ท่ามกลางวงดนตรีสัญชาติไทยที่มีอยู่มากมายในตอนนี้ เรากลับหานักร้องนำหญิงหรือวงดนตรีที่มีผู้หญิงขับเคลื่อนได้น้อย โดยเฉพาะการเฟ้นหาศิลปินหญิงที่มีตัวตนและผลงานที่แข็งแรงก็ยิ่งยาก
พาย-กัญญภัค วุธรา แห่งวง My Life As Ali Thomas ศิลปินสาววัย 29 ปี คือหนึ่งในศิลปินหญิงที่เราคิดว่าเธอแข็งแรงทั้งแง่ตัวตนและผลงานที่สร้างสรรค์ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพลง Daughter and Son ของวงที่เธอปลูกปั้นมากับมือปรากฏบนชาร์ตเพลงอินดี้ Cat Radio พร้อมน้ำเสียงแหบเท่ ฝีไม้ลายมือการบรรเลงดนตรีโฟล์กกลิ่นอายอเมริกันจนเป็นเสน่ห์ที่เท่และซื่อตรง มัดใจคนฟังให้ตกหลุมรักพวกเขาอย่างอยู่หมัด สำหรับเรานี่คือวงอินดี้โฟล์กเสน่ห์ล้นที่ผุดขึ้นมาไม่บ่อยในตลาดเพลงไทย พายและวงจึงเป็นสีสันที่น่าจับตาของวงการ
เธอรับบทบาทนักร้องนำ นักแต่งเพลง และมือกีตาร์ เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนวง เนื้อเพลงและเมโลดี้ของ My Life As Ali Thomas เต็มไปด้วยความไพเราะ บอกเล่าเรื่องชีวิต เกี่ยวพันกับความรัก ความหวัง และการเปลี่ยนแปลง หลังการเปิดตัวที่น่าจดจำ ซิงเกิล Winter’s Love ก็ตามมา รวมถึง Cordelia และ Kiss ที่ได้รับกระแสที่ดีจากคนฟัง พวกเขายังสร้างชื่อด้วยการเล่นสดจนเป็นกระแสปากต่อปาก ในที่สุดปี 2559 Paper อัลบั้มเต็มก็คลอดออกมา
จนกระทั่งปลายเดือนพฤศจิกายน พายสร้างความประหลาดใจให้คนดูหนัง เมื่อเธอไปปรากฏตัวใน Die Tomorrow ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ด้วยระยะเวลาเพียง 3 นาที แต่ขโมยซีน เป็นที่จดจำและเป็นถูกพูดถึงกันในหมู่คนดู ด้วยมาดที่เท่ กวน เถรตรง และทะมัดทะแมง
เรามองพายเป็นศิลปินหญิงที่ภาพลักษณ์ชัด เก่ง และมีความสามารถครบ แม้ช่วงนี้งานชุก แต่พายก็สละเวลามาพบเราที่ย่านเอกมัยเพื่อคุยเรื่องตัวตน ผลงานเพลง และงานแสดง ผืนพรมแดนใหม่ที่เธอลองกระโดดมาสัมผัส
พูดถึงผลงานการแสดงครั้งแรกในชีวิตหน่อย
สนุกดี พายรู้สึกว่าเราไม่เคยรับบทบาทแบบนี้ เราไม่ได้แสดงขนาดนั้นเพราะพี่เต๋อให้เราเป็นตัวเรา ปกติเราแต่งตัวแบบในหนังอยู่แล้ว เราเอาตัวเองไปใส่ไว้ในสถานการณ์หนึ่งที่ไม่จริงแต่อยู่บนพื้นฐานความจริง คนถามพายว่าจะไปทางนี้มั้ย เราคิดว่าคงไม่ แต่ถ้ามีบทที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจก็โอเค เพราะสิ่งที่เราโฟกัสคือเพลง พายว่าการแสดงเป็นการพักและแก้เลี่ยนจากการทำเพลง การแสดงตรงนี้ยังอยู่ในกรอบตัวเองเพราะเรายังไม่รู้เลยว่าแอคติ้งคืออะไร สำหรับเราคือการเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่มีสคริปต์วางไว้ คุยกับวี (วิโอเลต วอเทียร์) ก็ตลกดี เหมือนเรานั่งคุยกับเพื่อน แต่แค่มีคนถ่ายเราไว้เฉยๆ ซึ่งเราเอนจอยนะ
ทำไมถึงเลือกเล่นหนังที่เต๋อกำกับล่ะ
เขาเลือกเรานะ (หัวเราะ) พายเคยแคสต์โฆษณาของเขาไปเรื่องหนึ่งซึ่งเจ๊งไปเลย เราว่าเพราะพี่เต๋อยังไม่รู้จักเราขนาดนั้น เขานึกไม่ออกว่าเราเป็นยังไง เรายังไม่เคยเห็นสคริปต์เลยแต่ก็เข้าไปแคสต์ งงมาก ผ่านไปพักใหญ่พี่เต๋อเขาก็ให้พายมาแคสต์เรื่อง Die Tomorrow พายอ่านสคริปต์แล้วลองอิมโพรไวส์กับวีปรากฏว่าผ่าน แต่พอมาเล่นจริงก็ยากเพราะเป็นลองเทค และการอิมโพรไวส์ทำให้เราพูดไม่ตรงกัน ต้องใช้เวลาถ่ายทำรวมๆ แล้ว 1 วัน ก่อนหน้ามีเวิร์กช็อป 1 วัน พายคิดว่าเป็นเรื่องของโพสิชั่นและบล็อกกิ้งด้วย
เริ่มชอบดนตรีตอนไหน
เรามีพี่สาวคนหนึ่งเขาเล่นกีตาร์ ตอนเด็กๆ พี่ทำอะไรเราจะทำตาม พี่เล่นกีตาร์เราก็เล่นบ้าง ช่วงนั้นน้าเป็นคนสอนเล่นคอร์ดง่ายๆ สุดท้ายพี่เราเลิกเล่น แต่เรายังเล่นต่อมาเรื่อยๆ พายเริ่มเล่นตอนประถมลองเลียนแบบพี่ว่าเขาเล่นยังไง เล่นไปอย่างนั้นยังไม่เข้าใจดนตรี แต่พอเราไปเรียนเมืองนอก เราไม่ได้เล่นเก่ง แต่ชอบใช้เวลาอยู่กับดนตรี เมื่อเรียนแล้วเบื่อโลกหรือเบื่อเพื่อนเราจะอยู่ในห้องกับกีตาร์ กลายเป็นพื้นที่ที่เราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบาย เอาไว้ผ่อนคลาย จนกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ได้ลงมือสร้างทุกอย่างขึ้นเอง ไม่มีใครมาขัดใจเรา เหมือนแต่ละเส้นของกีตาร์ แต่ละโน้ตที่เราเล่นคือตัวเอง เราสร้างโลกของตัวเองที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ
เรียนร้องเพลงมาหรือเปล่า
ไม่ได้เรียน เราร้องเอง ร้องไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้เป็นนักร้อง แค่ร้องเพลงสื่อสารสิ่งที่ตัวเองทำออกมา ให้เราไปร้องเพลงอื่นคงไม่เวิร์ก ต้องร้องเพลงที่เราเขียน เราร้องเพลงคนอื่นได้นะ แต่ว่าคงร้องเฉยๆ ไม่ใช่จุดที่เป็นเราเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เรียกตัวเองเป็นนักร้องตอนนี้เป็นอะไร
พายไม่ใช่นักร้อง ไม่ใช่ศิลปิน ไม่เป็นอะไรสักอย่าง เราคือพาย แค่เป็นตัวเอง ตอนนี้รู้สึกว่าเราเป็นคนที่เล่นดนตรีอยู่ในห้องคนเดียวอยู่เลย ไม่ใช่ somebody คนอาจรู้จักเรามากขึ้น มีเพื่อนมากขึ้น เป็นเพื่อนที่เราไม่ค่อยรู้จักเขา แต่เขารู้จักเรา
สิ่งไหนที่ทำให้เรารู้สึกแล้วว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง
อาจเป็นเพราะเรารู้สึกว่าเราทำอย่างอื่นไม่ได้ เราทำสิ่งนี้แล้วมีความสุข ความสุขของเราเกิดเป็นเส้นทางที่ชัดเจน เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะโตมาเป็นนักร้อง แต่ท้ายที่สุดเราอยู่ในส่วนที่ต้องตัดสินใจ แต่เราไม่เคยไปผลักดันมัน เป็นธรรมชาติมาก เราเดินไปตามทางที่เกิดขึ้นข้างหน้า เราเอาส่วนนี้มาเป็นอาชีพมากขึ้นจนการขายซีดีเพลงกลายเป็นธุรกิจเล็กๆ ขึ้นมา
ทำไม My Life as Ali Thomas ถึงมีแนวเพลงแบบอเมริกันโฟล์ก
เราไม่ได้ล็อกว่าต้องเป็นแนวโฟล์กเสมอไป อัลบั้มนี้อาจจะออกโทนโฟล์ก แต่ความจริงเราโฟล์กอยู่คนเดียว คนอื่นในวงไม่ได้โฟล์ก พอคนฟังเสียงร้องเรากับเสียงกีตาร์อาจจะคิดว่ามันดูโฟล์ก แต่จริงๆ พายว่าวัตถุดิบต่อไปเราอาจจะเริ่มเห็นสิ่งใหม่ เพราะลึกๆ ทุกคนในวงเราชอบดนตรีหลากหลาย พายเองก็ชอบฟังหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือเพลงโฟล์ก ส่วนตัวพายชอบการร้องแบบนี้ เพราะโตมากับเพลงคันทรีของ The Eagles
เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอเมริกันโฟล์ก แต่เพลงส่วนมากมาจากฝั่งอเมริกัน เราชอบฟังกับคุณพ่อ เขาเปิดเพลงในรถ ส่วนตัวเพลงแนวนี้มีความจริงใจ ความเบา ความอ่อนน้อมถ่อมตัว และซื่อตรงกว่าเพลงแบบอื่น
โลกดนตรีพาพายไปเจออะไรบ้าง
ดนตรีพาไปเจอโลกของการแสดงต่อหน้าคนดูอย่างจริงจัง แล้วการเล่นดนตรีไม่ได้ง่ายเหมือนที่เราคิดไว้ตอนแรก พายไม่เคยเล่นสดบนเวทีมาก่อน มันยากมาก มีรายละเอียดเยอะมากๆ ต้องแก้ไขสถานการณ์และปัญหาเฉพาะหน้าตลอด ต้องใช้สมาธิสูงเหมือนการขับรถ มีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งถ้าเราไม่ได้เข้ามาตรงนี้จริงจัง พายว่าเราคงไม่มีวันรู้ว่านักดนตรีใช้สมองและใช้สติบนเวทีเยอะ
ทำยังไงให้มีสติ
เวลาเราขึ้นไปร้องเพลงมีคนดูเยอะ ต้องทำให้คนดูไม่ส่งผลกระทบกับโลกส่วนตัวของเรา เรากำลังอินอยู่ในโลกของเรา พอเราลืมตาแล้วเห็นคนมองมา เรายังไม่ชิน จะหลับตาทันทีเลย (หัวเราะ) เพราะโลกสองใบนี้ตีกันมาก ขณะเรามีความสุขกับการทำดนตรีในโลกส่วนตัว แต่ตอนนี้กลับมีคนมาดูเราในช่วงเวลาที่เรากำลังมีความสุขกับตัวเอง ฉะนั้นหน้าที่ของพายไม่ใช่การร้องเพลงเพื่อร้องให้ดี แต่เราต้องร้องเพลงให้จริงที่สุด ถ้าร้องแล้วเราทำให้ตัวเองเชื่อได้ว่าเพลงนี้คือตัวตนเรา ร้องให้มีความสุข แค่นี้ประสบความสำเร็จแล้ว
ทำหน้าที่ตรงนี้กดดันไหม
กดดัน แต่เป็นความกดดันเชิงบวก เราดีใจนะ รู้สึกอยากให้คนที่มาดูเราเล่น ในเวลาเดียวกัน เราอยากพาคนดูออกไปผจญภัย เราคิดว่าการแสดงสดตอนนี้ยังไม่ถูกใจพวกเราเท่าไหร่ เราต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ เราไม่อยากให้คนที่มาฟังเพลงแค่ฟังเพลง แต่ต้องการให้คนรับประสบการณ์ ยังไม่มีคอนเสิร์ตไหนที่แสดงออกถึงตัวเราได้อย่างแท้จริง เราต้องการจัดคอนเสิร์ตของตัวเอง ที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่คอนเสิร์ตตัวเอง เราได้เล่นแค่ 4 – 5 เพลง แล้วเปลี่ยนเวทีไปเรื่อยๆ ส่วนด้านทักษะดนตรี เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องจิตใจและมุมมองด้วย
พายนึกภาพไว้ไหมว่าคอนเสิร์ตของวงจะเป็นแบบไหน
เราอยากทำในรูปแบบที่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต น่าจะเป็นมิวสิคัล ให้มีองค์ประกอบของการแสดงเข้าไป เพราะเรายังไม่เคยทำอะไรแบบนั้น รู้สึกว่าน่าสนุกดี ที่สำคัญคนดูต้องได้รับประสบการณ์ในรูปแบบของวงเราอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก (หัวเราะ)
เราได้ยินมาว่าพายเขียนเพลงในห้องนอน
ใช่ ห้องนอนและห้องน้ำ แต่เดี๋ยวนี้ย้ายมาเขียนในห้องน้ำแล้ว เพราะห้องนอนไม่ค่อยสบาย ห้องน้ำเย็นดี เวลาเรานั่งบนซิงก์แล้วเย็นตูด เงียบกริบ พอร้องเพลงออกมาจะมีเสียงสะท้อน ให้ความรู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียว ในห้องนอนก็เหมือนอยู่คนเดียวนะ แต่ว่าอยู่ในห้องน้ำคือการอยู่คนเดียวจริงๆ เราได้ยินทุกอย่าง ทั้งเสียงหายใจและความคิดของตัวเอง แล้วในห้องน้ำมีกระจก เราใช้ปากกาเคมีเขียนบนกระจก พอไม่ใช้ก็ลบออก สำหรับเราห้องน้ำเป็นเหมือนออฟฟิศที่ดีมาก
ส่วนมากไอเดียการทำเพลงผุดมาตอนไหน
เวลาเราหงุดหงิดไม่อยากพูด แต่มีอะไรในใจเยอะ ถ้าไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับใคร อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีดกีตาร์เล่นๆ แล้วเนื้อเพลงจะออกมา กว่าจะเป็นเพลงที่ทุกคนได้ฟังเราต้องเขียนประมาณร้อยกว่าเพลงเพื่อที่จะได้สักเพลงที่โอเค ส่วนการทำเมโลดี้ เราจะอัดเสียงทิ้งไว้ ถ้าใช้ได้เราจะกลับมาทำต่อ แล้วลองเอาไปเรียบเรียงกับวง ถ้าทุกคนเห็นภาพร่วมกัน เราจะล็อกเพลงนั้นไว้เพื่อกลับมาทำจริงจัง
วัตถุดิบสำหรับเขียนเพลงมาจากไหนบ้าง
มาจากหลายอย่าง เราบอกได้ไม่หมดหรอก เวลาคนเราเขียนสคริปต์หนัง เราต้องสร้างคาแรกเตอร์ วิธีการนี้เหมือนกับการเขียนเพลง พายคิดว่าเพลงผสมผสานขึ้นจากหลายสิ่ง เราไม่ได้เขียนเพลงจากจุด a ไปจุด b แล้วกลายเป็นงานชิ้นหนึ่ง แต่เป็นรายละเอียดระหว่างทางต่างๆ จากจุด a ไปจุด b จริงๆ เราไม่ได้ใช้เหตุผลเขียนเพลงขนาดนั้นหรอก เราใช้อารมณ์มากกว่า แต่พอเราต้องตอบคำถามเหมือนต้องคอยเอาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เราไม่ได้ใช้สมอง คำตอบเลยอาจจะเหมือนเอามาตัดแปะกันหน่อยๆ
ทำไมส่วนมากเพลงที่แต่งเป็นเพลงรัก
อย่างที่บอก พายคิดว่าเนื้อเพลงมีองค์ประกอบหลายอย่าง คนเราชอบเรื่องของความรัก แต่พายคิดว่าคำนี้ความหมายกว้าง ความรักมีเรื่องย่อยอีกหลายเรื่อง ซึ่งพายชอบมุมมองการค้นหาความรัก เป็นความรักที่เราหามันหรือว่าเราเคยมีแล้วมันสูญหายไป หรือว่าการที่เรากลัวคนที่เรารักหายไป สำหรับพายคิดว่าความรักส่งผลกระทบกับทุกอย่างที่มนุษย์ทำค่อนข้างเยอะ จนเราพูดออกมาได้ไม่หมด พายชอบมิติของความรัก มีสิ่งให้ค้นหาเยอะ เราเลยหลงใหลและเขียนออกมาเป็นเพลงได้
ดูพายชอบทำงานคนเดียว การมาทำวงดนตรียากไหม
ยากนะ เราต้องแบ่งพื้นที่กับเพื่อน เหมือนอยู่ห้องแล้วมีรูมเมต แต่พอเราผ่านจุดที่ปรับตัวให้อยู่กันมาได้ทำให้สนุกดีนะ ส่วนตัว พายคิดว่าถ้าเรามองภาพเดียวกันตั้งแต่แรกจะทำอะไรก็จะโอเค เพราะเรามุ่งหน้าไปทางเดียวกันอยู่แล้ว พายคิดว่าเหมือนการทำงานอะไร ไม่ควรที่จะมานั่งโน้มน้าวกัน ถ้าไม่ได้มองสิ่งเดียวกันแต่แรกก็ไม่ควรต้องมาทำงานด้วยกัน แต่ถ้าเราไม่ได้มองสิ่งเดียวกัน ต้องเป็นคนที่เปิดใจและยอมรับความคิดเห็นคนอื่นมากพอ เพื่อจะเรียนรู้การมองภาพร่วมเดียวกันให้ได้
เพลงของวงเรา พายเขียนเนื้อร้องเองทั้งเพลง แต่ว่าพายรู้สึกว่าการเรียบเรียงเพลงเป็นส่วนที่ใหญ่กว่า อาจเขียนเพลงสัก 30 เปอร์เซ็นต์ แต่พายคิดว่าอีก 70 เปอร์เซ็นต์ พวกเราช่วยกันเรียบเรียงดนตรีและภาพรวมต่างๆ ออกมา เพราะเราคิดว่าเพลงของพวกเรามีลายเซ็นอยู่ที่ดนตรี ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเราคนเดียว แต่คนอื่นเกี่ยวข้องกันหมด
มาตรฐานที่วางไว้ก่อนตัดสินใจว่าเราจะปล่อยผลงานออกมาคืออะไร
เราต้องชอบ จะทำอะไรแล้วแต่ถ้าเราชอบคือจบ แต่ถ้าไม่ชอบต้องทำเรื่อยๆ แก้ไขจนกว่าจะชอบ เพราะว่าถ้าเราปล่อยสิ่งที่ไม่ชอบ เราจะไม่มีจุดยืนของตัวเอง ถ้าเราทำเพื่อให้คนอื่นชอบ แต่ตัวเองไม่ชอบแล้วจะสำคัญอะไร ทุกเพลงต้องผ่านกระบวนการผลิต ทุกคนเสียเวลา เสียแรง และเสียเงิน ถ้าเราไม่ชอบทุกอย่างจะโคตรเสียเวลาเลย เพราะงั้นทำออกมาต้องคุ้มค่ากับสิ่งที่ทำ เพราะสุดท้ายแล้วพอเราตายไปมันคืองานของเรา ไม่ใช่งานของคนอื่น
บทเรียนที่ได้รับจากการทำวงนี้คืออะไรบ้าง
วงจะพาเราไปเจอประสบการณ์ทั้งที่ดีและไม่ดี เรามองว่ามันคือการผจญภัย คือการเดินทางอีกก้าวหนึ่ง เราอาจจะทำเพลงที่แตกต่างออกไป อุปสรรคทำให้เราผ่านหลายๆ เรื่องมาได้ ทุกอย่างกลายเป็นประสบการณ์ เราเจอคนหลายรูปแบบกว่าที่คิดไว้ วง My Life as Ali Thomas เป็นความทรงจำก้อนใหญ่ในชีวิต สมัยก่อนเราอาจไม่ได้ทำอะไรเต็มที่มากขนาดนี้ สิ่งที่เราชอบคือดนตรี แล้ววงนี้เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ก่อนมาทำเพลงพายทำงานนิตยสารอยู่ 6 เดือน แล้วตัดสินใจไปช่วยที่บ้านทำงาน แต่ลึกๆ เรายังเขียนเพลงอยู่ ซึ่งพอเราช่วยงานที่บ้านได้แปบเดียววงก็เกิดและจริงจังขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้พายชื่นใจในการทำงานตรงนี้คืออะไร
พายว่าแค่เขาเอนจอยเพลงเรา ส่วนตัวเรามีความสุขแล้ว เพลงที่เราเขียนออกมาพายเคยบอกไว้ว่าเหมือนเราไม่ได้เขียนให้ใครฟัง เราเขียนให้เราฟังคนเดียว แต่การที่คนมาชอบงานเรา เหมือนเขาได้มุมมองของเรา ทำให้แชร์มุมมองร่วมกัน เรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนที่แชร์มุมมองนี้เหมือนเรา
ในระยะยาวมีแผนอะไรให้กับวงไหม
ไม่มีเลยค่ะ (หัวเราะ) พายทำเพราะอยากทำ รู้สึกดีที่จะทำ เรารู้ทุกอย่างมีวันหมด วงอาจมีอายุ 10 ปี หรืออาจจะทำจนกว่าเราไม่อยากทำมันแล้ว
คาดหวังให้ My Life as Ali Thomas มีชื่อเสียงกว่านี้ไหม
ไม่ได้หวังให้ดังขนาดนั้น เพราะไม่ใช่โฟกัสการทำงานของวงเรา เราแค่อยากทำสิ่งที่ชอบ แค่นั้นพอแล้ว
ทุกวันนี้สิ่งที่พายเป็นคือบทบาทที่เป็นตัวเองจริงๆ แล้วหรือยัง
เป็นตัวเองแล้ว ถ้าให้เป็นมากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว (หัวเราะ)
3 เพลงจาก My Life As Ali Thomas ที่ a day แนะนำให้คุณฟัง
01
02
03
ขอบคุณ Freeform Festival สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ
ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