ไม่มี facebook สำหรับเป็นเอก

เป็นเอก รัตนเรือง เลือกสถานที่ในการถ่ายรูปสัมภาษณ์มา 3 แห่ง

หนึ่ง ออฟฟิศเขาที่ Flim Factory สอง K Village ถนนพระราม 4 สาม Ozono สุขุมวิท 39

ทั้ง 3 ที่มีจุดร่วมเหมือนกันคือ พาหมาเข้าได้ ตอนนี้เป็นเอกมีลูกชื่อ เปเป้ สุนัขหน้าตาดีที่เจ้าตัวฝึกเองตั้งแต่เด็ก (เขาดูวิธีฝึกทางยูทูบ)

ต้อมไปไหน เปเป้ไปด้วย ตั้งแต่บ้าน กองถ่าย และห้องประชุมงานโฆษณา

นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเป็นเอกในวัย 55 ที่ชัดเจนที่สุด ความจริงเวลาที่เขาออกสื่อในช่วงโปรโมตหนังใหม่ (เป็นเอกจะให้สัมภาษณ์เมื่อหนังเรื่องใหม่ออกเท่านั้น) สื่อมักจะสนใจชีวิตของเป็นเอกมากกว่าเรื่องงาน แถมเขาก็ตอบสนุก ไม่แปลกที่เนื้อหาจะเทไปทางนั้น

Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ คือหนังเรื่องที่ 9 ของเป็นเอก มีชุดนักแสดงแข็งแกร่งอย่าง เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, เดวิด อัศวนนท์, วิทยา ปานศรีงาม และ สเตฟาน เซ็ดนาวี โทนเรื่องยังเป็นหนังรัก-ฆาตกรรมแบบที่เขาถนัด หนังฉายตามเทศกาลหนังในต่างประเทศมาบ้าง และจะเข้าฉายในบ้านเรา 1 กุมภาพันธ์นี้ เป็นเอกทำหนังเรื่องนี้ด้วยวิถีคล้ายเดิม ที่เปลี่ยนคือเขาหันมาโปรโมตหนังเองผ่านโซเชียลมีเดีย (เป็นเอกเพิ่งทำเพจเฟซบุ๊ก แต่ตัวเขาเองไม่มีเฟซบุ๊กส่วนตัว) โดยมีเพื่อนหลายคนรุมกันช่วยเหลือแบบอุ่นหนาฝาคั่ง

ช่วงเดือนมกราคม เพื่อนพี่น้องในวงการหนังยังช่วยกันจัดงานในวาระครบรอบ 20 ปีที่หนังของเป็นเอกเข้าฉายครั้งแรก นำหนังทั้งใหญ่และเล็กมาฉายในรูปแบบและสถานที่แตกต่างกัน ทุกสุดสัปดาห์ช่วงกลางเดือนมกราคม เช่น Warehouse 30 ฉายหนังแนว B-Side ที่คนไม่ค่อยรู้ The Jam Factory จัดฉายหนังกลางแปลง House RCA ฉายหนังแบบฟิล์ม 35 เช้าจรดเย็น

ในสองเดือนนี้เป็นเอกจะกลับมาอยู่บนพื้นที่สื่ออีกครั้ง เราคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะชวนเขาคุยเกี่ยวกับหนังทั้งเรื่องใหม่และเก่า ตั้งเป้าว่าอยากให้คนอ่าน a day รุ่นใหม่รู้จักเป็นเอกมากขึ้น

เขียนเองก็รู้สึกแปลกใจ แต่โลกยุคนี้มันเป็นอย่างนั้นเอง พอไม่ได้แสดงออกในโซเชียล เป็นเอกก็เหมือนคนไม่มีตัวตน แต่เขาว่าไม่เป็นไร จิตวิญญาณบางอย่างคงไว้ไม่เสียหาย ไม่ต้องเปลี่ยนตามโลกก็ได้

เพราะมันทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใครกันแน่

พักหลังสื่อส่วนใหญ่ชวนคุยเรื่องชีวิตคุณมากกว่าหนังนะ
เราเป็นอ็อบเจกต์ประหลาด ด้วยเราไม่มีโซเชียล ไม่อยู่ในโลกนั้นเลย แล้วก็ไม่อยากให้คนรู้ว่าทำอะไรอยู่ ไม่อยากรับรู้ว่าใครทำอะไรอยู่ พอเป็นคนแบบนั้นปุ๊บ โลกก็เปลี่ยนไปเร็วมาก เราเลยไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ ตกลงคนรู้จักกูหรือไม่รู้จักกันแน่ เพราะเรารู้สึกว่าคนน่าจะรู้จัก แต่พอไปเจอเด็ก เขาบอกว่าก็เคยได้ยินชื่อเป็นเอก หรือรู้จัก แต่ไม่เคยดูหนังพี่เขาเลย เราเลยเป็นอ็อบเจกต์ประหลาดของสื่อตอนนี้ว่าจะทรีตพี่เขายังไงดี จะคุยเรื่องอะไรดี สื่อส่วนมากรู้จักเราไง แล้วพอได้มีโอกาสสัมภาษณ์เรา ทุกคนจะอยากคุยเรื่องชีวิตลูกเดียว

