จากนักร้องนำวง Mild สู่ ‘เป้ MVL’ ช่วงชีวิตที่เป็น MVP เพราะเลิกหนีตัวตนของตัวเอง และทำทุกเพลงให้เหมือนโอกาสสุดท้าย

ซาโยนาระ

Unlovable

หวานเย็น

กรรมตามสนอง

รักเราไม่เท่ากัน

เชื่อว่าหลายคนรู้จักเพลงเหล่านี้เป็นอย่างดี แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปี แต่เพลงของ Mild ยังคงเป็นอมตะในใจของผู้ฟัง ในวันที่สมาชิกในวงต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเอง ‘เป้ – บดินทร์ เจริญราษฎร์’ นักร้องนำและนักแต่งเพลงประจำวง ยังคงเดินทางตามความฝันในฐานะศิลปินเดี่ยวด้วยชื่อ MVL

ปัจจุบันมีศิลปินหน้าใหม่มาแรงเกิดขึ้นมากมายในวงการ T-POP แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจทำลายแพสชัน ตัวตน คุณค่าที่เขาพยายามสร้างในอาชีพนักร้องและนักแต่งเพลง ต่อให้ใครจะบอกว่า นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของเขาอีกต่อไป แต่ ‘เป้ MVL’ มองว่า ช่วงเวลานี้คือรุ่งอรุณของชีวิตใหม่สำหรับเขา เพราะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเคารพความชอบของตนเอง และความคิดเห็นของคนอื่นไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จในชีวิต

ไม่ว่าวันนี้คุณจะจดจำเขาด้วยชื่อ ‘เป้ วง Mild’ หรือ ‘MVL’ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลงานที่เขาสร้างมาตลอดหลายปีนั้นประจักษ์ชัดเจน จนกลายเป็นภาพจำที่ติดตัวเขามาถึงทุกวันนี้ หากใครคิดถึงไวบ์เพลงยุคเก่าที่แสนไพเราะ และเต็มไปด้วยความหมายที่ดี มาสัมผัสกลิ่นอายวง Mild อีกครั้ง ผ่าน EP. Album : All in ของ ‘MVL’ ซึ่งเขายอมทุ่มสุดตัวเหมือนอัลบัมนี้คือโอกาสสุดท้าย

ช่วงชีวิตที่เป็น MVP ของ ‘เป้ MVL’ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…

จาก Mild สู่ MVL

ทำไมจึงต้องชื่อ ‘เป้ MVL’ ?

MVL ย่อมาจาก Mild’s Vocalist เพราะเพลงของวง Mild เป็น DNA ที่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ผมยังคงเป็นนักร้องนำของวง Mild เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แม้ตอนนี้จะเป็นศิลปินเดี่ยว แต่ผมยังนำเพลงที่ตัวเองเคยแต่งไว้ตั้งแต่สมัยวง Mild มาร้องในคอนเสิร์ตต่างๆ

ในเมื่อเราเคยสร้างตัวตนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากจนผู้คนจดจำเราในฐานะ ‘เป้ วง Mild’ ไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องหนีตัวเอง ต่อให้ปัจจุบันเส้นทางของผมกับวงมายด์จะแตกต่างกัน แต่ DNA และสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาไม่ได้หายไปไหน

ตัวตนของ ‘เป้ MVL’ ในฐานะศิลปินเดี่ยว แตกต่างจาก ‘เป้ สมาชิกวง Mild’ อย่างไร?

สิ่งที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องภาษา แต่คือแนวเพลงที่บ่งบอกตัวตนของเราได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงวิธีการทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวด้วย

ความจริงแล้ว ผมไม่ได้นิยามตัวตนของตัวเอง แต่จะสื่อความหมายผ่านทางภาษา ทำนอง เพลงที่เราเป็นคนแต่งและร้อง ตลอดระยะเวลา 4 – 5 ปีที่ทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยว ผลงานที่ผมทำออกมามันชัดเจนมาก แน่นอนว่ายังคงภาษาและกลิ่นอายของ Mild เพราะผมเขียนเนื้อร้องและทำ Melody เองมาตั้งแต่ตอนทำวง แต่อาจเปลี่ยนแนวดนตรีเป็นแบบที่เราชอบ จนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของ MVL คิดว่าผู้ฟังคือคนที่จะบอกได้ว่า ‘เป้ MVL’ เป็นอย่างไร

แม้ตอนนี้จะเปลี่ยนนามสกุลจาก Mild เป็น MVL แต่เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายไปจากตัวคุณคืออะไร?

น่าจะเป็น ‘ทรงผมสกินเฮด’ เมื่อก่อนเคยอยากลบภาพจำของ Mild จึงพยายามจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเอง สร้างมุมมองใหม่ๆ ในการเล่าเรื่องในบทเพลง อย่าง ‘Happy Wife Happy Life’ ซึ่งเป็นเพลงแรกของ MVL ที่แตกต่างจาก Mild อย่างสิ้นเชิง เมื่อเพลงนี้ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก จนเราคิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว แต่กลายเป็นว่า หลังจากนั้นตัวตนของเรากับสไตล์เพลงมันแยกออกจากกัน เพลงยังไปต่อ แต่ตัวตนและภาพลักษณ์ของเรากลับเลือนรางลง

เราลองเปลี่ยนภาพลักษณ์มาหลายปี แต่ก็ยังมีเสียงเรียกร้องให้ตัดผมทรงสกินเฮด จากแฟนเพลงในสื่อออนไลน์ ทำให้เราเริ่มฉุกคิดว่า ทำไมเราต้องหนีตัวตนที่เราพยายามสร้างมาเกือบ 20 ปีด้วย กว่าเราจะสร้างมันขึ้นมาได้ กว่าคนจะจดจำและยอมรับตัวตนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย งั้นเรากลับไปเป็นตัวเองดีกว่า และทุกอย่างก็ดีขึ้นจริงๆ

ภาพลักษณ์ใหม่ของเราส่งไปไม่ถึงใจของผู้ฟัง เมื่อกลับมาตัดสกินเฮด คนก็ตกใจว่า เป้ วง Mild กลับมาทำเพลงแล้วเหรอ? ทั้งที่จริงๆ เราทำเพลงมาโดยตลอด

กลัวผู้ฟังติดภาพจำ ‘เป้ วง Mild’ ไหม?

ชื่อไม่สำคัญเท่าคุณค่าที่สร้างในอาชีพ

เพลงเก่าๆ ที่เคยแต่งไว้ตั้งแต่สมัยวง Mild เป็นเพลงที่หลายคนยังคงร้องและชอบอยู่ แล้วมันจะผิดตรงไหน? ที่เขาจะเรียกเราด้วยชื่อที่คุ้นชิน คุ้นปาก คุ้นเคย เราอยู่บนเวทีเพื่อให้เขาจดจำสิ่งที่ดีของเราไม่ใช่เหรอ? การเป็นเป้ วง Mild ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับผมเลย ถ้าชื่อนี้จะทำให้ผู้ฟังจดจำเราในฐานะคนที่สร้างความสุขให้กับเขา ทุกคนจะเรียกผมว่าอะไรก็ได้

ความสำเร็จของวง Mild สร้างความกดดันต่อคุณเป้ในฐานะศิลปินเดี่ยวไหม?

ผมไม่ใช้คำว่า ‘กดดัน’ แต่เหมือนเป็น ‘คำสาป’ ช่วงหนึ่งผมเคยคาดหวังกับผลตอบรับของเพลง MVL ไว้ค่อนข้างมาก ไม่มีทางที่จะต่ำกว่ามาตรฐานของ Mild แต่เมื่อมันไม่เป็นไปตามที่เราคิด นำมาซึ่งความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดความคิดที่แย่มากคือ นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของผมอีกต่อไปแล้ว ผมเริ่มมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่อยากกลับมาเขียนเพลงอีก บ้านหลังเก่าของผมมีสตูดิโอสำหรับทำเพลง แต่ผมไม่ขึ้นไปเหยียบสตูดิโอนานนับปี เพราะสถานที่นั้นเต็มไปด้วยความสำเร็จ สุดท้ายเมื่อเราทำไม่สำเร็จตามที่คาดหวังไว้ จึงยิ่งตอกย้ำว่า มันหมดช่วงเวลาของมึงแล้วเป้

เมื่อมองย้อนกลับไป ช่วงเวลานั้นคาบเกี่ยวกับช่วงโควิด-19 ระบาด จึงไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่อยู่ในสภาวะแบบนั้น ศิลปินทุกคนไม่มีงาน และต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ เรายึดติดกับสิ่งเดิมๆ ไม่ได้ ปัจจุบัน ศิลปินต้องทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น Content Creator, Vlogger หรือนักแสดง เป็นต้น

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เราก็จะตายไปพร้อมกับสิ่งเก่าๆ ผมได้เรียนรู้กับความผิดพลาดครั้งนั้น ความสำเร็จของวง Mild จึงไม่ได้สร้างความกดดันให้ผมอีกต่อไป ผมมองว่าผลตอบรับจากแฟนเพลงคือโบนัส แค่ได้ทำในสิ่งที่รักอย่างการร้องเพลงก็ถือเป็นสิ่งที่โชคดีแล้ว

ผมเติบโตมาด้วยการทำอาชีพเดียวคือ ‘การร้องเพลง’ ได้ทำสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนมาถึงวันนี้ เพลงของเราอาจจะไม่ได้มียอดวิวที่สูงมากเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมมีความสุขมากขึ้น ผมรู้สึกดีที่ผู้ฟังชอบ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เพราะเราควบคุมไม่ได้ สิ่งเดียวที่ควบคุมได้คือ คุณภาพงานของเรา ผมทำทุกเพลงอย่างดีที่สุด ต่อให้ไม่มีคนฟังหรือชอบเลย ผมจะยังต้องภูมิใจที่จะร้องเพลงไปอีกนาน ผลตอบรับเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่า ผมควรจะเลิกทำหรือไปต่อ

ภรรยาคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมกล้ากลับเข้าไปในสตูดิโอของตัวเองอีกครั้ง เธอพูดกับผมว่า เธอไม่เคยมองว่าผมเป็นนักร้องที่ดีเลย แต่มองว่า ผมเป็นนักแต่งเพลงที่พิเศษมาก เพลงต่างๆ ที่ผมทำออกมา มันเปลี่ยนชีวิตคน ให้กำลังใจ เป็นเพื่อนยามอกหักของใครหลายคน คุณค่าของมันยังคงอยู่ตรงนั้น ทำไมเราถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดต่อไป แค่เพราะยอดวิวไม่ดี หรือโดนคนด่า เราก็จะเลิกทำเลยเหรอ? แล้วหลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อ? ถ้าเราใช้ความคิดเห็นของคนอื่นเป็นตัวชี้วัดชีวิตของเรา

คนจะเกลียดหรือจะรักก็มีค่าเท่ากัน ถ้าผมมัวมองแต่สิ่งนั้น ผมก็มีค่าเท่ามัน ไม่มีเหตุผลใดที่เราต้องทิ้งสิ่งที่รักไป เพราะคำพูดของคนอื่น

TikTok กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลงานเพลง คุณเป้คิดเห็นอย่างไรบ้าง?

กระแสเป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก ขึ้นชื่อว่า ‘กระแส’ แน่นอนว่ามันจะมาไวไปไว มีช่วงเวลาที่สั้นมาก ปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภค (Customer Behavior) เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนมีสมาธิในการจดจ่อต่อสื่อในระยะเวลาที่สั้นลง คอนเทนต์ยาวจึงได้รับความสนใจน้อยลง

ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องของอัลกอริทึม แต่ผมไม่ได้ต้องการเอาชนะเทรนด์ เพราะผมถนัดในการสร้างผลงานที่มีอายุขัยยาวนานมากกว่า ผมถนัดเขียนเพลงที่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้ฟังทุกยุคทุกสมัยมากกว่า แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างหรือหวือหวา แต่ขอแค่วันหนึ่งมีใครอกหักหรือแต่งงาน แล้วนึกถึงเพลงของเราก็เพียงพอแล้ว อย่างเพลง ‘คนที่โชคดี’ ของผมที่ถูกนำไปใช้ในงานแต่งงาน พื้นที่ตรงนี้ทำให้ผมมีความสุข

คิดว่าอะไรที่ทำให้เพลงวง Mild เป็นเพลงอมตะในใจของผู้ฟังหลายคน?

