เติร์ท The Face Men : รันเวย์มาดมั่นของนายแบบ androgynous ไทยที่โดดเด่นที่สุดบนเวที

เมื่อความเคลื่อนไหวของสังคมสมัยใหม่เจริญรุดหน้า รสนิยมและพฤติกรรมของผู้คนหลากหลายเกินกว่าจะกำหนดขอบเขตแคบๆ ไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม ไม่ต่างจากวงการแฟชั่นที่ในอดีตอาจมีพรมแดนทางเพศกำหนดไว้เฉพาะชายหญิง แต่เมื่อเทรนด์โลกเปลี่ยน เพศสภาพเลื่อนไหล โฉมหน้าอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายของโลกก็ไม่จำกัดเพศอีกต่อไป

นายแบบไร้เพศคือทางเลือกที่กำเนิดมาเพื่อรองรับผู้บริโภคอีกกลุ่มที่กำลังขยายตัว แน่นอน นี่คือการยืนยันและยอมรับว่าพวกเขามีตัวตนบนโลกนี้จริงๆ และกำลังขับเคลื่อนสังคมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ใช่ เรากำลังพูดถึง ‘Androgynous Model’ นายแบบที่สวมใส่เสื้อผ้าได้ทุกลุค ทุกเพศ และทุกโอกาส

บ่ายวันนี้อากาศร้อนแรงมากพอๆ กับบุคลิกมาดมั่นของ เติร์ท-ธนาภพ อยู่วิจิตร หรือที่ตอนนี้ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ เติร์ท The Face Men Thailand ผู้เข้าแข่งขันวัย 19 ปี ที่มาพร้อมส่วนสูง 177 เซนติเมตร บุคลิกและทัศนคติของเติร์ทมีเอกลักษณ์ชนิดที่ว่าโดดเด้งออกมาจากรายการจนเราอดไม่ได้ที่จะขอพบเขา

เติร์ทคือนายแบบ androgynous ชาวไทยคนเดียวในรายการเรียลลิตี้ที่เต็มไปด้วยชายหนุ่มกล้ามโต ถ้าคุณมองอย่างผิวเผิน – เขาคือความแปลกใหม่ที่ทำให้คนจับตาตั้งแต่วันออดิชัน แต่ถ้าคุณมองอย่างลึกซึ้ง นี่คือเทรนด์และทางเลือกของวงการแฟชั่นโลกที่มีมานานแล้ว แต่เพิ่งเป็นหัวข้อใหม่ของวงการแฟชั่นไทย เพราะฉะนั้น สำหรับเรา เติร์ทคือความหวังของคนนอกกระแสและมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ใคร

เติร์ทผลักประตูเข้ามา เขาก้าวฉับๆ มาดมั่น สวมเสื้อเชิ้ตคอกว้างทรงเซ็กซี่ และกางเกงขายาวผ้าพลิ้วสีดำ สะพายกระเป๋าหนังขนาดกระชับ เราสังเกตว่าเขาเพิ่งตัดผมให้สั้นลง เติร์ทขอตัวพักสักครู่ก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่เรามีเวลาไม่นานนัก เพราะจากนี้เขาจะต้องเตรียมพร้อมซ้อมเดินแฟชั่นโชว์รอบ Final Walk

ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่แฟชั่นไม่จำกัดเพศ (Gender-Neutral Fashion) ไม่ว่าผลรอบไฟนอลวอล์กจะออกมาเป็นยังไง วันนี้เรายกเวทีนี้ให้เติร์ทสะท้อนจุดยืนบนรันเวย์ของตัวเอง ในฐานะตัวแทนเพศที่สามที่น่าจับตาไม่แพ้ใคร

เติร์ทเข้ามาในวงการแฟชั่นได้ยังไง

 

ความจริงเติร์ทเคยเรียนแฟชั่นมาก่อนแล้วค่อยมาเรียน Business English ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วันหนึ่งเพื่อนจับเติร์ทมาเป็นแบบถ่ายงาน ตอนนั้นเติร์ทเด็กมาก แต่คิดว่าลองไปถ่ายดูก็ได้ พอถ่ายไปถ่ายมาก็อยู่ในวงการนายแบบมา 4 ปีแล้ว เติร์ทเคยอยู่กับเอเจนซี่สองแห่ง อยู่ไปเรื่อยๆ ชิลล์ๆ ผ่านมาหนึ่งปีถึงได้มาประกวด The Face Men Thailand

การเดินเข้ามาประกวดในรายการ The Face Men Thailand มอบประสบการณ์อะไรให้เติร์ทบ้าง

Oh! so much เวลาถ่ายงานปกติกับเวลาทำแคมเปญหนึ่งต่างกันเลย ถ่ายแมกกาซีนเล่มหนึ่งต้องถ่ายหนึ่งวันกว่าเติร์ทจะได้ภาพที่เพอร์เฟกต์ แต่อยู่ดีๆ คุณจะให้ทำได้ภายใน 3 นาทีอย่างการอุ้มเด็กที่ร้องไห้หนัก How am I gonna do that? นี่คือความกดดันอีกระดับหนึ่ง พอผ่านเรื่องพวกนี้มาทำให้รู้ว่า ยูต้องทำงาน ยูต้องหาภาพจำให้ตัวเอง ต้องรู้ว่าหน้าตา ท่าทางแบบนี้กูจะรอด คนข้างนอกอาจเห็นว่าเติร์ทสนุก ไม่เครียดอะไร แต่จุดนั้นเราพร้อมล้มได้ตลอดเวลา เราคิดตลอดว่าต้องทำยังไงต่อไป เราเครียดจากความกดดันทุกทางเพราะทุกคนหวังให้เราทำได้ดี แต่พอผ่านจุดนั้นมาได้ เติร์ทเรียนรู้ว่าถ้ายิ่งเครียดจะยิ่งแย่ เครียดอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ได้เครียดกับเรา เราต้องไปต่อให้ได้

รู้ตัวตอนไหนว่าเติร์ทเป็นนายแบบยูนิเซ็กซ์

 

เราเป็น androgynous model หรือยูนิเซ็กซ์นั่นแหละ แต่เติร์ทว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เติร์ทไม่เลือกจำกัดว่าตัวเองจะเป็นแบบไหน เราเป็นคนที่เห็นเสื้อผ้าผู้หญิงหรือผู้ชายก็อยากใส่ อยากไว้ผมยาวก็จะไว้ ทำทุกอย่างตามที่ใจเราบอก ถ้ามีความสุขกับการทำแบบนี้ เราจะทำไป เห็นแล้ว ok, I want, I buy ก็แค่ I just do whatever I think it’s good ถ้าเติร์ทมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ จะทำต่อไปได้ดี ถ้าไม่มีความสุข เติร์ทจะตัดออกไปทีละอย่าง ตัดออกไปจากชีวิตเลย ไม่เอามาซีเรียส

อาชีพบนโลกมีตั้งหลายอย่าง ทำไมเติร์ทถึงเลือกเส้นทางสายนายแบบ

นายแบบคือสิ่งที่ชอบ เติร์ททำแล้วมีความสุขมาก เราไม่รู้สึกเลยว่าต้องฝืนตื่นลุกขึ้นมาทำงาน เพราะทุกคนในอุตสาหกรรมนี้เป็นเพื่อนกันหมด เวลาเติร์ทไปเดินแฟชั่นวีคจะได้เจอเพื่อนเต็มไปหมด พี่ๆ ทีมสไตลิสต์ทุกคนไนซ์มาก อาชีพนายแบบตีความได้หลายอย่าง เติร์ทคิดว่ากล้องถ่ายรูปคือผืนผ้าใบสำหรับวาดภาพที่ว่างเปล่า เราคือจิตรกร นายแบบเป็นศิลปินมากกว่าเป็นหุ่นขายเสื้อผ้า ถึงคุณจะบอกว่าเราเป็นหุ่น แต่เราต้องเป็นหุ่นที่ทำงานอย่างเป็นศิลปะ มีเรื่องราว และประณีตมากกว่าการเป็นแค่คนยืนใส่เสื้อผ้าให้ทุกคนดู