ตอนเห็นข่าว 20 ปีเป็นเอก เราแปลกใจ ปกติไม่ค่อยเห็นคุณกลับไปคุยเรื่องหนังเก่าๆ เท่าไหร่
เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้น มันมีความอายนิดๆ ว่าหรือกูโชคดีวะ คนเขาเห็นว่าหนังดีเพราะไม่เห็นความผิดพลาดที่เราเห็น ซึ่งเราว่ามันเป็นธรรมดา คนทำงานสร้างสรรค์ก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกคน เมื่อก่อนตอนอายุน้อยๆ ไม่เข้าใจ จะเห็นแต่ความผิดพลาด แล้วพอคนเห็นว่าเราเก่งมันจะมีความไม่มั่นคงอยู่ลึกๆ เขาไม่เห็นว่ากูฟลุก (หัวเราะ)

เหมือนไหลไปเรื่อยๆ
เมื่อก่อนรู้สึกอย่างนั้น เลยไม่ค่อยกล้าดูหนังเก่าๆ เห็นแต่แผล มันเลยจะมีความ guilty ในยุคหนึ่งเราเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้สามารถดูหนังเก่าๆ ของตัวเองได้สบายมาก เราก็เห็นแผลเหมือนเดิม เผลอๆ เห็นมากขึ้นด้วย แต่ไม่รู้สึกอายแบบนั้นอีกแล้ว เหมือนมันยอมรับได้ว่า ก็ตอนนั้นกูทำได้เท่านี้ แล้วมันก็ไม่ได้แย่ เรากลับไม่ได้เห็นว่ามันแย่ขนาดที่เคยคิดว่ามันแย่ แล้วถามว่ามันแย่ขนาดนั้นต้องเอาปี๊บคลุมหัวตัวเองออกนอกประเทศมั้ย ก็ไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนจัดฉายหนัง 20 ปี เราไม่มีวันกล้าไปดูหนังตัวเองเลย แต่ตอนนี้คิดว่าจะไปดูทุกเรื่องเลย อาจจะไปนั่งกับคนดู อยากเอนจอย เราไม่มีปัญหากับความไม่เก่งของตัวเองแล้ว

ตลกดีที่เวลาเห็นคุณทำหนังจะชอบคิดว่าคุณกำลังทำเรื่องสุดท้ายประจำ
ทำไมคิดอย่างนั้น

ทำบทสัมภาษณ์คุณมาเรื่อยๆ จะไม่มั่นใจว่าคุณยังอยากทำหนังอีกหรือเปล่า
อ๋อ แพสชั่นมี ความสุขมี ความสนุกมี แต่ว่าความกระตือรือร้นในการทำหรืออยากทำน้อยลงไปเยอะ

Samui Song เกิดขึ้นได้ยังไง
มันเกิดขึ้นได้จากการที่เราแต่งเรื่องขึ้นมาเหมือนทุกๆ เรื่อง แล้วก็มีคนไปหาตังค์มาให้ได้แล้วก็ทำ คือถ้าไม่นับ ฝันบ้าคาราโอเกะ ตั้งแต่ เรื่องตลก 69, มนต์รักทรานซิสเตอร์, Last Life in The Universe, Invisible Waves, พลอย, นางไม้ 6 เรื่องนี้มันอยู่ในช่วงที่ไม่ทำกูต้องตายน่ะ ต้องทำให้ได้ แต่พอตั้งแต่ฝนตกขึ้นฟ้ามา ความรู้สึกเปลี่ยน ตอนทำนางไม้จบ คิดว่าจะเบรกนานๆ เลยเพราะคิดว่าจะไปสร้างบ้านที่เชียงใหม่ แล้วเราอยากจะไปคุมก่อสร้างเอง อยากจะสร้างด้วยมือตัวเองบางชิ้น คิดไว้อย่างนั้น