เพราะพวกเราพูดเรื่องจริง เพลงที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดของวง Mild สร้างจากเรื่องจริงของผม เพื่อน หรือคนอื่นๆ การเล่าเรื่องจริงจะทำให้เราสามารถเข้าไปนั่งในใจคนฟังได้ง่ายที่สุด คำพูดของเราจะไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปี เราก็ยังจำความรู้สึกตอนฟังเพลงนั้นได้ 

เมื่อเพลงนั้นถูกสร้างจากความจริง และทีมที่ดีในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง เพลงของวง Mild จึงเป็นอมตะในใจของผู้ฟังหลายคน ผมขอยกเครดิตให้กับเพื่อนร่วมวงของผม พวกเขาเปรียบเสมือนทีม Avengers ที่สุดยอดที่ผมเคยเจอมา ผมสบายใจที่สุดเมื่อได้ร้องเพลงอยู่บนเวทีที่มีเพื่อนอีก 5 คนยืนอยู่ด้วยกัน

วง Mild มีความหมายต่อเป้อย่างไร?

วง Mild เป็นทุกอย่างสำหรับผม วง Mild เป็นเพื่อน พี่น้อง และครอบครัวมาโดยตลอด ผมยังจำวันแรกที่พวกเราเริ่มต้นในเส้นทางนี้ได้อยู่เลย พวกเราต้องนั่งรถทัวร์จากจังหวัดเชียงใหม่ในทุกเย็นวันศุกร์ เพื่อมาทำงานที่กรุงเทพฯ และเดินทางกลับเชียงใหม่ เพื่อไปเรียนทุกเย็นวันอาทิตย์ พวกเราทำแบบนี้กันอยู่เป็นปี พวกเราผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน กินมาม่าหม้อเดียวกัน นอนด้วยกันในออฟฟิศ ทุกอย่างคือความทรงจำที่ดี ถ้าไม่มี Mild ก็คงไม่มีผมในวันนี้

บทเรียนที่ทำให้กลายเป็น ‘เป้ MVL’ ในทุกวันนี้คืออะไร?

ผมตัดสินใจที่จะเคารพตัวตน และเลือกความสุขของตัวเอง ในวันที่ผมคิดว่ามันถูกต้องที่สุดแล้ว ผมสร้างสถานะของ MVL ขึ้นมาจากสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุด ตอนนี้ผมอายุเกือบ 40 ปี ผมไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ตัวเองกลับมีความทุกข์อีกต่อไปแล้ว ผมจึงเลือกเส้นทางนี้ เพื่อให้ตัวเองยังมีแรงทำสิ่งที่รักต่อไป สองคนบนโลกนี้ที่ผมอยากจะทำให้เขายิ้มได้ทุกวันคือ ภรรยาและลูกของผมเท่านั้น

เพลงวง Mild ที่สนุกที่สุดในฐานะนักแต่งเพลง?

‘ถ้าหากจะบอกรักใครสักคน มันก็ไม่ได้ยากลำบากลำบนสักเท่าไร แต่จะรักษาให้มันอยู่นาน ให้เป็นอย่างใจ มันช่างยากช่างเย็นมากมายเหลือเกิน’

‘รักเราไม่เท่ากัน’ เป็นเพลงที่ผมภูมิใจในการแต่งเพลงมากที่สุด เพราะชื่อเพลงสามารถสรุปเรื่องราวทั้งหมดด้วยประโยคเดียว คนเราเลิกกันด้วยหลายเหตุผล เช่น เข้ากันไม่ได้ ไม่มีเวลา หรือไม่ยอมปรับเข้าหากัน แต่ทุกเหตุผลล้วนเกิดขึ้นเพราะ ‘รักเราไม่เท่ากัน’ 

EP. Album : All in

คอนเซปต์หลักของ EP. Album : All in คืออะไร?

All in เป็น EP. Album ล่าสุดที่มีทั้งหมด 4 แทร็ก สร้างมาจากความรู้สึกที่ผมอยากจะทุ่มเท่ทุกพลังและประสบการณ์ทั้งหมดลงไปในอัลบัมนี้ เพราะเมื่ออายุเข้าใกล้เลข 4 ผมไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสทำงานนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมจะทำเพลงในอัลบัมนี้ให้เหมือนกับ ‘โอกาสสุดท้าย’ ของผม

ใน EP. Album : All in คุณเป้ใส่ ‘ความเป็นตัวเอง’ เรื่องอะไรบ้าง?

All in เปรียบเสมือนการเทหมดหน้าตัก ผมใส่ความเป็นตัวเองในทุกอณูของอัลบัมนี้ ไม่ว่าจะเป็นแนวเพลง เนื้อหา ดนตรี และทีมเบื้องหลัง ผมคัดสรรมาอย่างดีที่สุดแล้ว เช่น ชวน ‘พี่แม็ก The Darkest Romance’ ซึ่งโดดเด่นเรื่องเพลงร็อก และเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของยุคสมัย มาช่วย Arrange และ Co-produce ในอัลบัมนี้ด้วย รวมถึงทีมแบ็กอัปของผมก็อยู่ในช่วงเวลาที่สุกงอม และมีเคมีการทำงานที่ลงตัว 

ส่วนตัวผมเองในฐานะนักแต่งเพลงและนักร้องก็อยู่ในช่วงที่พร้อมที่สุด เพื่อมอบความสุขให้แก่ผู้ฟัง ตอนนี้ผมเตรียมเพลงใน EP. Album : All in ครบแล้ว พร้อมที่จะปล่อยให้ทุกคนได้ฟังกัน ผมมีความสุขกับอัลบัมนี้มาก และหวังเหลือเกินว่า ผู้ฟังจะชอบอัลบัมนี้ไปกับผมด้วย

ทำไมดนตรีแนวนู เมทัล (Nu Metal) จึงเป็นสไตล์ที่ใช่ของเป้ MVL?

ผมไม่อยากร้องเพลงเพียงอย่างเดียว แต่ผมอยากจะแร็ปด้วย ผมลองทำเพลงด้วยดนตรีหลายแนว เพื่อค้นหาว่าชอบอะไรมากที่สุด จนค้นพบว่า เราเติบโตมากับดนตรีสไตล์นู เมทัล (Nu Metal) มาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งในยุคนั้น วงดนตรีที่โด่งดังระดับโลกเป็นดนตรีแนวนี้ เปรียบเสมือน Nu Metal Era จนผมได้รับแรงบันดาลใจ และหล่อหลอมกลายเป็นตัวตนของเราโดยไม่รู้ตัว ผมจึงชอบการแร็ปและดนตรีร็อก

‘ร็อก’ เป็นแนวเพลงที่จะขับเคลื่อนมวลชนได้ง่าย และส่งผลต่อคนฟังมากที่สุด เราใช้ชีวิตอยู่บนเวทีมากพอสมควร จึงอยากทำแนวเพลงที่สร้างความสุขให้แก่ผู้ฟัง มันคงจะดี ถ้าเราสามารถนำไวบ์เก่าๆ กลับมาทำใหม่ให้สนุกมากขึ้นกว่าเดิม

ถ้าถามว่า ณ ตอนนี้ ผมชอบอะไรมากที่สุดในพาร์ตการทำงาน ผมชอบการแสดงดนตรีสดมากที่สุด เพราะเป็นโชว์ที่เต็มไปด้วยพลังความสนุก

หลายคนคอมเมนต์ว่าเพลง Gone มีกลิ่นอายวง Mild คุณเป้คิดอย่างไรบ้าง?

มันไม่แปลกเลย ถ้าเขาจะรู้สึกว่า เพลง Gone มีกลิ่นอายวง Mild เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเป็นผู้แต่งเพลงของ Mild อยู่แล้ว ผมมองว่า คอมเมนต์แบบนี้คือ ‘คำชม’ เพราะแสดงว่า ตัวตนด้านเพลงของผมยังคงเป็นที่จดจำสำหรับผู้ฟัง

มีอะไรที่ Gone หรือจากไปแล้ว แต่คุณเป้เพิ่งรู้สึกเสียดายทีหลังไหม?

ความรู้สึกมั้งครับ เมื่อมองย้อนกลับไป เราสูญเสียความรู้สึกที่ดีไประหว่างทางมากเหลือเกิน เพราะเราให้ใจกับบางคนไป แต่สุดท้าย ทุกอย่างไม่เป็นแบบที่เราคิด เราจึงผิดหวัง ถ้าเป็นเราตอนนี้ เราคงไม่ทำแบบนั้น และคงมีสติมากกว่านี้ 

หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็เลือกไม่แก้ไขอยู่ดี เพราะถ้าไม่ได้พบเจอเหตุการณ์ในวันนั้น คงไม่มีตัวตนในวันนี้ ผมไม่เคยมองว่าตัวเองแพ้เลย เพราะทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิต

เพลง ‘เราพบกันด้วยความบังเอิญ แต่จากกันด้วยความตั้งใจ’ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

หลังจากมาเป็น MVL คอนเซปต์เพลงส่วนใหญ่เกิดจากไอเดียของภรรยา ซึ่งผมจะคัดเลือกเองอีกที เพลง ‘เราพบกันด้วยความบังเอิญ แต่จากกันด้วยความตั้งใจ’ เธอเสนอว่า ลองนึกดูดีๆ สิ คนเราเดินผ่านกัน ไม่มีทางจะรู้ว่าคนไหนคือ Soulmate ของเรา ความรักเกิดด้วยความบังเอิญได้ แต่การจากลาเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของใครสักคนเสมอ

สปอยล์เพลงใหม่อย่าง ‘โกหก’ และ ‘คืน’ หน่อยว่าเป็นเพลงแบบไหน?

สองเพลงนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างเพลงแรก การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากพบเจอ เพราะการโกหกเป็นรอยร้าวหรือจุดแตกหักของความสัมพันธ์ ที่ทำให้ความเชื่อใจหมดลง แต่เพลงนี้จะเล่าถึงคนคนหนึ่งที่ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยโกหกว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เขาได้ยินมา มันไม่ใช่เรื่องจริง เพื่อให้ชีวิตคู่ของเรายังไปต่อได้

คนเราเลิกกันด้วยหลายเหตุผลมาก แต่เหตุผลในเพลง ‘คืน’ คือการที่เราไม่สามารถรักและดูแลคนคนหนึ่งได้เท่าแฟนเก่าของเขา เราจึงขอคืนคนรักให้กับแฟนเก่าของเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนมาก จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่า เราจะทำอย่างไรให้เรื่องราวที่ยากจะอธิบายนี้เข้าใจง่ายและไพเราะ

MVP ของ MVL

ปัจจุบันมีวงเกิร์ลกรุ๊ปและบอยกรุ๊ป รวมถึงศิลปินหน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก คิดว่าจุดแข็งของตัวเองในวงการ T-POP คืออะไร?

ผมโชคดีที่มีพันธมิตรที่ดี จึงมีโอกาสได้ร่วมทำเพลงกับศิลปินหน้าใหม่หลายคน ทำให้เราได้ทราบอย่างหนึ่งว่า เพลงดี เพลงโดน เพลงเพราะ ยังคงมีคุณค่าเสมอในทุกยุคทุกสมัย แต่แตกต่างตรงที่กระบอกเสียงเท่านั้นเอง กระบอกเสียงของยุคที่แล้วคือพวกผม แต่ ณ ตอนนี้ กระบอกเสียงแห่งยุคสมัยคือศิลปินหน้าใหม่ กระบวนการอาจจะไม่เหมือนกัน แต่เป้าหมายคือทำให้ผู้ฟังมีความสุขเหมือนกัน รวมถึงสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้แชร์ความรู้สึกและประสบการณ์ร่วมกันในเพลงเดียวกันของศิลปินนั้นๆ

ดังนั้น ถ้าถามว่าจุดแข็งของผมคืออะไรในยุคสมัย T-POP ผมคิดว่าคือ ความสามารถในการแต่งเพลงที่ดีมากพอ จึงยังได้รับความไว้วางใจจากพี่ๆ ผู้ใหญ่ และศิลปินรุ่นใหม่ในวงการเพลงไทย ผมสามารถแบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่น้อง ขณะที่น้องๆ ก็ส่งต่อมุมมองใหม่ๆ ในฐานะเจ้าของยุคสมัยให้แก่เราเช่นกัน ทำให้ผมรู้สึกว่า ประสบการณ์และสิ่งที่อยู่ในตัวเรายังไม่เก่าเกินยุคสมัย

เป้าหมายสูงสุดในการเป็นศิลปินคืออะไร?

ผมมองเป้าหมายเป็นขั้นตอน โดยเป้าหมายในปัจจุบันคือ การทำ EP. Album : All in ซึ่งผมหวังว่าจะมีสักหนึ่งเพลงที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะทำอัลบัมเต็มต่อไป และถ้ามัน Hybe อีกครั้ง ผมก็จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเอง เป้าหมายของผมเป็นแบบนี้

คุณเป้ถือเป็นศิลปินมากประสบการณ์ อยากรู้ว่ายังมีสิ่งที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำอีกไหม?

ปัจจุบันกำแพงภาษาเริ่มทลายลง คอนเน็กชันของค่าย Spicydisc ก็ขยายกว้างขึ้น ช่วงหลังมานี้จึงมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับศิลปินและนักแต่งเพลงจากต่างประเทศหลายท่าน แต่ผมยังไม่เคยทำอัลบัมอินเตอร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ ผมก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นอย่างไรในเวทีระดับนานาชาติ

การทำงานในฐานะศิลปินมาหลายสิบปี สอนให้คุณเป้เติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง?

เราไม่สามารถเป็นจุดหมุนโลกได้ ทุกคนมียุคสมัยของตัวเอง เราไม่มีวันจะอยู่ยั่งยืนยงจนค้ำฟ้า เราต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ เพราะคลื่นลูกใหม่จะแรงกว่าลูกเก่า ประสบการณ์บอกผมให้รู้ว่า ขึ้นเป็นก็ต้องลงเป็น และไม่ยึดติดกับความสำเร็จที่เคยเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราเคยทำได้ ไม่ได้การันตีว่าครั้งหน้าจะสำเร็จเหมือนเดิม จงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อย่าย่ำอยู่กับที่ อย่างน้อยแค่ชนะตัวเองในเมื่อวานได้สักเรื่องหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

สิ่งที่เป็น MVP ในชีวิตของ ‘เป้ MVL’ คืออะไร?

ผมคิดว่าน่าจะเป็น ‘ครอบครัว’ ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะผมมีภรรยากับลูก ผมได้เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร และรู้สึกว่าบ้านเป็นบ้านจริงๆ เมื่อมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมมีชีวิตอยู่เพื่อใคร

ครอบครัวคือทุกอย่างสำหรับผม ถ้าผมเป็นรถยนต์ ครอบครัวคือล้อ เครื่องยนต์ พวงมาลัย และน้ำมันที่ช่วยขับเคลื่อนให้ชีวิตของผมก้าวไปข้างหน้า

อยากฝากอะไรถึงแฟนเพลงที่ติดตามคุณเป้มาตั้งแต่วง Mild?

ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าไม่มีพวกคุณ ผมคงหมดสิทธิ์ที่จะขึ้นไปร้องเพลงบนเวที พวกคุณเป็นมากกว่าลูกค้าและแฟนคลับ พวกคุณคือส่วนหลักของความสำเร็จ เพราะพวกคุณ ผมจึงยังได้ทำในสิ่งที่รัก ขอบคุณที่ทำให้คนคนหนึ่งได้ใช้ชีวิตเหมือนในฝันอย่างทุกวันนี้

ข้อความถึง ‘เป้’ ในวันแรกของการเป็นศิลปิน

ขอบคุณมึงมากที่ตัดสินใจดูแลตัวเองในวันที่ถูกต้อง ขอบคุณที่ทำเพื่อตัวเอง วันนี้กูไม่รู้แล้วว่า สิ่งที่มึงเลือกจะถูกหรือผิด แต่ฟังไว้นะเป้ อย่างน้อยที่สุด มึงรู้แล้วว่า ความสุขของมึงคืออะไร รักษามันไว้ให้ดี

PHOTOGRAPHER

gunsept

เด็กหาดใหญ่ แหลงใต้ไม่เป็นแต่ว่า รักดนตรี ศิลปะ ภาพยนตร์