มองว่าอาชีพนายแบบเป็นศิลปะตั้งแต่เมื่อไหร่

นานมากแล้วนะ เติร์ทเคยเห็นโฟโต้ชู้ตในนิตยสารแฟชั่น เขาไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้าเฉยๆ เพราะต้องสื่อสารความหมายและสปิริตของเสื้อผ้า รวมไปถึงการเดินแฟชั่นโชว์ เขามีธีมของแต่ละคอลเลกชัน แต่ละแบรนด์จะมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน หน้าที่ของนายแบบไม่ใช่แค่การใส่เสื้อผ้า แต่ต้องนำเสนอเรื่องราวที่จับต้องได้ เมื่อเราทำแบบนี้ เติร์ทคิดว่าน่าสนใจ นี่คือ literary art เราเขียนเรื่องราวให้แฟชั่นกลายเป็นศิลปะที่สวยงาม

ความสุขสูงสุดบนรันเวย์ของเติร์ทคือการอยู่ในโมเมนต์นั้น เติร์ทสนุกและเต็มที่กับทุกก้าว ทุกครั้งก่อนขึ้นไปเดินบนแคตวอล์ค เติร์ทจะตื่นเต้นมาก oh shit! เดินมาตั้งหลายครั้งแล้ว ตื่นเต้นเหมือนเดิมทุกรอบเลย แต่พอเริ่มก้าวเดินออกไปจากหลังเวทีเมื่อไหร่ เติร์ทรู้ว่าตรงนี้แหละคือที่ที่เติร์ทควรจะอยู่

ทำไมถึงมั่นใจว่าบนรันเวย์คือพื้นที่ของเติร์ท

สิ่งที่ไม่ใช่เราจะรู้ว่ายังไงก็ไม่ใช่ ไม่มีอะไรที่บอกเราเลยว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเติร์ท ทุกวันที่เติร์ทออกไปทำงาน จะตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้พบเจอตลอดเวลา เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้แต่งหน้าเป็นอะไร ใส่ชุดแบบไหน โมเดลเป็นงานที่น่าตื่นเต้น ทุกอย่างใหม่ ไม่จำเจ แต่ละงานเราต้องเจอสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าคนใหม่ ลุ้นว่าช่างภาพจะเป็นยังไง ลูกค้าอยากได้งานแบบไหน เติร์ทเอนจอยมาก เพราะเป็นคนที่อยู่สถานที่ซ้ำๆ ไม่ได้ มันจะ go crazy เลยนะ เพราะถ้าขังเติร์ทไว้ ตายไปเลย เติร์ทไม่เคยอยู่บ้านเฉยๆ เลยนะ ถ้าอยู่บ้านก็ต้องโทรหาเพื่อนว่ามาหากูมั้ยมึง

ทำไมถึงชอบการออกไปเจอคนมากขนาดนี้

 

เราชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทุกคนมีความคิดและประสบการณ์ไม่เหมือนกัน เราไม่เคยใช้ชีวิตแบบเขา การแลกเปลี่ยนความคิดจะทำให้ได้มุมมองใหม่ๆ สิ่งที่ดีคือการที่ you socialize with people เติร์ทว่าตัวเองเป็นคนเปิดใจ ถ้าเขาไม่ใช่คนที่หยาบคาย ขวางโลกมากๆ แล้วยอมรับทุกอย่างตามสภาพของโลกได้ ไม่กีดกันทางความคิด เติร์ทโอเคนะ แต่ถ้าเขาต่างกับเราจริงๆ เราต้องเปิดใจว่าเขาเป็นคนอีกแบบ แบ็คกราวนด์และเรื่องราวชีวิตเขาเป็นแบบนั้น เขาอาจผ่านอะไรมาไม่เหมือนที่เราเคยผ่าน ซึ่งเติร์ทเชื่อว่าประสบการณ์สร้างคน so you can’t judge a person by anything เราไปติคนอื่นเขาไม่ได้นะ เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ เขาเป็นคนยังไง คนเราไม่มีทางเหมือนกัน ถ้าตัดสินว่าคนนี้ต่างจากเรา เราอาจแตกต่างในสายตาของเขาก็ได้

แต่วงการแฟชั่นที่ต้องปะทะกับคนมากหน้าหลายตาตลอดเวลาน่าจะต้องเครียดกันบ้างนะ เติร์ทจัดการกับความเครียดยังไง

ความเครียดไม่หายไปง่ายๆ หรอก ต้องดึงมันออกมาไว้ข้างๆ แล้วช่างแม่ง ไปทำหน้าที่ของเรา เติร์ทรู้สึกว่างานนายแบบเป็นเรื่องเฉพาะหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เราวางแผนได้ ต้องดูหน้างานว่าช่างภาพส่งพลังงานมาให้เรายังไง แล้วคุณต้องถ่ายทอดและส่งต่อยังไง ทำยังไงกับชุดได้บ้าง มันสอนให้เรารู้จักการอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ ต้องรู้จักวางเรื่องแย่ที่เราแก้ไขไม่ได้

เราได้ดูคลิปเดินแบบของเติร์ทหลายๆ งาน ทำไมลีลาการเดินแบบของคุณถึงมั่นใจได้ขนาดนั้น

 

เติร์ทน่ะเหรอ (หัวเราะ) ความจริงเติร์ทไม่ได้เป็นคนมั่นใจเลยนะ โอเค เลเวลตอนทำงานเราอาจมั่นใจมาก แล้วหน้าตาเติร์ทเฟียร์ซเองไงเลยทำให้ทุกอย่างดูเกินจริงเพราะเติร์ทไม่ใช่คนที่ดุตลอดเวลา เอาจริงๆ ข้อดีของหน้าแบบนี้คือมันดูมีอะไรให้ค้นหา แต่ข้อเสียคือคนคิดว่าเติร์ทร้ายตลอดเวลา เห็นหน้ามึงแล้วไม่อยากคุยด้วยเลย หน้าตาเกลียดโลกแบบไม่รับแขก แต่ถ้าเจอคนคิดแบบนี้ก็ช่างเขา เขาไม่รู้จักเรา เราก็แค่แล้วไงเหรอ?

ในตลาดแฟชั่นมักเจาะจงชัดเจนว่าต้องการนายแบบหรือนางแบบ แต่การที่เติร์ทเป็นแบบไหนก็ได้ แล้วอย่างนี้จุดยืนของคุณคืออะไร

หลักๆ แล้วเติร์ทเป็นโมเดลผู้ชายมากกว่าเพราะสุดท้ายแล้วเติร์ทไม่ใช่ผู้หญิง เติร์ทเป็น androgynous ลุคเราเป็นโมเดลผู้ชายที่ใส่ชุดผู้หญิงได้ เราเดินแฟชั่นโชว์ของผู้หญิงทุกโชว์ไม่ได้ เพราะร่างใหญ่กว่าเขา เติร์ทรู้สึกว่าประเด็นนี้ไม่ได้ใหม่ในระดับโลก แต่เป็นสิ่งใหม่ในบ้านเราเฉยๆ โมเดลระดับโลกอย่าง Rick Owens และ Andreja Pejic เขาเป็น androgenous model เหมือนกัน เพราะฉะนั้นลูกค้าที่เข้ามาต้องรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง เขาอยากได้สิ่งนี้จากเราเพราะเรามีตัวตนแบบนี้