สมมติว่าถ้ายื่นโปรเจกต์ไปแล้วไม่ได้ทำก็คงไม่จะเป็นจะตายเท่าเมื่อก่อน คนส่งคัตติ้งมาให้ดู เดี๋ยวอีกสองวันค่อยดูแล้วกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน กูต้องดูแล้ว ต้องแก้แล้ว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ในชีวิต ความสำคัญมันน้อยลงเยอะมาก

ตอนถ่าย Samui Song คนในกองถ่ายบอกมั้ยว่าคุณเปลี่ยนไป ไม่ใช่คนเดิม
ไม่มี เพราะทุกคนเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน หลายคนคิดเหมือนเรา แล้วอย่าลืมว่าทีมงานเราตอนนี้มีความรับผิดชอบอย่างอื่นเยอะมาก โตกันหมดแล้ว บางคนก็มีครอบครัว มีลูก ก็เอาลูกมากระเตงเลี้ยงกันในกองถ่าย เราก็มีหมาตัวนึงที่ต้องกระเตงไปอยู่ในกองถ่าย อีกคนนึงก็ออกแบบให้ได้ แต่วันออกกองถ่าย สองอาทิตย์แรกขอไม่ออกนะ มีงานโฆษณาที่อินโดนีเซียต้องไปทำ สิ่งนี้ไม่ใช่ life & death เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่ามันก็มาพร้อมกับประสบการณ์ เพราะงั้นเขาทำประมาณนี้มันก็เอาอยู่แล้ว

แล้วบรรยากาศเป็นยังไง ไปออกกองด้วยความรู้สึกไหน
แฮปปี้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเรามีโปรดิวเซอร์คนนึงมาเข้ามาในชีวิต โปรดิวเซอร์คนนี้มีพลังที่เหมือนจะเหนือเรา มันทำให้การทำงานของเราเครียดกว่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนมันจะเป็นความเครียดจากตัวเราเอง จากสิ่งที่เราคาดหวัง แต่ตอนนี้เรามีความเครียดกับเขา เหมือนเขาออกกองถ่ายทุกวัน เขาเขียนบทร่วมกับเรา แต่เขามีแต่ความดี ความเก่ง ความหวังดี ทุ่มเททุกอย่าง แต่พลังของเขามันดูดพลังเรา

ใคร
เรย์มอนด์ พัฒนวีรางกูร คือเราไม่สามารถพูดไม่ดีกับเขาได้เลย คล้ายๆ เขาเป็นคนละพลังงานกับเรา ถ้าจะใช้ภาษาไสยศาสตร์หน่อยคือเป็นปีชงของเราน่ะ ทะเลาะ แต่การทะเลาะไม่ค่อยแปลกเพราะเราก็ทะเลาะกับคริส ดอยล์ (Christopher Doyle ตากล้องจากหนัง Last Life in The Universe และ Invisible Wave) ถ้าไปถามเรมอนด์เขาก็จะรู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่น แต่สำหรับเรามันเหมือนมีอะไรกดทับ มันคล้ายๆ โดนผีอำ แต่พอพูดแบบนี้แล้วมันเหมือนไปเบลมเขา ซึ่งไม่ใช่

บทที่เราเขียน หนังที่เราทำ เราเห็นทุกอย่างเป็นภาพ แล้วบางอย่างก็อธิบายไม่ได้ แต่เรารู้ว่าทำๆ ไปเดี๋ยวมันจะโอเค แต่ของเขานี่คือ เขาจะมีโน้ตยาวเหยียดเลยกับสคริปต์เรา ถ้าข้อไหนเราตอบไม่ได้ อธิบายไม่ได้ มันจะไม่ผ่าน หนังเราไม่เคยทำเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ เรื่องมันเยอะมาก พล็อตเยอะมาก แต่มันก็ดีอย่างหนึ่ง พอหนังเสร็จถ้าคุณได้ดูจะเห็นเลยว่าหนังแม่งสนุกกว่าหนังเราเยอะมาก เรื่องก็ไม่อืดอาดยืดยาด ตอนเสร็จแล้วมันโอเค ดีเหมือนกันที่มีคนนี้มาท้าทายเราไปตลอดทาง ก็อาจจะได้หนังที่ดีกว่าที่เราเคยทำ

เวลาออกกองเช้าสุดเท่าไหร่
อ้อ ปกติ ถ้าต้องการแสงเช้าก็ต้องไปรอตั้งแต่ตีสี่เหมือนเดิม เรากำลังวังชาไม่ค่อยลดนะ เราเป็นเหมือนพวกติดยา พอได้เล่นยา แรงมันมา พอไปอยู่ในกองถ่ายไม่ว่าจะแก่แค่ไหน เราไม่เคยหมดแรง บางทีถ่ายตีหนึ่งตีสองน็อกรอบ ทีมงานหลับ บางคนเด็กกว่าเราประมาณ 20 ปี เราไม่มีปัญหาเลย แต่อย่าถ่ายเสร็จนะ ปิดกล้องเมื่อไหร่ กูตายเป็นศพประมาณอาทิตย์นึง

ไอเดียของ Samui Song คืออะไร
ตอนคิดไม่ได้คิดเป็นไอเดีย มันมาจากภาพนึงที่ไปเห็น ไปเดินช้อปปิ้งในซูเปอร์แถวนี้ แล้วก็ไปเจอดาราดังคนนึง เขามากับสามีฝรั่ง แล้วสามีก็แก่กว่าเขาเยอะเหมือนกัน ก็ดูดีทั้งคู่ เราก็เห็นแล้วว่าพนักงานในซูเปอร์ก็กระซิบกระซาบกัน เราก็เดินตาม อยากรู้ว่าคนแบบนี้เขาซื้ออะไรกัน เดินห่างๆ ไม่ให้รู้ ตามดูจนเขาจ่ายตังค์ แล้วเรื่องก็จบไป อีกสองสามวันไปว่ายน้ำ ออกกำลังอยู่ ทำไมไม่รู้คิดถึงคนคู่นี้ แล้วก็เริ่มคิดว่าชีวิตที่บ้านเขาเป็นไงวะ แล้วเราก็เริ่มแต่งเรื่อง

ระหว่างที่ว่ายน้ำหรือออกกำลังหัวมันว่าง โล่ง ก็จะแต่งเรื่อง คิดไปเรื่อยๆ ที่เขาว่าดูดีข้างนอก ข้างในกูว่าแม่งคงต้องมีอะไรแย่ๆ บ้างแหละ คนอะไรจะเพอร์เฟกต์ขนาดนั้น ก็เลยแต่งเรื่องแย่ๆ ให้เขา หัวจะคิดไปเรื่อยๆ มันก็เลยเขียนเป็นบท

ทำไมชอบคิดเรื่องร้ายๆ
เรื่องร้ายๆ น่าสนใจกว่าเรื่องดีๆ ส่วนตัวเรามีความรู้สึกดึงดูดกับเรื่องร้ายๆ มากกว่าเรื่องดีๆ พอทำเป็นหนังแล้วมันสนุกกว่า หนังเราโดยพล็อตเรื่องจะไม่ใช่เรื่องเรียลลิสติกเท่าไหร่ แต่ว่าพอเริ่มลงมือทำเราจะพยายามทำให้มันเรียลลิสติกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อันนี้ถามแบบไม่เอาไปลงนะ เห็นว่าคุณมีปัญหากับพลอย เฌอมาลย์ ในกองถ่าย จริงมั้ย
มี แต่ลงได้นะฮะ

จริงเหรอ
เขายอมรับ คือทีแรกเขาทำท่าจะไม่ยอมรับ วันก่อน The Cloud สัมภาษณ์ว่าทำงานกับพี่ต้อมเป็นไง เขาทำท่าจะพูดจาหน่อมแน้ม พูดเหมือนดาราทั่วไปว่าดี แต่เราบอกไม่ต้องพลอย มันไม่ดี เรามีปัญหากัน บอกเขาไป แต่เราว่าเป็นเรื่องปกติ อย่าลืมว่าพลอยเขาไม่ใช่คนน่ารักมากนะ เขาเป็นคนเหวี่ยงๆ พอสมควร แล้วดาราละครเบอร์นั้น ความเข้าใจของเขาในการถ่ายทำจะไม่ตรงกับเรา

ดาราละครที่เบอร์ขนาดนี้ เวลาที่ถูกเทคเยอะๆ สมมติ 20 25 30 เขาจะเกิดความแบบ ทำไมกูทำไม่ได้วะ จะเอาอะไรจากกู ถ้าเป็นละครกูให้สามเทคผ่านแล้ว นั่นคือทัศนคติของคนที่เล่นละครในเบอร์นี้ เขาชอบไปสนใจตัวเลขบนสเลตว่า เลขที่เท่าไหร่แล้ว ถ้ากูเล่นสองเทคผ่านแปลว่ากูเก่ง ถ้าเล่น 75 เทคแปลว่าไม่เก่ง ซึ่งเราพยายามบอกนักแสดงทุกคนก่อนเปิดกล้องว่า อย่าสนใจตัวเลขบนสเลต จำนวนเทคไม่ได้บอกว่าคุณเก่งหรือไม่เก่ง การที่ผมถ่าย 40 ผมแค่อยากลองอะไรบางอย่าง ผมอยากเปลี่ยนไปลองอีกแบบ อยากหาโมเมนต์นี้ให้เจอ แล้วถ้ายังไม่เจอมันไม่ใช่ความผิดคุณ ทุกอย่างยังไม่มารวมตัวเจอกันน่ะ

เรื่องการถ่ายเทคเยอะเป็นเรื่องใหญ่ของพลอยมาก แต่ถ้าเขาอยู่ติดกับเราเกินสามวันเป็นต้นไป เขาจะเล่นได้ดีมาก แต่พอเขา skip วีคนี้ต้องกลับกรุงเทพฯ ไปงานวันเกิดเพื่อนชมพู่ ไปอยู่ในโลกนี้ พอกลับมาก็เริ่มต่อสู้กันใหม่ มันจะเป็นแบบนี้

แต่ดาราระดับนี้ประหลาดตรงไหนรู้มั้ย พอไอ้ซีนที่ต้องยาก อารมณ์โคตรซับซ้อน เราเขียนบทมาบางทีเรายังไม่รู้เลยว่าจะไปบรีฟเขายังไง เราใช้วิธีว่าถ้าบรีฟไม่ถูกจะไม่บรีฟเลย ให้เล่นเลย แล้วเดี๋ยวค่อยปรับแต่งจากการที่มันเล่น เชื่อมั้ยพอเป็นซีนที่ซับซ้อนมากๆ พลอยเล่นได้ตั้งแต่เทคแรกเลย เราก็จะต้องเอาอีกเทคเพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟลุก เทคสองแม่งก็โดน สามได้ นี่คือพรสวรรค์จริงๆ แล้วเรื่องนี้บังเอิญดาราเบอร์ใหญ่ๆ มาเจอกันหลายคน ซึ่งหนังเราส่วนมากจะไม่ค่อยมี

นักแสดงอีกสองคน ปูและเดวิด เป็นไงบ้าง
เดวิดจะไปทางเยอะ แต่เก่ง ต้องลดอารมณ์เขาลงเรื่อยๆ พอลดได้เขาจะสม่ำเสมอ เดวิดพูดเร็วมาก เล่นเทคแรกพอสั่งคัตก็บอกว่าเมื่อกี้มึงพูดอะไรไปวะ พอจูนได้แล้วก็ได้เลย ส่วนพี่ปูก็คือพี่ปู บทแบบนี้เขาเล่นได้อยู่แล้ว

คือดาราระดับนี้มันมีความพิเศษที่ไม่เหมือนคนอย่างพวกเรา คืออะไรรู้มั้ย สมาธิเขาสูงมาก เหนือคนธรรมดา มันถึงเป็นนักแสดงได้ พวกเราถึงเป็นไม่ได้ พอมันจูนไปตรงแทร็กปุ๊บ มันอยู่ตรงนั้นได้เป็นเดือน โดยที่ไม่หลุดจากร่อง แต่บางคนก็สุดโต่งไปจนแบบ ฮีท เลดเจอร์ มันก็ออกมาไม่ได้เลยจากแทร็กนั้น ฉิบหายเลย ต้องเล่นยา พวกนี้สมาธิเขาไม่เหมือนพวกเรา

เรื่องนี้ถ่ายฟิล์มหรือดิจิทัล

ดิจิทัล เดี๋ยวนี้ถ่ายฟิล์มไม่ได้แล้ว ไม่มีแล้ว ต่อให้ถ่ายได้ก็ไม่มีแล็บล้าง แล็บปิดหมดแล้ว

สียดายมั้ย คนทำหนังรุ่นคุณน่าจะเจอการเปลี่ยนแปลงในการถ่ายหนังหลายคน
เสียดาย ตอนแรกไม่เสียดาย ดิจิทัลกูก็เล่าเรื่องได้ เกรดสีให้สวยได้ จนกระทั่งวันหนึ่งไปดูหนังของพิมพกา โตวิระ เมื่อปีที่แล้วเขามีหนัง The Island Funeral เขาถ่ายฟิล์ม 16 มม. งานนี้ถ่าย 7-8 ปี เพิ่งเสร็จ แล้วตอนเริ่มถ่ายมันเป็นฟิล์ม 16 มม. แล้วเขาต้องคอนทินิวเป็นฟิล์มไปเรื่อยๆ จนจบ พอไปนั่งดูหนังพิมพกาบนจอ เห็นเป็นฟิล์ม เหี้ย สวยมาก

เสียดายอะไรในการถ่ายหนังแบบเก่ามากที่สุด
เวลา การถ่ายหนังด้วยฟิล์มแบบเก่ามันมีช่วงเวลาที่ต้องรอเยอะ เช่น ฟิล์มหมด ก็ต้องเปลี่ยนฟิล์ม กว่าจะใส่ฟิล์ม กว่าจะร้อย ยิงคัลเลอร์ชาร์ต แล้วความที่ฟิล์มคุณภาพไม่มีทางเท่าดิจิทัลอยู่แล้วในแง่ของการรับแสงรับภาพ มีข้อจำกัดในการทำโพสต์โปรดักชั่นเยอะกว่า ทำให้ตอนถ่ายตากล้องเราใช้เวลาเยอะในการจัดไฟ มันมีเวลาที่ต้องรอเยอะ เราก็มีเวลาคิดกับทุกๆ อย่างตรงหน้าเยอะขึ้น ดิจิทัลมันเร็ว มันถ่ายได้ปั๊บๆๆ ผู้กำกับอย่างเราซึ่งคิดช้า แก้ปัญหาช้า ทำอะไรช้า ก็มีปัญหาเหมือนกัน คิดไม่ทัน

แล้วคุณทำไง
adapt ฮะ เราก็ปรับตัวได้ แต่มันมีความงามตอนจบที่ฉายขึ้นมาที่เสียดายเกรนของมัน อันนี้เป็นเรื่องรสนิยมแล้วล่ะ

ผู้กำกับรุ่นเดียวกับคุณที่ยังทำหนังอยู่มีใครบ้าง
เจ้ย (อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล) ยังทำอยู่ ได้ข่าวว่าวิศิษฐ์ ศาสนเที่ยงก็ยังทำอยู่ แอบทำอยู่คนเดียว พี่อุ๋ยก็ยังทำ แต่ที่แปลกใจคือผู้กำกับรุ่นน้องเราซะอีก เลิกกันไปหลายคนเหมือนกันนะ ก็ไปเป็นเจ้าของบริษัทกัน ผู้กำกับแฟนฉันนี่ยังเหลือใครยังทำหนังอยู่นะ (ผู้ช่วยเป็นเอกบอกว่า ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ ไปทำซีรีส์ไง) พวกผู้กำกับรุ่นเราซะอีกที่ยังทำหนังอยู่ ทำซีรีส์ไม่เป็น

เคยมีคนติดต่อมั้ย
มี

ไม่รับเพราะว่า
ไม่กล้าทำ ซีรีส์มันต้องป๊อปน่ะ ไม่ป๊อปไม่ได้เลยนะ

คุณดูฮอร์โมนส์มั้ย
ไม่ได้ดู เห็นบ้างเวลาเพื่อนแป้น (แฟนเป็นเอก) เขาดูในไอแพด เราไม่ชอบซีรีส์เลย

Netflix ล่ะ
ไม่ดูเลย แป้นดู เราไม่ดู (แป้นพูดเสริมว่าเคยดูด้วยกันอยู่นะ) ก็ดู Breaking Bad อยู่อันเดียว ดูไม่ครบซีซั่นด้วย เราดูไปไม่เคยเกินสิบนาทีเลย เพราะอะไรรู้มั้ย แม่งพูดกันเยอะ คือซีรีส์มันต้องเล่าด้วยไดอะล็อกน่ะ เราไม่ค่อยชอบหนังที่คนออกมาพูดๆ หรืออย่างฮอร์โมนส์ก็คงเป็นซีรีส์ที่ดีเพราะคนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่อย่างเรา เราไม่ค่อยเข้าใจปัญหาของวัยรุ่นน่ะว่ามันเรื่องใหญ่อะไรกันนักวะ โห พูดเรื่องเกย์ชนิดที่เรียกว่า open เราไม่เห็นจะรู้สึกว่าแปลกอะไร

หลักๆ คือของเหล่านี้มันดูในโรงไม่ได้ มันต้องดูผ่านคอมพิวเตอร์หรือผ่านทีวี ดูที่บ้านน่ะ แล้วเราไม่ชอบดูหนังอะไรผ่านทีวีผ่านคอมพิวเตอร์ เราดูหนังแต่ในโรงอย่างเดียว

ช่วงหลังคนในวงการเถียงกันเรื่องความต่างระหว่างหนังใน Netflix และหนังฉายโรง คุณไปแสดงความเห็นอะไรกับเขาบ้างมั้ย อยู่ฝั่งไหน
เราไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เพราะอะไรรู้มั้ย สมมติว่ามีคนนึงที่มีเงินสัก 10 ล้านเดินมาโต๊ะนี้แล้วบอกว่า ผมชอบหนังพี่ต้อมมาก ผมมีสิบล้าน พี่มีไอเดียอยู่มั้ยตอนนี้ เราบอกมี พี่ทำให้อยู่ในสิบล้านได้มั้ย ผมให้พี่สิบล้านแล้วผมให้เลย เป็นนายทุนให้พี่ ทำเสร็จฉายโรง แล้วในขณะเดียวกัน Netflix มาหาเรา บอกว่าเป็นเอกยูมีไอเดียอะไรมั้ย ไอให้ 50 ล้าน มากกว่าคนนั้นห้าเท่า แล้วฉายในทีวีใน Netflix เราเลือกทำสิบล้านแล้วฉายโรง เพราะหนังที่เราทำมันดูในทีวีไม่ได้

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้า Netflix มาให้เงินเราไม่ถึง 50 ล้าน ให้ 30 แล้วบอกมึงทำหนังให้กูหน่อย แต่เราไม่มีคนอื่นมาเสนอให้ เราไม่มีตัวเลือกอื่น เราก็ทำ เพราะว่าคนทำหนังมันอยากทำหนัง มันก็จะไปในที่ที่ให้มันทำหนัง ถ้าตอนนี้ในประเทศไทยไม่มีใครให้เราทำหนังแล้ว แล้วอยู่ๆ ที่มองโกเลียมีเศรษฐีคนหนึ่งให้เราไปทำหนังที่มองโกเลีย เราก็ไป แต่ถ้าเรามีทางเลือก เราเลือก

ดูคุณยังเชื่อเรื่องการฉายในโรง
ใช่ แต่เราไม่ได้ต่อต้าน Netflix เพราะเราหยุดเทคโนโลยีไม่ได้ เดี๋ยววันนึงมันก็จะครองโลก เหมือนเฟซบุ๊ก มันมีอาการคล้ายๆ กัน ตอนนี้ทุกคนดู Netflix ทุกบ้านมีหมด ในที่สุดก็จะครองใจทุกคน เพราะอะไร แม่งโคตรสบายเลย แล้วถ้าบ้านเรามีตังค์หน่อย จอทีวีเราก็ใหญ่เกือบจะเท่าโรงหนังได้อยู่แล้ว มันทำให้คนขี้เกียจเข้าโรงหนังได้เลย

ตอนนี้เราดูหนังคุณทางช่องสตรีมมิ่งได้มั้ย
ก็มีบ้าง เพื่อนแป้นอยู่เบลเยี่ยมก็ดูโหลดเสียตังค์อยู่ดี แต่ไม่เสียก็มี แป้นก็เคยดูที่สเปน คงมีอยู่แล้ว ในยูทูบก็มีแบบทั้งเรื่องเลย แล้วมาโฆษณาตรงแคปชั่นด้วยนะว่าชัดเท่า HD เล่นของกูฟรี เสือกโฆษณาด้วย แต่ก็ดีนะ แคปแล้วชัดดี

คุณชอบ Samui Song มั้ย
ชอบฮะ มันเอาจนได้

นานๆ จะเห็นคุณชมหนังตัวเอง
มันเอาจนได้ แต่ว่ากว่าจะออกมาได้เราก็แทบจะไล่เปิดทุกคนออกจากชีวิตเราให้หมด เราทำอะไรไม่ถูก เพราะทุกคนช่วยเหลือเรากันจังเลย มีแต่ความปรารถนาดีแต่ไม่มีความเข้าใจ คือเวลาเราหลงทางเราต้องการหลงทางคนเดียวเงียบๆ ของเรา แล้วเราค่อยๆ หาทางกลับมา แต่นี่โปรดิวเซอร์มันหลายคนมาก พอหลงทางทีทุกคนแจมช่วยกันใหญ่ด้วยความหวังดี คือช่วยแล้วกูยิ่งงง

งาน 20 ปีเป็นเอก มีคนมาช่วยคุณเยอะมาก แปลกใจมั้ย
ไม่แปลกใจแต่ปลื้มใจเพราะเขาไม่ต้องช่วยก็ได้ อย่างเต๋อ นวพล เขาไม่ต้องมาช่วยเราก็ได้ พี่ดา (ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ จาก Documentary Club) ป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) แต่เขาช่วย แสดงว่าสิ่งที่เราทำมาคนก็เห็น คนพวกนี้เขาไม่ได้เห็นแค่คุณค่าของหนังเรา แต่เห็นคุณค่าในตัวเราด้วย

เราจำได้ว่าครั้งหนึ่งป๋าเต็ดโทรมา เราไม่ได้รับ แต่เราไม่โทรกลับเพราะอยู่เมืองนอก พอกลับมาเมืองไทยเราก็ลืมไปเลย แล้ววันนึงป๋าเต็ดก็โทรมาอีก แกบอกว่าพี่ต้อมครับผมอ่านหนังสือที่วรพจน์สัมภาษณ์พี่ต้อม (อย่างน้อยที่สุด โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์) ผมอ่านแล้วรู้แล้วว่าทำไมชีวิตผมถึงมีความสุขน้อยลงว่ะ ผมแม่งลืมสิ่งที่ผมเคยเป็น ผมจะกลับไปเป็นแบบที่ผมเคยเป็นแล้ว บางทีเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไป พล่ามไป มันไปมีผลอะไรกับคนมากแค่ไหน

แปลกดี ก่อนหน้านี้คุณจะรู้สึกว่างานตัวเองไม่ได้สำคัญกับโลกมาก
ใช่ฮะ เดี๋ยวนี้ไม่ ใคร appreciate งานกู เอาเลย ไม่หรอก เราว่าเป็นความแก่ เมื่อก่อนมันมีความอาย อย่างที่บอกเวลามีคนมาชื่นชมแล้วเอาเข้าจริงกูก็เห็นแผลเต็มไปหมด เมื่อก่อนเวลาคนมาชื่นชมเราจะเขิน ก็จะพูดอะไรเหี้ยๆ ออกไป เวลาคนมาบอกว่า พี่ต้อมครับ ผมชอบหนังพี่มากเลยครับ รีแอคชั่นเราคือ ขอบคุณครับน้อง น้องเป็นคนไม่ปกติเนอะ แล้วพ่อแม่รู้มั้ยเนี่ย คือแบบมึงจะพูดแบบนี้ทำเหี้ยอะไร เดี๋ยวนี้คือ ขอบคุณครับน้อง เยี่ยมเลย (หัวเราะ) เดี๋ยวรอดูหนังเรื่องใหม่นะครับ กำเงินไว้เลย (หัวเราะ)

วันก่อนคุยกับก้อง ฤทธิ์ดี แกบอกว่าพี่ต้อมเชื่อมั้ย คนบอกว่า Last Life in The Universe เป็นหนังดีในประวัติศาสตร์ไปแล้ว มันเป็นหนังเก่า สำหรับเรามันคือ 15 ปี มันไม่ได้นาน แต่สำหรับคนสมัยนี้ที่สามารถลืมทุกอย่างได้ใน 3 วัน 15 ปีนานมาก เพราะว่าอะไรก็ตามที่อ่านในเฟซบุ๊กแล้วประทับใจ 3 วันก็ลืม

เคยไปทำโฆษณาตัวหนึ่งแล้วโดนด่ายกใหญ่ในนี้ เป็นเดือดเป็นร้อนกันยกใหญ่ เอเจนซีโทรมา ชิบหายแล้ว เชื่อมั้ย อีกสองวันแม่งหายไปเลย เพราะมีเรื่องอื่น ช่วงบ่ายหายไปแล้ว เพราะมีเรื่องเข็มทิศชีวิตมากลบ แม่งช่วยชีวิตกูชิบหาย ทุกอย่างถูกลืมเร็วมาก

เราไม่มีเฟซบุ๊กด้วย คนเลยไม่รู้จะรู้จักเราได้ยังไง อยู่ในถ้ำ คนจะรู้จักเราก็ต่อเมื่อเราทำหนัง แล้วหนังออกฉาย มันถึงจะรู้ ระหว่างทำหนังอยู่กี่ปีมันก็ไม่รู้ คนทั่วไปเวลาออกกองถ่ายต้องถ่ายรูปกับดาราแล้ว ตอนนี้ถ่ายหนังอยู่กาญจนบุรี หนาวจังเลย ข้าวกลางวันวันนี้มีข้าวมันไก่ คืออย่างเรานี่คือ สมมติจากฝนตกขึ้นฟ้ามา Samui Song คนก็ไม่รู้จักเราไปเลยในช่วงระยะห่าง 6 ปี เพราะตอนประชาธิป’ไทยเขาห้ามโปรโมตด้วย เราก็หายไปเลย

มันก็จริง แต่เราลืมคิดสิ่งเหล่านี้ คนไม่รู้จักกูได้ไงวะ นักเรียนภาพยนตร์บางคนยังไม่รู้จักเราเลย เรานึกถึงท่านมุ้ย ขนาดกูยังไม่รู้จัก แล้วท่านมุ้ยจะรู้จักมั้ย เปี๊ยก โปสเตอร์คือใคร

ไปอยู่ในทีสิสหมดแล้ว
แต่เราอยู่ในทีสิสทุกคนหมดนะ

facebook | Pen-ek Ratanaruang film page

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR