“อย่ารับใช้เบื้องบน โปรดจงรับใช้ประชาชน” คุยกับแอดมินเพจข้าราชการปลดแอก

อย่างเข้าใจง่ายที่สุด ถ้าระบบข้าราชการดี อย่างน้อยบทสัมภาษณ์นี้ผมน่าจะเปิดเผยชื่อ-นามสกุลจริงของสองแอดมินเพจ ข้าราชการปลดแอก ได้

แต่อย่างที่รู้กัน ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากยอมรับ ผมจำใจต้องปิดบังตัวตนของพวกเขาและเรียกด้วยนามสมมติอย่าง แอดมินเอ และ แอดมินบี แทน

เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในข้าราชการในระบบ แต่เพราะการเป็นคนในที่เห็นปัญหาได้อย่างแจ่มชัด พวกเขาถึงเลือกเปิดเพจนี้ขึ้นมาเพื่อเปิดเผยและพูดถึงปัญหา จนในปัจจุบันแม้จะยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีดี ยอดไลก์เพจ ข้าราชการปลดแอก กำลังจะแตะ 60,000 ไลก์แล้ว และพวกเขายังได้รับเรื่องราวหลังไมค์เกี่ยวกับปัญหาในระบบราชการทุกวัน ราวกับสิ่งที่หมักหมมไว้นั้นไม่มีวันจบสิ้น 

และเมื่อรวมกับเหตุผลที่ช่วงนี้วิกฤตโควิด-19 ทำให้ระบบราชการถูกหยิบขึ้นมาวิจารณ์มากขึ้น ผมจึงติดต่อไปหาพวกเขาทั้งคู่เพื่อนัดหมายพูดคุยกันถึงปัญหาที่ว่า

ทำไมระบบราชการมักล่าช้า คำว่า ‘นายสั่งมา’ มีอยู่มากน้อยแค่ไหน และอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่งไม่กล้าออกมาส่งเสียงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

ผมหอบความสงสัยทั้งหมดนี้ไว้เพื่อสนทนากับพวกเขาผ่านช่องทางออนไลน์ในค่ำวันหนึ่งหลังเวลาราชการ

น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งคู่ต้องปิดกล้อง

น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งคู่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้

และน่าเสียดายที่บทสัมภาษณ์นี้ไม่น่าจะไปถึงคนเบื้องบน

แม้เราจะคุยกันถึงปัญหาด้วยเจตนาที่อยากให้หลายๆ อย่างในประเทศนี้ดีขึ้นก็ตาม

อัพเดตสถานการณ์กันหน่อย โควิด-19 กระทบงานพวกคุณบ้างไหม

แอดมินเอ : ผมว่างานราชการส่วนใหญ่เป็นงานที่ได้รับผลกระทบโคตรน้อย เงินเดือนก็เท่าเดิม ประเมินเลื่อนขั้นตามปกติ ปริมาณงานบางหน่วยก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แต่ถ้าว่ากันถึงเนื้องานก็อาจมีการปรับมาทำในออนไลน์บ้างจากที่ต้องทำเป็นเอกสาร แต่ผมก็นับว่านั่นเป็นก้าวแรก โควิดทำให้หลายๆ งานเปลี่ยนมาทำออนไลน์ได้ ซึ่งตลกมากนะ ทั้งที่มีมติมาตั้งนานแล้วให้ปรับเปลี่ยน แต่ก็ไม่ทำกันสักทีจนมีนายสั่ง ผมว่าแค่นี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งแล้วที่สามารถโยงเข้าหาปัญหาในระบบราชการในคำถามต่อๆ ไป

การจัดการของรัฐต่อวิกฤตครั้งนี้ที่หลายครั้งดูช้ามาก ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง มันทำให้พวกคุณเข้าใจหรือเห็นปัญหามากกว่าคนอื่นหรือเปล่า

แอดมินบี : ผมไม่เคยเข้าใจเลยกับความช้าของระบบ อาจเพราะผมเพิ่งเข้ามาทำงานราชการด้วย แต่ผมก็เคยคุยกับรุ่นพี่ว่าที่จริงแล้วระบบสามารถเร็วได้ขอแค่นายสั่ง ทุกอย่างเสร็จได้แค่ในวันเดียว ดังนั้นผมว่ากับปัจจุบันก็สามารถพูดได้ว่าเป็นปัญหา หลายเรื่องติดกฎระเบียบมากมายไปหมด ทั้งที่สามารถทำได้เร็วกว่านี้ 

แอดมินเอ : ส่วนผมเองเข้าใจนะว่าทำไม แต่ก็เป็นความเข้าใจที่ผมไม่เคยยอมรับสภาพ ผมเหมือนกับทุกคนนั่นแหละที่คิดว่า ‘วิกฤตแบบนี้คุณทำได้แค่นี้เองเหรอ’ คุณยังเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์อยู่อีก ซึ่งต้องบอกก่อนว่าในเวลาปกติ การเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ของราชการไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ระเบียบที่ออกมามีไว้เพื่อบังคับให้แต่ละขั้นตอนโปร่งใสที่สุด แต่ผลเสียคือในวิกฤตแบบนี้คุณลัดขั้นตอนไม่ได้ถ้าไม่มีนายสั่ง แต่กับเรื่องวัคซีนคงไม่ต้องพูดแล้วมั้ง กระบวนการก็โกง ผลลัพธ์ก็แย่ สุดยอดของความห่วยแล้ว

ข้าราชการปลดแอก

ในแวดวงข้าราชการที่คุณอยู่ มีการออกมา call out มากน้อยขนาดไหน

แอดมินบี : ผมว่ามีมาตลอดนะ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ยังไม่มีการกระตุ้นขนานใหญ่ให้ข้าราชการออกมาแสดงออกได้ หลายๆ คนยังติดอยู่กับความกลัว และพูดตามตรงขนาดพวกเราเองก็ยังไม่กล้าเปิดหน้าเลย

แอดมินเอ : แต่กับผมเองในแพลตฟอร์มส่วนตัวผมก็ด่าแบบเปิดหน้านะ ด่ามาตั้งแต่รัฐประหารแล้ว ด่าตั้งแต่คนในที่ทำงานไม่มีใครกล้าด่า (หัวเราะ) แต่ถ้ามองถึงภาพรวม ผมคิดว่าโควิดคือตัวกระตุ้นเรื่องนี้เลย ตอนนี้ผมเห็นข้าราชการหลายคนมากที่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจการเมืองแต่ก็เริ่มออกมาบ่น หรือแม้กระทั่งบางคนที่เคยเป่านกหวีดก็เริ่มออกมายอมรับแบบเจื่อนๆ ว่ารัฐบาลบริหารไม่ดีจริงๆ หรือแม้กระทั่งบางคนเริ่มไปม็อบด้วยซ้ำ เหมือนบาร์ตรงนี้ค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งมันก็มาจากความไม่พอใจที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการบริหารจัดการที่แย่ การแสดงออกจึงมากขึ้น แต่ผมคิดว่าควรทำได้มากกว่านี้ มันควรเป็นเรื่องปกติ แต่ผมก็ไม่อยากเอาตัวเองไปพูดแทนหรอก เพราะในอีกมุมผมก็เข้าใจว่าในหลายๆ หน่วยงาน การออกมาพูดมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่เหมือนกัน 

คุณว่าการเป็นข้าราชการทำให้มีอิสระในการออกมา call out หรือพูดถึงปัญหาน้อยกว่าอาชีพอื่นไหม

แอดมินเอ : ผมคิดแบบนั้น ทั้งที่การปล่อยปัญหาไปโดยไม่ค้านคือความผิดของข้าราชการ แต่บ้านเรากลับทำให้การผิดต่อหน้าที่ตรงนี้ไม่ถูกให้ค่า เราดันไปให้ค่ากับระบบที่ต้องทำตามผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น การไม่ค้านว่าทำไมสั่ง Sinovac เข้ามา เป็นต้น

แอดมินบี : ซึ่งถ้าถอยออกมามอง ผมว่าระบบราชการเป็นกระจกที่สะท้อนการเมืองของประเทศในเวลานั้นๆ นั่นแหละ เพราะถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ไทย ระบบราชการในช่วงที่การปกครองเป็นประชาธิปไตยก็ไม่ใช่แบบนี้ มันมีพื้นที่ให้คนในองค์กรเสนอหรือพูดไอเดียได้มากกว่า แต่พอเป็นรัฐเผด็จการ ระบบราชการก็เป็นเครื่องมือของคนข้างบน ถ้าเขามีความคิดแบบไหนก็ส่งผ่านมาให้คนข้างล่าง ทำให้คนข้างล่างไม่กล้าคิดต่างไปกับคนข้างบนในที่สุด

แอดมินเอ : เหมือนต้นตอของปัญหาคือการที่คุณมองบน คุณเน้นรับใช้ผู้มีอำนาจ แต่คุณไม่มองล่าง คุณไม่รับใช้ประชาชนเลย คุณคิดแค่ให้คนข้างบนได้กิน ได้กำไร แต่ประชาชนตายหมด นี่แหละคือยอดของปัญหาระบบราชการ ตัวชี้วัดของงานคุณแทบไม่ยึดโยงกับประชาชนเลย หลายงานคุณแทบตอบไม่ได้ว่าประเทศชาติได้ประโยชน์ยังไง มีแค่ ‘อ๋อ งานนี้ผู้ใหญ่สั่งมา’ จบ 

พอเป็นแบบนี้ ถ้าข้างบนดีก็จะดี ถ้าข้างบนห่วยก็จะห่วย

แอดมินบี : ใช่ เพราะพอระบบราชการเป็นแบบนี้ ทั้งนโยบายและการประเมินให้คุณให้โทษเลยถูกส่งผ่านจากบนลงล่าง ทำให้ข้าราชการระดับล่างถึงกลางเขามองขึ้นบนอย่างเดียว เพราะไม่มีอะไรจูงใจเขาให้บริการประชาชนมากขึ้น เขาแค่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาใจนายให้ได้มากที่สุด ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวเลขที่นายต้องการ เลยเป็นอย่างที่เห็นกัน

ข้าราชการปลดแอก

ทั้งที่ใจความหลักของอาชีพข้าราชการคือการบริการพี่น้องประชาชน แต่เท่าที่ฟัง เหมือนคนที่ทำงานข้าราชการบางส่วนไม่คิดถึงแง่นี้เลย บางคนคิดแค่ความมั่นคงของตัวเองด้วยซ้ำ ในฐานะคนใน คุณเห็นอะไรในประเด็นนี้บ้างไหม

แอดมินบี : ถ้าในฐานะที่ทำงานมาและเป็นแอดมินเพจ ผมว่าคนที่เข้ามาทำงานข้าราชการมีหลายเหตุผลต่างกันไป แบบที่มีความตั้งใจดีและอยากพัฒนาระบบเพื่อประชาชนก็มีอยู่มากพอสมควรเลย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ต้องยอมรับว่าในอีกมุมก็มีคนที่ไม่ได้มีแพสชั่นแบบนี้เหมือนกัน แต่ผมว่าสิ่งที่สำคัญคือพอคนทั้งสองแบบนี้เริ่มทำงาน พวกเขาจะเข้าไปเจอชุดความคิดและประเพณีองค์กรแบบเดียวกันที่ทำให้หลายความตั้งใจดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้

แอดมินเอ : ในมุมของคนที่ทำงานข้าราชการมานานกว่า ผมยืนยันอีกเสียงว่าคนที่เข้ามาทำงานเพราะอยากบริการพี่น้องประชาชนมีจริงๆ นะ แต่ผมก็เห็นด้วยว่ามีหลายกรณีมากที่ระบบราชการอันแสนเชื่องช้าบั่นทอนกำลังใจคนทำงานไปโคตรเยอะ ทำให้บางคนที่ยังเหลือความตั้งใจก็เลือกลาออกทั้งที่ไม่ได้อยากออก แต่พอความพยายามในการเปลี่ยนแปลงและผลักดันไม่เกิดขึ้น เขาก็เลือกออกไปอยู่เอกชนดีกว่าเพราะสามารถสร้างเนื้องานได้มากกว่านี้เยอะ หรือบางคนที่เลือกอยู่ต่อก็ถูกบั่นทอนจนกลายเป็นคนที่กลัวพลาด ไม่กล้าเสนออะไรดีๆ แล้วก็มี 

ข้าราชการปลดแอก

ฟังดูแล้วการแก้ไขระบบนี้ต้องอาศัยคนข้างบนเป็นหลักอยู่เหมือนกันนะ 

แอดมินเอ : (ถอนหายใจ) ส่วนหนึ่งก็คงใช่ เพราะเอาง่ายๆ อย่างเรื่องการทำงานเอกสารที่เปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลในช่วงโควิดนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 วันขอแค่นายสั่ง ทั้งที่มีมติมาตั้งนานแล้ว 

แอดมินบี : แต่อีกส่วนหนึ่งผมว่าข้าราชการตัวเล็กๆ ก็ยังมีหวังอยู่นะ อาจยึดจากประสบการณ์ตัวเองที่เคยดำเนินเรื่องระเบียบการแต่งกายจนในองค์กรเปลี่ยนข้อบังคับให้เป็นอย่างที่เราเสนอได้ และจากประสบการณ์การทำเพจ ผมว่าก็ยังมีอีกหลายไอเดียจากข้าราชการระดับล่างถึงกลางที่ดีมากๆ แค่พวกเขาไม่มีเวทีให้ออกมาพูดแบบผม ดังนั้นถ้าสมมติในแต่ละองค์กรมีเวทีหรือโอกาสให้ทุกคนมาเสนอความคิดได้ ผมกล้าพนันนะว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่สามารถช่วยองค์กรได้เกิดขึ้นจากเวทีนั้นแน่ๆ

แล้วในมุมมองคุณ แนวโน้มของระบบราชการกำลังเป็นไปในทิศทางไหน ดีขึ้นหรือแย่ลง

แอดมินบี : ผมว่าดีขึ้น อย่างทุกครั้งที่เพจนำเสนอเรื่องความสิ้นหวังของระบบราชการ ผมไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังเลย ผมเปี่ยมด้วยความหวังเสมอ เพราะมีหลายคนมากที่เมสเซจมาหลังไมค์เพจว่าขอบคุณมากที่มีเราอยู่ เขาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การพูดคุยกันแบบนี้ทำให้จากที่หลายคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ เราและพวกเขาจะได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ยังคงยึดมั่นอยู่คือเรื่องสำคัญ ดังนั้นต่อให้ภาพที่เห็นตอนนี้อาจดูสิ้นหวัง แต่ผมก็เชื่อมั่นว่าหลายคนยังมีความหวังอยู่ และความหวังนี้แหละจะทำให้คนมีพลังในการส่งเสียงออกไปในองค์กรได้มากขึ้นในอนาคต

แอดมินเอ : และพอคุณมีหวัง มีความเชื่อมั่นจนกล้าออกมาส่งเสียง ผมว่านี่แหละคือความเปลี่ยนแปลงในก้าวแรกที่โคตรสำคัญ เพราะพอคุณกล้าออกมา แน่นอนว่าจะมีคนเห็นและได้ยิน อย่างผมเองที่ด่ารัฐบาลมาตลอด หัวหน้าก็เตือนผมมา 3-4 ครั้งแล้วแบบอ้อมๆ จนวันหนึ่งที่หัวหน้าเรียกผมเข้าไปคุยส่วนตัว กลายเป็นว่าวันนั้นผมกับเขาได้แลกเปลี่ยนกันเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ได้พูดคุยกันถึงมุมมองทางการเมืองซึ่งออกมาดีมาก นั่นทำให้ผมเห็นเลยว่าการที่ตัวเองออกมาพูดทุกวันสามารถสร้างผลกระทบได้ เพราะหลังจากนั้นถึงแม้หัวหน้าผมจะไม่กล้าออกหน้า แต่ถ้ามีอะไรหัวหน้าจะส่งข้อมูลให้ผมช่วยสื่อสารแทน ดังนั้นผมมองว่าตอนนี้มันขาดแค่พื้นที่และคนที่กล้านะ เพราะถ้าสุดท้ายข้าราชการออกมาพูดมากพอ เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติ วัฒนธรรมแบบเดิมก็จะหายไป

ข้าราชการปลดแอก

แล้วถ้าเป็นกรณีของข้าราชการที่อยู่ในองค์กรที่การออกมาพูดมีราคาที่ต้องจ่าย คุณมีคำแนะนำไหมว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง

แอดมินบี : ผมเข้าใจมากๆ ที่หลายคนกลัว เพราะมีกรณีที่คนออกมาพูดถูกขู่จากเบื้องบนอยู่จริงๆ แต่ผมว่าในท้ายที่สุดเราก็สามารถออกมาพูดได้ อาจใช้วิธีในรูปแบบของการรวมตัวกันหรือส่งมาที่เพจเราก็ได้

แอดมินเอ : เพราะแค่คุณส่งเรื่องมา ผมว่านั่นก็เป็นความกล้ามากแล้ว ถ้าลองไปอ่านหลายๆ โพสต์ของเพจ ถึงแต่ละครั้งจะไม่เปิดเผยชื่อแหล่งข่าว แต่อ่านแป๊บเดียวก็รู้ว่าคือหน่วยงานไหน นี่คือดีมากแล้ว เพราะการออกมาเปิดเผยความเหลวแหลกของหน่วยงานตัวเองควรเป็นเรื่องปกติ

นี่คือการทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มันจะทำลายกรอบความคิดในตอนนี้ที่คิดว่าราชการเป็นพวกเดียวกับรัฐเผด็จการได้ แล้วถ้าสุดท้ายราชการมีประชาชนให้พิงหลังเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าระบบก็ไม่สามารถดึงราคาที่ต้องจ่ายจากคุณได้หรอก 

ยกตัวอย่างกรณีการเปิดเผยรายงานการประชุมเรื่องวัคซีน Sinovac เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ได้ ที่ข้อ 10 มีการพูดถึงการยอมรับว่า Sinovac ไม่มีผลในการป้องกันแล้วจะทำให้แก้ตัวยากมากขึ้น ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการออกมาแย้งว่าสิ่งที่เบื้องบนทำแม่งผิด นี่เป็นวิธีสู้กลับอย่างหนึ่งของข้าราชการตัวเล็กๆ และเป็นการบอกกับประชาชนว่าในระบบยังคงมีคนที่สู้เพื่อพวกเขาอยู่ ดังนั้นถึงนาทีนี้คงต้องใช้คำว่าปลุกเร้าแล้วกัน ผมก็อยากให้ข้าราชการออกมาทำหน้าที่ตรงนี้กันเยอะๆ 

ข้าราชการปลดแอก

สุดท้ายถ้าทุกคนออกมาแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ คุณว่าระบบข้าราชการจะมีหน้าตาแบบไหน

แอดมินเอ : (นิ่งคิดนาน) ผมว่าอย่างน้อยข้าราชการก็สามารถถกเถียงกับนักการเมืองได้ นโยบายหลายๆ อย่างจะได้ออกมาผ่านกระบวนการคิดในหลักวิชาการ ไม่ใช่มาจากอารมณ์หรือดำริของใครแบบนี้ ซึ่งถ้าภาพแบบนั้นเกิดได้และทำให้ประชาชนเห็นได้จริงว่าข้าราชการและการเมืองสามารถพัฒนาประเทศได้ ผมว่าคนรุ่นใหม่ในอนาคตคงมองการทำงานกับภาครัฐเป็นเรื่องที่เฟี้ยว และจะยิ่งดึงให้คนเก่งๆ อยากมาทำงานกับภาครัฐมากขึ้นไปอีก

แอดมินบี : เพราะแค่นึกภาพว่าข้าราชการแและนักการเมืองทำงานร่วมกันเพื่อให้งานออกมาตรงตามนโยบายที่ประชาชนเลือกมาและบริการประชาชนด้วยใจจริง ผมว่านั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมแล้ว


Call Out By Your Name คือซีรีส์ที่รวมการต่อสู้เรียกร้องในนามประชาชนผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมและได้รับผลกระทบจากรัฐในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 อ่านทุกตอนได้ที่เว็บไซต์ a day

AUTHOR