ตอนเข้ามาแข่งขัน คนมองว่าเติร์ทแตกต่างและน่าสนใจ แต่ถ้าวันหนึ่งคนเริ่มรู้สึกเฉยๆ กับเติร์ทล่ะ

 

เราว่าเป็นสิ่งดี เพราะอยากให้คนแบบเรา คนที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน คนที่แตกต่าง ถ้าวันไหนคนมองว่าคนเหล่านี้ปกติ เติร์ทจะแฮปปี้มาก การที่เราไม่เหมือนใครเป็นข้อดี แต่ก็มีข้อเสียด้วยเพราะเติร์ทไม่ได้อยากแปลกประหลาด แค่เป็นคนที่อยากทำอะไรที่ตัวเองต้องการ ทำไมคนอื่นต้องมารู้สึกแปลกล่ะ ถ้าคนแบบเติร์ทเป็นคนที่ไม่แปลกได้ คนทุกคนบนโลกนี้คงเปิดใจมากๆ เติร์ทรู้ว่ายากนะ แต่ไม่ว่าคุณจะรวย จะจน จะเป็นกระเทย เป็นเกย์ ทอม ดี้ หรือเลสเบี้ยน นั่นเป็นสิทธิของเขาไม่ใช่เรื่องของคุณ ทำไมคุณต้องทำให้ชีวิตเขายากด้วยล่ะ เอาเวลาไปดูแลชีวิตตัวเองให้ดีน่าจะดีกว่านะ

รู้สึกว่าตัวเองกำลังกรุยทางให้คนอื่นอยู่หรือเปล่า

เติร์ทอยากเป็นตัวแทนให้คนรู้ว่าเราต้องกล้าเพื่อตัวเอง ต้องทำตามความฝัน แต่เติร์ทไม่ได้อยากเปลี่ยนโลกใบนี้ เติร์ทแค่อยากบอกทุกคนว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะเป็นอะไร แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพราะเราเกิดมาคนเดียวแล้วตายคนเดียว คนรอบตัวที่คิดไม่ดีกับคุณไม่ได้สำคัญเลย ในเมื่อเราเกิดมาแบบนี้แล้วจะให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง เติร์ทว่ายากไปสำหรับเรา สมมติถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วคนในสังคมนี้เป็นกะเทยหมด ให้คุณไปเป็นกะเทยจะเป็นไหมล่ะ รู้สึกอึดอัดไหมล่ะที่สังคมบังคับให้เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น เพราะฉะนั้นรู้สึกว่าคุณต้อง stand up for yourself เพื่อทำให้ตัวเองมีที่ยืนโดยที่คุณไม่ต้องเจิดจรัสหรืออะไรเลย เพื่อให้ you comfortable in your own skin ให้ได้ คุณต้องมีความสุขในตัวคนคนนี้ที่อยู่ในตัวคุณให้ได้ต่างหาก

แล้วจะจัดการยังไงถ้าสุดท้ายเขาก็ตั้งแง่กับเราอยู่ดี

 

คนที่ไม่อยากยอมรับเราก็จะไม่ยอมรับอยู่แล้ว คุณต้องยอมรับก่อนว่าตัวเองเป็นยังไง วันไหนที่ยอมรับได้จะเป็นวันที่คุณมีความสุขที่สุด เวลามีคนมาด่าเติร์ท อุ๊ย! มึงเป็นกะเทย มึงเป็นอะไรเนี่ย ผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นตุ๊ดหรืออะไรของมึงเนี่ย เติร์ทบอกไปเลยว่าพ่อแม่เติร์ทยังไม่ถามเลยว่าเราเป็นอะไร แล้วมึงเป็นใครถึงมาถามกู

รับมือกับฟีดแบกด้านลบที่เจอมายังไงบ้าง

I don’t care. Fuck it! เติร์ทไปกดไลก์คนคอนเมนต์ด่าด้วย เรารู้ว่าคุณด่าเรา (หัวเราะ) แล้วไง เขาทำได้แค่ด่า กล้าเดินมาหาเราในชีวิตจริงไหมล่ะ มาสิ เดินมาสิเกลียดเนี่ยเดินมาเลย (หัวเราะ) แต่เติร์ทมองว่านี่เป็นเรื่องตลก มีอันหนึ่งมาด่าว่า Third, you are fucking idiot. I hate you. อะไรวะ เติร์ทว่าแม่งบ้าว่ะ คนอะไรอยู่ดีๆ มานั่งคอมเมนต์บ้าๆ ใส่คนอื่น ว่างเหรอ เติร์ทไม่แคร์นะ แต่การที่คนมาด่าเรา เติร์ทรู้สึกว่าเป็นข้อดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยยังมีคนที่สนใจเราอยู่ เติร์ทรู้ว่าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ถ้าคนชอบเสือกเขาจะเสือกอยู่ดี พวกเขาไม่มีตัวตน นี่คือทางที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้คนอย่างพวกเขา เราจะไม่ใช้พลังงานกับเขาให้ตัวเราเหนื่อยเปล่าๆ

เติร์ทวางเส้นทางวงการแฟชั่นของตัวเองในอนาคตยังไงบ้าง

 

เรารู้ว่าอาชีพนี้ไม่จีรัง เป็นอาชีพที่รักและอยากทำมากที่สุด แต่สุดท้ายเราก็ต้องแก่ ต้องมีแผนสำรอง เพราะอาชีพนี้ไม่ได้ทำเงินขนาดนั้น เติร์ทเคยรับงานเดินฟรีด้วย ที่ยอมทำแบบนั้นเพราะเรารัก ถ้าอยากรวยมาทำอาชีพนี้คิดผิดแล้วล่ะ ค่าตัวจะเป็นข้อสุดท้ายที่เรากังวล เติร์ทรู้สึกว่าชีวิตเราเรียนรู้และทำอาชีพได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ฉะนั้นทำอะไรแล้วมีความสุขและดีทำไปเถอะ ไม่ต้องแคร์คนส่วนใหญ่ เมืองไทยก็แปลกเหมือนกัน พอเราคิดถึงตัวเองและรักตัวเอง เขาหาว่าคุณเห็นแก่ตัว แต่พอคุณคิดถึงคนอื่นมากไปเขาหาว่าไม่รักตัวเอง แล้วอะไรคือตรงกลางของสองสิ่งนี้ ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรายืนอยู่บนโลกนี้ได้คือการเป็นตัวเอง เป็นคนดีและใจดีกับคนอื่นๆ

บอกความฝันอื่นๆ ที่อยากทำหน่อยได้ไหม

สิ่งที่เติร์ทอยากทำให้ได้คือเดินทางไปอินเดียและบาหลี เติร์ทอยากไปเรียนโยคะแล้วกลับมาเป็นครูสอนลูกศิษย์ เติร์ทสนใจเรื่องจิตใจ พลังงาน และความสงบ เราอยากสอนให้คนสงบขึ้น ชิลล์กับชีวิต ไม่ต้องเคร่งเครียด ไม่ต้องพยายามหาทางมากมายให้เรามีความสุข เติร์ทคิดว่าแค่คุณนั่งอยู่ตรงนี้ก็มีความสุขได้แล้ว คนอื่นอาจไม่เคยเห็น แต่เติร์ทมีหลายเลเยอร์ มีมุมที่ตัวเองสงบ ความคิดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของคน เราต้องออกมาใช้ชีวิต หลังจากตายไปแล้วเราไม่มีทางรู้เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ข้างในตัวเองมีความสุข สมองต้องปลอดโปร่ง เราจะไม่ใช้ชีวิตแย่ๆ แล้วอยู่ไปวันๆ แน่นอน

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR