผลที่ชอบส่งใกล้ๆ หนึ่ง คือขี้เกียจ สอง บางทีก็งานเยอะ สาม ผมมีลูกสามคน กว่าจะทำงานได้ผมต้องขอกับทุกฝ่ายเลยว่าผมขอพักเพื่อเขียนเพลงนะ งานทุกชิ้นเลยเป็นงานผ่านหัวแบบไม่ได้กรองเลย ผมไม่รู้ว่าแปลกหรือเปล่า แต่มองว่ามันก็เป็นวิธีการทำงานอีกแบบ

อย่างผมกับพี่ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า วิธีทำงานเราจะคล้ายๆ กัน คือเขียนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ หลายๆ คนอาจจะเริ่มเขียนท่อนฮุกก่อน หาประโยคที่โดนก่อน แต่ผมกับพี่ตุลจะเป็นสไตล์เขียนด้วยความรู้สึกไฟลนก้น ทุกอย่างจะออกมาจากตรงนั้น เป็นเรื่องที่ต่อกันเลย ไม่มีการวกกลับไปแก้ใหม่ว่าอันนี้โดนยัง แทบทุกเพลงที่แต่ง ผมไม่มีคอนเซปต์เลย กางปุ๊บเขียนเลย ประโยคแรกว่าไง เนื้อเพลงก็ว่างั้น

ในมุมที่ได้ทำงานให้ศิลปินคนอื่นๆ แตกต่างกับงานที่ทำให้วงตัวเองยังไง

การทำงานให้คนอื่นมันมีหลายเลเวลเลยครับ บางคนมีความต้องการอยู่แล้วก็เขียนให้ตรงใจเขา บางคนจะแบบ ‘แล้วแต่กานต์จัดมาเลยครับ’ ผมเคยแต่งให้น้องแปม ไกอา (ศิรภัสรา สินตระการผล) เขารีเควสว่าอยากได้เพลงแอบรักเพื่อนที่ไม่สมหวัง บอกเขาช้าไปอะไรแบบนั้น จริงๆ ผมอยากทำเป็นภาคต่อจาก เพื่อนรัก ครับ

ส่วนตัวรู้สึกว่าผมโชคดีมากๆ ด้วย เขียนเพลงให้คนอื่นประมาณ 5-6 เพลง ไม่มีใครตีกลับมาเลย ส่งอันไหนไปเขาก็เอาอันนั้นเลย ผมเลยบอกไม่ได้ว่ามันยากง่ายยังไง แค่ทำตามโจทย์ให้ดีที่สุดแค่นั้น ส่วนการเขียนให้ The Parkinson มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ต้องทำอะไรที่ทำให้ตัวเองไม่ย่ำอยู่กับที่ The Parkinson เลยเป็นพาร์ตที่ผมหาอะไรใหม่ๆ มาเขียนเสมอ

ในทุกเพลงที่คุณแต่ง ยังคงมี ‘ความกลัว’ และ ‘ความไม่มั่นใจ’ อยู่ไหม

มีอยู่ครับ (หัวเราะ) ทุกเพลงที่ผมเขียนผมไม่มั่นใจเลย แม้กระทั่งเพลงล่าสุด จริงๆ ผมเป็นคนขี้กลัวมากในการเขียนเพลงเพลงหนึ่ง แต่สุดท้ายเราก็ต้องลดความกลัวลง ผมเลยไม่แคร์แล้วว่ามันจะดังหรือไม่ดัง อย่างเพลงที่ผมเขียนให้พี่บี-พีระพัฒน์ เถรว่อง หรือพี่ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ แต่ละคนไม่ธรรมดาเลย ทุกคนเขียนเพลงเองได้หมดเลย แต่อยู่ดีๆ ก็ชวนผมไปเขียน เป็นความรู้สึกที่เหมือนมีคนโยนหินก้อนใหญ่ๆ มา แต่อย่างที่บอกครับ เขียนไปด้วยความกลัวก็จริงแต่ไม่มีใครตีกลับเลย ถือว่าโชคดีมาก

ผมว่านักแต่งเพลงทุกคนเป็นแหละ อาจจะน้อยคนที่แข็งแกร่ง ผมเพิ่งเขียนเพลงมาได้ 3-4 ปี แต่บางคนเขียนมาเป็นสิบปี ผมเคยคุยกับนักแต่งเพลงรุ่นพี่อย่างพี่บอย-ตรัย ภูมิรัตน พี่บอยเขียนเพลงเร็วมาก สมมติสั่งแล้วเขาทำได้อย่างที่คิดเลย แต่อย่างผมจะมีความฟุ้งอยู่ เร็วสุดของผมคือหนึ่งวัน แต่พี่บอยคือแป๊บเดียวจริงๆ

การเขียนเพลงมันเป็นงานศิลปะ และมันก็คืออาชีพหนึ่ง คงเหมือนกับการเล่นดนตรีหรือเล่นอะไรสักอย่าง ถ้าเราได้ทำทุกวันเราก็จะชำนาญ เราอาจเก่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว แรกๆ ก็เขียนลำบาก แต่หลังๆ ก็สบายขึ้น ทุกวันนี้ผมอาจจะยังกลัว แต่ผมว่าผมกลัวน้อยลงแล้วแหละ

เราพูดกันมานานแล้วว่า ‘อาชีพศิลปินหรือคนทำเพลงมันเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอก’ คุณคิดยังไง

ผมเชื่อว่ามันเป็นอาชีพได้จริงๆ ครับ แต่มันก็มีช่องโหว่อยู่เยอะ ช่องโหว่ที่ว่าก็คือเรื่องกฎหมายต่างๆ คือถ้าเป็นคนทำเพลงมือใหม่จะงงมาก เราจะไม่รู้เลยว่ารายได้มันจะมาจากตรงไหน มันมีการเก็บค่าลิขสิทธิ์ด้วยนะ หรือถ้าเซ็นเอกสารผิดหรือไม่เซ็นเลย อาจกลายเป็นว่าเรายกผลประโยชน์ให้ใครก็ไม่รู้ไป คนที่เขาเขียนเพลงเป็นอาชีพจริงๆ มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวแบบพี่ๆ ทั้งหลาย เขาอยู่มานานและคงจะเคยโดนมาแล้วก็เลยรู้ จริงๆ ผมว่ามันเป็นอาชีพที่ได้ค่าตอบแทนดีเลยแหละถ้าเราเช็กมันละเอียดมากพอ

ศิลปินส่วนใหญ่ทำเพลงแล้วก็แค่อยากปล่อยให้คนฟัง The Parkinson เป็นแบบนั้นหรือเป็นมากกว่านั้น

ผมไม่ได้คาดหวังจากคนข้างนอกเลยครับ ที่ได้ทัวร์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ผมขอบคุณมาก วงเราไม่ได้ทำดนตรีเมนหลักของประเทศ เราไม่ได้หวังว่าจะเป็นอะไรในประเทศนี้ แต่ว่าเราสามคนมีความคาดหวังของพวกเราเอง

ตอนที่ผมตัดสินใจจะทำวงสามคน ผมต้องแลกอะไรมาหลายอย่างมาก แลกกับงานที่มั่นคง ตอนนั้นเราเล่นดนตรีตอนกลางคืน 7 วัน วันละ 2-3 ที่ ผมบอกเพื่อนว่าถ้าเราจะทำวงจริงจัง เราต้องหยุดเล่นกลางคืนนะ รายได้จากตรงนั้นเราต้องทิ้งหมด ใครจะเอาด้วยบ้าง แล้วผมก็เสียสมาชิกคนอื่นในวงไปด้วย

ผมเลยให้คำพูดกับเพื่อนอีกสองคนที่ตัดสินใจมากับผมไว้สามคำ ตลกหน่อยนะครับ “เพลงต้องดี เพลงต้องเด่น เพลงต้องดัง” ประมาณนี้ จะทำได้แค่ไหนไม่รู้แหละแต่เราหวังกันไว้เอง แต่ไอ้เพลงดังๆ จริงๆ ก็ไม่ได้หวังขนาดนั้นนะ (หัวเราะ) ที่สำคัญที่สุดคือเพลงต้องดีก่อน เด่นคือต้องไม่ซ้ำใคร เราอยากทำอะไรที่ไม่มีในเพลงไทยมาก่อน

แล้ว ‘เพลงที่ดี’ สำหรับคุณต้องเป็นเพลงยังไง

เพลงที่ดีก็คือไม่ลอกใคร ในมุมมองของผมคนเดียวนะ เวลาเราดูศิลปินต่างประเทศเล่นสด คนที่เจ๋งจริงๆ เขาจะมีอะไรออกมาทันทีเลย เพลงของเขาจะไม่เหมือนใคร เขาจะคิดสิ่งใหม่ออกมาในอะไรก็ตามที่เขาเล่น แต่ถ้าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนอันนี้ เหมือนอันนู้น อะไรแบบนี้

สุดท้ายคนที่เจ๋ง สไตล์เขาจะชัดมากเลย ต่อให้เล่นเพลงของคนอื่น ฟังยังไงก็ต่างจากของออริจินอลเพราะลายเซ็นของเขาชัดเจนมาก ส่วนคนที่จะไปทางไหนก็ไม่ไปสักทาง งานเขาจะอยู่ตรงกลาง ไมไปไหนเลย ผมเลยคิดว่างานของผมจะต้องไม่เหมือนใคร ไม่ดังไม่เป็นไร แต่เงื่อนไขสองข้อแรกต้องผ่าน


5 บทเพลงที่กานต์ The Parkinson อยากแนะนำ

01 คืนนี้

เราเล่นเพลงโซลมาก่อนอยู่แล้ว ซึ่งเพลงโซลส่วนใหญ่ชอบพูดเรื่องวาบหวิวๆ แนวๆ นี้ ยิ่งช่วงปีหลังๆ นี่หนักเลย Bruno Mars เนี่ยตัวดีเลยครับ รากเขามาจากโซล อาร์แอนด์บี ฟังก์ และโตมากับ Michael Jackson เขาก็พูดวนๆ เรื่องลามกจกเปรตกัน ผมรู้สึกว่า เฮ้ย ของเราต้องมีแบบนี้บ้าง เลยทำแบบแค่แหย่เล็กๆ พอ ไม่อยากใช้ถ้อยคำที่มันโหดร้ายเกินไป จำลองเหตุการณ์น่ารักๆ ขึ้นมา แต่เนื้อหาฟังแล้วรู้เลยว่าหมายความว่าอะไร


02 หมดแก้ว

เพลงที่ผมอยากนำเสนอความรู้สึกของคนที่เจอความเสียใจแบบนี้ วิธีที่เขาใช้แก้อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรอก แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีคนที่เป็นแบบนี้อยู่จริงๆ เหมือนที่เขาบอกว่าการที่เราสอนวิธีแก้ให้กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า มันอาจเป็นการเพิ่มปัญหาให้เขา แต่ถ้าคุณเอาตัวเองไปซึมซับความรู้สึกเขา มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้วิธีแก้ปัญหาหรอก แต่มันช่วยให้เขารู้สึกเบาลงได้ เราก็เลยอยากเขียนเพลงนี้ เหมือนเป็นเพลงที่เราเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นด้วย อย่างน้อยเพลงนี้อาจจะช่วยระบายความรู้สึกบางอย่างออกมาได้ ดีกว่าไปเขียนเพลงด่าว่า ‘กินเหล้าแล้วได้อะไรขึ้นมา’ ผมว่าแบบนี้น่าสนใจกว่า


03 สักวัน (Someday) feat. Karn The Parkinson – KOR NOTAPOL

เพลงนี้ผมเขียนให้พี่ก้อครับ ผมเป็นแฟนพี่ก้อมานานมาก วันหนึ่งพี่ก้อโทรมา ‘กานต์ครับ พี่อยากทำอัลบั้ม อยากให้กานต์มาช่วยเขียนแล้วร้องให้ด้วย’ เหมือนฝันที่เป็นจริงเลย พอพี่ก้อส่งเมโลดี้มาให้ ผมตื่นเต้นหนักกว่าเดิมอีก เพราะเมโลดี้พี่ก้อยากมาก ไม่ใช่เมโลดี้ที่คนปกติเขียน (หัวเราะ) คือมันหลุดจากเมโลดี้เพลงไทยไปเลย ตอนแรกก็กดดัน สุดท้ายก็ได้เป็นเพลงนี้ออกมา

ความพิเศษของเพลงนี้คือ ผมเขียนเพราะอยากสรรเสริญเพื่อนสนิทคนหนึ่งครับ เขาเหมือนคนในเพลงเลย แอบรักผู้หญิงคนหนึ่งน่าจะเกินสิบปี ผู้หญิงรู้มาตลอดนะแต่ก็ไม่เคยมองมันเลย เพื่อนเราก็เศร้ามาก ร้องไห้ตลอด สำหรับผมมันเป็นความเศร้าที่โรแมนติกมาก


04 Status feat. Ben Bizzy – Lula

อันนี้เป็นเพลงที่ผมต้องตีโจทย์ของพี่ตุ๊กตา-กันยารัตน์ ติยะพรไชย (ลุลา) พี่เขาต้องการเพลงเล่าเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่คบกับคนคนหนึ่งทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าคบหรือเปล่า เจอกันตลอด อยู่กันลึกซึ้งมากแต่ไม่เคยเรียกกันว่าอะไร แล้วก็ไม่เคยถามกันด้วย ในใจก็อยากรู้ว่าเขาจริงจังแค่ไหน เพลงนี้เลยถูกเขียนขึ้นเพื่อถามคนคนนั้นว่า ที่ผ่านทั้งหมดนี้มันคืออะไรเนี่ย เป็นเพลงที่น่ารักมุ้งมิ้งที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนมาครับ


05 คนชั่ว 2018

เป็นเพลงที่นำเสนอจิตวิญญาณของคนที่หน้ามืด จริงๆ เพลงนี้ใช้ชื่อเพลงอะไรก็ได้ที่เป็นคำด่าคน พาร์ตเนื้อเพลงและชื่อเพลงจะไม่ลิงก์กันครับ เนื้อเพลงก็คือตัวของคนที่ทำชั่ว ตอนนั้นเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรอยู่ รู้แต่ว่าตัวเองหน้ามืดมากๆ แต่เวลาที่เราเห็นคนที่ทำแบบนี้ เราพูดออกมาได้ทันทีเลยว่าคนนี้ชั่วมาก มันเลยเกิดเป็นไอเดียที่อยากทำเพลงแซะใครบางคน ไม่ได้ต้องการที่จะส่งเสริมนะ (หัวเราะ)

ตอนแรกผมหวั่นใจเหมือนกันว่าคนจะเก็ตไหม แต่พอเราปล่อยเพลงออกมาปุ๊บ คนฟังเขาเก็ตโดยสัญชาติญาณเลยว่าคนแบบนี้ชั่ว เหมือนเราบัญญัติคนชั่วเหมือนกันทุกคน ผมโอเคมากเพราะความตั้งใจผมคอมพลีตแล้ว (หัวเราะ) ใครที่ตกเป็นคนโดนกระทำ หรือกำลังเป็นคนในเพลง ฟังแล้วก็น่าจะรู้สึกบ้างแหละ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!