เป็นเอก รัตนเรือง เรื่องตลก (ในวัย) 61

ถ้า ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ จะเข้าฉายทั้งที มันจะมีวันไหนที่เหมาะไปกว่าวันที่ 6 เดือน 9 เล่า!

นั่นคือกิมมิกสนุกๆ ของซีรีส์โดย Netflix เรื่องนี้ ซึ่งสร้างห่างจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันเป็นเวลา 24 ปี สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การได้ เป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับเวอร์ชันภาพยนตร์มากำกับซีรีส์เป็นเรื่องแรกด้วย

หลายคนคงรู้สึกเซอร์ไพรส์เหมือนกัน นั่นคือ เซอร์ไพรส์ที่ 1 เป็นเอกคือคนที่พูดมาตลอดว่าเขากำกับซีรีส์ไม่เป็น เซอร์ไพรส์ที่ 2 เขามาทำซีรีส์เรื่องแรกที่รีเมกจากหนังของตัวเองอีกที

“ผมแม่งเป็นคล้ายๆ ร่างทรง เวลาเขียนบท พอเขียนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เราจะควบคุมมันไม่ค่อยได้ บทมันจะเริ่มเขียนตัวมันเอง เริ่มพาผมไปเจอสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิด เพราะฉะนั้นกว่าบทจะเสร็จ มันมี Element ที่ท้าทายเต็มไปหมดที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่เคยคิดว่าจากหนังเรื่องเดียวกันมันจะหน้าตาเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่อยากจะสื่อสารด้วยคือ ไม่อยากจะให้คิดว่ามันเป็นรีเมกเพราะมันไม่ใช่”

“ผมกลัวมากตอนทำเรื่องนี้ ตรงที่ว่า ผมกลัวมันจะเหมือนเรื่องตลก 69 เรื่องเดิม แล้วจะทำทำไมวะ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมนอนไม่หลับตลอดการทำซีรีส์เรื่องนี้ เพราะผมไม่ได้คิดว่าผมรีเมกอยู่”

เป็นเอกบอกความในใจกับเราแบบนั้นผ่านการสัมภาษณ์ทาง ZOOM ซึ่งเราคิดว่ามันยิ่งทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีความน่าใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าเราจะได้เห็นเรื่องตลก 69 ที่มีองค์ประกอบใหม่ๆ ต่างออกไปจากเดิม นอกเหนือไปการได้เห็นความทุ่มเทให้กับบทของนักแสดงนำอย่าง ใหม่ ดาวิกา ที่ลงทุนลดน้ำหนักจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ในวัย 61 เป็นเอกอยู่เชียงใหม่ นานๆ ทีก็ยังมีเพื่อนมาชวนให้ไปกำกับโฆษณาบ้าง แต่ส่วนใหญ่หลักๆ แล้วเขาหันมาทำงานศิลปะมากขึ้น ทั้งภาพพิมพ์ เพนต์ติ้ง คอมมิกบุ๊ก และปัจจุบันกำลังแฮปปี้กับผลงานการกำกับเรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์มาก

เดี๋ยวนี้คุณยังได้เตะบอลอยู่ไหม

ได้เตะครับ เพียงแต่ว่าหยุดไป 3 ปีตอนโควิด ไม่กล้าไปโดนคนใกล้ๆ ว่ะ กลัวเหงื่ออีก ก็เลยหยุดไปเกือบ 3 ปี ตอนนี้ก็กลับมาเตะ 

ยังไหวอยู่ใช่ไหม

อ๋อ เราก็ไม่เล่นแบบวัยรุ่นไง เราก็เล่นแบบผู้สูงอายุเล่น (หัวเราะ) คือไม่เลี้ยงไม่วิ่ง 

อายุ 61 กับการออกกองถ่ายหนังความคล่องตัวอะไรมันเปลี่ยนไปไหม 

ไม่รู้นะ แต่ผู้กำกับหนังนี่มันคล้ายๆ ร็อกสตาร์เหมือนกัน ทำไมรู้ไหม ไม่ว่าคุณจะแก่ยังไง ล้างจานที่บ้านนะ ล้างเกินห้าจานแม่งเจ็บเอว วันก่อนปีนขึ้นไปเปลี่ยนผ้าม่าน จะเอาผ้าม่านลงมาซัก เสือกหันเอวผิดหน่อย แม่งเจ็บหลังไปสองอาทิตย์ ต้องไปหาหมอกายภาพ แต่เชื่อไหม ออกไปกำกับหนังไปกำกับซีรีส์นะ ทีมงานที่อายุ 20 กว่า ตีหนึ่งตีสองแม่งน็อกกันแล้ว ผมนี่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่เลย ไม่มีปัญหาเลย นักแสดงคนหนึ่งในหนังบอกว่า พี่ต้อม ผมไม่เคยเห็นพี่ต้อมนั่งหน้ามอนิเตอร์เลย พี่ต้อมวิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลาเลย คือผู้กำกับมันเหมือนเป็นร็อกสตาร์ พอขึ้นเวทีปั๊ปสารแม่งหลั่งว่ะ อะดรีนาลีนมันหลั่ง เชื่อไหม บางวันผมถ่าย สมมติคิวกลางคืน เราเริ่มถ่ายตั้งแต่สองทุ่ม กว่าผมจะเลิกเจ็ดโมงเช้า กลับบ้านไปผมยังไม่นอนนะ ยังชงกาแฟมานั่งกินดูฟุตเทจอยู่เลย นอนไม่ได้ มันตื่นเต้น ถ่ายซีรีส์เรื่องนี้ 40 กว่าคิว ผมนอนน้อยมาก มันนอนไม่หลับ ตื่นเต้น นี่ทำมา 20 กว่าปีแล้วยังไม่หายตื่นเต้นเลย 

ฉะนั้นคำตอบก็คือว่า คือเราจะรู้สึกแก่และไม่ไหวต่อเมื่อเราหมดความสนใจมากกว่า ถ้าเราหมดความสนใจ หมดความกระตืนรือร้น เขาเรียกว่าหมดไฟมั้ง ถ้ารู้สึกอย่างนั้นเมื่อไหร่มันก็คือไม่ไหว

เหมือน คลินท์ อีสต์วูด ที่เก้าสิบแล้วยังทำหนังอยู่ 

ใช่ มาร์ติน สกอร์เซซี ล่ะ เท่าไหร่แล้ว วูดดี อัลเลน อีก 

แต่อย่าง เควนติน ทารันติโน บอกว่าจะทำ 10 เรื่องแล้วพอ

อย่างเควนตินนั่นเป็นกรณีว่าเขารักษา Filmography ของเขา คือเขาบอกว่า ผู้กำกับถ้าทำหนังเกิน 10 เรื่องปั๊ป หลังจากนั้นมันจะมีหนังเหี้ยในชีวิตบ้าง ซึ่งแน่นอน ก็จริง ผมว่าเควนตินเขารักษา Filmography เขา เขารู้เลยว่าหลังจากเรื่องที่ 10 ปั๊ป เขาจะหมดความสนใจละ 

คุณเลือกทางไหน 

ผมเชื่อว่าผมไม่เลือกแบบเควนตินแน่ๆ แล้วเสร็จแล้วหลังจากนั้นผมทำอะไรล่ะ ผมคิดว่าโชคดีนะ ผู้กำกับที่สามารถเลือกได้ว่า ฉันจะหยุดก่อนที่คนอื่นบอกให้ฉันหยุด อย่างกรณีเควนตินเขาเป็นคนโชคดีมากที่เขาสามารถบอกได้ว่าถึงตรงนี้กูหยุดละ กูพีคปั๊ปกูหยุด แล้วพวกมึงจะต้องคิดถึงกู แล้วกูจะจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่า มึงดูหนัง 10 เรื่องของกูสิ แต่ละเรื่องเวิร์กในหลายๆ ระดับ แต่ไม่มีเรื่องที่ไม่เวิร์ก 

แต่อย่างเราไม่ได้โชคดีแบบเขา ผมคิดว่าคนที่จะบอกให้ผมหยุดทำหนังก็คือนายทุนกับคนดูมากกว่า ไม่ใช่ตัวผม วันหนึ่งหาทุนไม่ได้แล้ว หายังไงก็หาไม่ได้แล้ว มันก็บ่งบอกแล้วว่าไม่มีใครเขาแคร์สิ่งที่มึงพูดแล้ว 

หลายคนคงเซอร์ไพรส์เหมือนกันที่เห็นคุณมากำกับซีรีส์ เพราะคุณเองเคยพูดมาตลอดว่าทำซีรีส์ไม่เป็น อะไรเป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจทำงานชิ้นนี้   

ตอนแรกคิดว่าจะเขียนบทอย่างเดียว คือไอเดียการเอา เรื่องตลก 69 มาทำซีรีส์มันไม่ใช่ไอเดียผมนะ เป็นไอเดียของทางไฟว์สตาร์ เขาคิดว่าเรื่องนี้มันคงมีโพเทนเชียลมั้ง จริงๆ ก่อนหน้านี้สักพัก ทาง Netflix เขาเคยเอาพวกหนังไทยเก่าๆ ประมาณรุ่นสมัยผมเริ่มทำหนังใหม่ๆ อย่าง พี่อุ๋ย นนทรีย์, วิศิษฏ์ (ศาสนเที่ยง) โดยร่วมกับหอภาพยนตร์ ให้ทางหอภาพยนตร์คิวเรตแล้วเอามาฉายใน Netflix ผมเข้าใจว่า เรื่องตลก 69 เป็นเรื่องหนึ่งที่คนดูเยอะเหมือนกัน แล้วเขาก็เลยคิดว่ามันคงมีโพเทนเชียลในการเอามาขยายทำเป็นซีรีส์ เพราะมันมีความบันเทิงสูง ทางไฟว์สตาร์เขาก็เลยโทรมาชวนผมว่า อยากจะทำเรื่องนี้เป็นซีรีส์ ผมสนใจไหม ผมก็พูดเหมือนที่คุณพูดเมื่อกี้ว่า ทำซีรีส์ไม่เป็น ผมไม่มีความอยากทำซีรีส์เลย แต่จำได้ว่าเมื่อสมัยที่ผมทำมันเป็นภาพยนตร์เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว มันมีเรื่องของตัวละครอยู่ 2-3 ตัวที่ใส่เข้าไปในหนังไม่ได้ เวลามันไม่พอ ผมก็เลยบอกว่าผมเขียนบทให้ไหม เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงโควิดแรกๆ แล้วผมไปไหนทำอะไรไม่ได้เลย ผมอยู่เชียงใหม่เป็นปีเลย ออกกองถ่ายไปถ่ายหนังไปทำอะไรไม่ได้เลย ผมก็เลยนั่งเขียนบท 

พอเขียนบทไป ด้วยความคิดว่าจะให้เขาไปหาผู้กำกับเด็กๆ หน่อยมากำกับให้มันเข้ากับยุคสมัย เขียนๆ ไปพอใกล้จะเสร็จ มีความรู้สึกหมาหวงก้างขึ้นมา (หัวเราะ) คือกลัวว่าถ้าคนที่เขาไม่ได้มีเซนส์เดียวกับเรา ต้องบอกก่อนว่าอารมณ์ขันหรือมุขตลก มันมีหลายแบบ ทีนี้ไอ้มุขเดียวกัน การเขียนสคริปต์เรื่องเดียวกัน แต่ว่าพอคนเอาไปอ่านแล้วไปตีความในหัว มันก็ตลกเหมือนกันแต่ไม่ใช่ตลกแบบที่เราต้องการ ก็มีความกังวลตรงนั้นว่า เดี๋ยวคนอื่นเอาไปตีความผิดแล้วมันจะไม่เป็นอย่างที่เราวาดภาพไว้ในหัว ก็เลยเกิดอาการหมาหวงก้าง คือว่าถ้ามันจะไปอยู่ในมือคนอื่นแล้วมันอาจจะแย่ กูขอทำด้วยมือกูละกัน ก็เลยตัดสินใจกำกับด้วย

แต่ปรากฏว่ามันไม่พัง โชคดีของทุกคน มันออกมาเราค่อนข้างจะแฮปปี้มาก 

เขียนบทซีรีส์คุณถนัดไหมหรือต้องมีวิธีปรับความคิดยังไง 

ไม่ถนัดเลยฮะ เขียนบทหนังเราทำมานาน มันรู้ว่าต้องเปิดหนังยังไง 5-10 นาทีแรกต้องเป็นยังไง ครึ่งชั่วโมงผ่านไปต้องเป็นยังไง ตอนแลนดิ้งลงตรง 90 นาทีหรือ 100 นาที มันต้องสวยงามยังไง เรารู้ไง พอเป็นซีรีส์ โอ้โห มันคนละศาสตร์เลย ก็เลยต้องใช้วิธีว่าคิดเอาเองว่า ใน 45 นาที รู้อย่างเดียวมันต้องเปิดน่าสนใจ และปิดน่าสนใจ เพื่อให้คนกดดูอีพีต่อไป คิดอย่างนั้นแล้วก็ลุยเลย ลุยด้วยการเขียนโน้ตก่อนตอนแรก ยังไม่เขียนบท เขียนโน้ตไว้เยอะๆ คือตัวเรื่องมันไม่ต้องเขียนโน้ตแล้ว เพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องเป็นยังไง เส้นเรื่องหลัก แต่ว่าไอ้พวกตัวละครที่เราอยากไปเจาะเบื้องหลังมัน ตัวละครที่ไม่ใช่นางเอก ไม่ใช่ตุ้ม ตัวละครแบบเจ้าของค่ายมวยครรชิต ตัวละครแบบสุวัตรเจ้านายนางเอก ตัวละครแบบเพื่อนบ้าน ตำรวจ อะไรพวกนี้ มันเป็นตัวละครที่ตอนเป็นภาพยนตร์ มีไอเดียอยู่แต่ไม่สามารถใส่เข้าไปได้ ก็เลยเริ่มเขียนโน้ตตัวละครพวกนี้ก่อนว่า มันเป็นคนยังไง เบื้องหน้าที่เราเห็นมันทำสิ่งนี้ในหนัง แต่เบื้องหลังมันทำอะไร มันมีอะไร พอขุดไปปั๊ป โอ้โห ก็เจอขุมทรัพย์เลย แต่ละคนนี่เบื้องหลังแม่งน่าสนใจมากเลย

เอาเป็นว่ามันเริ่มจากการไปทำความเข้าใจตัวละครที่ไม่ใช่นางเอก ตัวละครตัวอื่น ไปทำความเข้าใจเบื้องหลังมันว่าทำไมมันถึงมาทำอาชีพนี้ ทำไมมันมาเป็นคนแบบนี้ แล้วเราก็เริ่มเห็นว่า อ๋อ ไอ้ตำรวจมันมีอีโก้เว้ย แม่งแข่งกับเจ้านายมันเว้ย มันจะเลื่อยขาเก้าอี้เจ้านายมัน ไอ้หัวหน้าค่ายมวย แม่งล้มมวย แต่กลับมีจุดยืนทางการเมืองด้วย มันอยากจะเปลี่ยนแปลง เราเริ่มไปค้นพบสิ่งเหล่านี้จากตัวละครพวกนี้ เพราะตอนที่ทำเป็นภาพยนตร์เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เหมือนกับรู้จักพวกเขาแบบผิวเผิน เรื่องนี้มันเหมือนกับ เออ ไปบ้านมันหน่อยเว้ย แวะไปหามันที่บ้าน ไปนั่งคุยกับมัน ก็เริ่มไปเห็นว่า อ๋อ มันแต่งบ้านแบบนี้เว้ย เวลาอยู่ที่บ้านมันไม่ได้แต่งตัวแบบที่กูเห็นในหนังนี่หว่า เริ่มไปเห็นสิ่งนี้

จากนั้นพอเขียนโน้ตเสร็จก็ค่อยๆ วางว่า แต่ละอีพีจะโฟกัสที่ตัวละครไหน ในขณะที่เส้นเรื่องหลักก็ต้องเดินร้อยผ่านทุกอีพีไป หมายถึงนางเอกกับความวินาศสันตะโรของชะตากรรมของเธอก็ต้องเดินไปทุกอีพี 

ก็คือคุณเขียนในลักษณะของการใช้เซนส์ว่าบทซีรีส์มันควรจะอย่างนี้แหละ เปิดอย่างนี้ปิดอย่างนี้ ร้อยเรื่องไปแบบนี้ โฟกัสที่ตัวละครเป็นแต่ละอีพีไป 

จริงๆ ตอนเริ่มต้นจะลงมือเขียนรู้สึกว่ายากเพราะไม่เคยทำ แต่พอลงมือเขียนไปสักอีพีหนึ่ง แก้ไปแก้มา อืดไปว่ะ อันนี้ไม่ควรเปิดอย่างนี้ว่ะ เข้าเรื่องเร็วไปหน่อยว่ะ คืออีพีหนึ่งมันใช้เวลานานมาก แต่เหมือนพอรู้สึกดีกับมัน เราก็เข้าใจแล้วว่า อ๋อ ในหนึ่งอีพีมันต้องประกอบด้วย Pacing ประมาณแบบนี้ เพียงแต่ว่ามันจะเหมือนกันทุกอีพีก็ไม่ได้ พอถึงอีพีที่สามก็จะเบื่อ มันจะเริ่มเดาได้ ถ้าเกิด Pacing มันเหมือนกันไปหมด คือเป็นการเรียนรู้เยอะมากจากการทำสิ่งนี้ เราเริ่มรู้ว่า อ๋อ แต่ละอีพี โอเค เราต้องไม่นำหน้าคนดูไกลเกินไป แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเซอร์ไพรส์คนดูไปได้เรื่อยๆ ด้วย เพราะว่าถ้าคุณหยุดเซอร์ไพรส์คนเมื่อไหร่ คนจะหยุดดู โดยเฉพาะอย่าลืมว่าซีรีส์นี้มันเคยถูกทำเป็นหนังมาแล้ว แล้วผมเชื่อว่าคนที่จะมาดูซีรีส์นี้จำนวนหนึ่งเลยก็เคยดูฉบับภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นทุกอีพีมันต้องมี Element ที่ทำให้เขาหยุดดูไม่ได้ ต้องมีเซอร์ไพรส์ไปเรื่อยๆ ไม่ง่าย แต่ว่าพอเครื่องติดแล้ว มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น 

ทีนี้เวลากำกับ มันเหมือนเรากลับไปทำสิ่งที่มันซ้ำกับที่เราเคยทำไหม

ไม่เหมือนเลย เพราะว่าอย่างที่บอก บทที่ถือออกไปถ่าย มันก็เต็มไปด้วย Element ที่เราไม่เคยรู้จักจากภาพยนตร์เลย ผมไม่รู้ว่าคนเขียนบทหรือผู้กำกับคนอื่นเขาทำงานกันยังไงนะ แต่อย่างผมนี่ ผมแม่งเป็นคล้ายๆ ร่างทรง เวลาเขียนบท พอเขียนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เราจะควบคุมมันไม่ค่อยได้แล้ว หนังมันจะเริ่มเขียนตัวมันเอง เริ่มพาผมไปเจอสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิด เพราะฉะนั้นกว่าบทจะเสร็จ มันมี Element ที่ท้าทายเต็มไปหมดที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่เคยคิดว่าจากหนังเรื่องเดียวกันมันจะหน้าตาเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่อยากจะสื่อสารด้วย คือไม่อยากจะให้คิดว่ามันเป็นรีเมกเพราะมันไม่ใช่ มันเป็นชาเลนจ์ใหม่เลย เพราะฉะนั้นเวลาออกไปกำกับ ผมก็ไม่ต้องมานั่งคิดว่า เฮ้ย กูจะทำยังไงไม่ให้แม่งเหมือนเรื่องเดิมวะ ไม่ต้องคิดตรงนั้นเลย 

แล้วพอต้องไปเผชิญหน้าออกกองหรือว่ากำกับมันจริงๆ แล้ว มันเป็นแบบที่เราเคยคิดไว้ไหมว่าเราไม่น่าจะทำซีรีส์เป็น หรือว่ามันเกิดความรู้สึกบิลด์มาตั้งแต่ตอนเขียนบทแล้ว

ใช่ มันบิลด์มาตั้งแต่ตอนเขียนบท แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่รู้ว่าทำซีรีส์เป็นมันแปลว่าอะไรไง คือเราไม่มีวันรู้เลยนะว่าผมทำเป็นหรือเปล่าจนกระทั่งวันที่ 6 เดือน 9 ที่มันจะฉาย วันนั้นแหละคนดูจะเป็นคนบอกว่าผมทำเป็นหรือเปล่า (หัวเราะ) คือผมรู้สึกดีกับมันมาก ผมแฮปปี้กับบทมาก แล้วเวลาผมออกไปกำกับผมก็แฮปปี้กับสิ่งที่นักแสดงเอามาให้ผมทุกอย่าง คือผมแฮปปี้มาก แต่ทีนี้เราไม่รู้ว่าความแฮปปี้อันนั้นของผม คนดูจะตอบสนองยังไง เพราะฉะนั้นถ้าคุณถามผมว่า ผมรู้สึกไหมว่าผมทำซีรีส์เป็นหรือไม่เป็น แม่งตอบไม่ได้ว่ะ 

แต่ว่าเรารู้ว่าถ้าเราทำงานเสร็จแล้ว เราสามารถควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในคอนโทรลของเราไปได้ตลอด พอตอบจบจะรู้สึกแล้วว่า แม่งจะไม่ค่อยดีว่ะ มันอาจจะออกมาไม่ดีเพราะเราควบคุมมันได้หมด แต่ว่าซีรีส์อันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลย เราถ่ายกันประมาณสัก 40 กว่าวัน 40 กว่าคิว ผ่านไปสัก 10 คิวได้มั้ง เราก็รู้แล้วว่า แม่งดีแน่ๆ เลย เพราะว่าเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย หมายถึงเป็นเรื่องการแสดง อย่างอื่นไม่ค่อยมีปัญหา สิ่งที่นักแสดงเอามาให้คือ ไม่มีใครเล่นตามตัวละครที่เคยเล่นเอาไว้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วฉบับเป็นหนัง นักแสดงที่ต้องมาเล่นเป็นตัวละครเหล่านั้น ไม่มีใครเล่นแบบนั้นเลย ทุกคนเขาคิดของเขามา มันเซอร์ไพรส์เราได้ตลอด 

คือตัวละคร เรานึกว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่พอออกไปถ่ายทำจริงๆ พอเขาเริ่มก้าวเข้ามาหน้ากล้อง เริ่มจัดการกันไปสักพัก เชี่ยแม่งไม่เป็นอย่างนั้นว่ะ คือเวลาผมทำหนังทำซีรีส์ นี่คือสิ่งที่เรามองหา คือสิ่งที่เรากำกับไม่ได้ ผมมีหน้าที่เปิดเรดาห์ทิ้งเอาไว้แล้วผมก็ต้องเซนส์มันไปเรื่อยๆ ว่าไอ้ทิศทางที่เขากำลังพาตัวละครตัวนี้ไปแม่งน่าสนใจไหมวะ น่าตื่นเต้นไหมวะ ผมเลือกใช้วิธีแบบนั้น

ส่วนไอ้เรื่องการผสมผสาน ผมไม่มีวันรู้จนกระทั่งผมมาตัดต่อ คือต้องเข้าใจว่า Shooting หรือการถ่ายทำมันเหมือนการไปช็อปปิ้ง เหมือนไปตลาด เรารู้ว่าเราจะทำอาหารจานนี้ เราต้องไปซื้ออะไรบ้าง ไปซื้อเครื่องแกงมา ไปซื้อมะนาว ไปซื้อเนื้อสัตว์ ทีนี้การผสมผสานมันเกิดขึ้นในห้องตัดต่อมากกว่า ของผมระหว่างถ่ายทำ ผมมีหน้าที่รู้อย่างเดียวว่า พอนักแสดงพาตัวละครไปทางนี้แล้วไม่น่าสนใจ แม่งไม่เวิร์กว่ะ เราก็จะมานั่งคุยกัน แต่ถ้าเขาพาไปในทิศทางที่เรารู้สึกว่า แม่งไม่ได้เป็นแบบที่กูคิดเลย แต่กูอยากดูมันไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกว่ามันเป็นทิศทางที่เราน่าจะไปกับเขา 

การกำกับซีรีส์ที่เป็นตอนๆ กับการกำกับหนังยาวต่างกันไหม

ถ้าแง่การกำกับไม่ค่อยต่าง หมายถึงว่าผมแค่ต้องรู้บีต ว่าซีนนี้ที่เรากำลังถ่ายมันอยู่ในอีพีไหน แล้วมันพูดถึงใคร สมมุติซีนที่ 15 ของอีพี 3 ผมต้องรู้ว่ามันอยู่ในอีพี 3 แล้วผมต้องรู้ว่าอีพีที่ 3 มันต้องมีความ tense ต้องมีอะไรประมาณไหน ตัวละครตัวนี้เป็นใคร แล้วซีนนี้มันเป็นซีนของใคร ผมต้องรู้แค่นั้นเวลากำกับ ซึ่งเวลากำกับหนังเราก็ทำเหมือนกัน ถึงแม้มันจะแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่เราต้องรู้ว่าซีน 47 นี้ มันอยู่ตรงนาทีที่เท่าไหร่ของหนัง มันอยู่ในนาทีที่ประมาณสัก 45 มั้ง แล้วถึงตรงนี้คนดูคาดหวังอะไร ก็จะทำคล้ายๆ กัน เราก็จะมีสิ่งนั้นเป็นไกด์ 

แต่ว่าพอคุณมีนักแสดงแก๊งนี้ที่มาเล่นเรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์ เขาทำตรงนั้นมา ทำได้ดีกว่าผมด้วย เขาจำบีตได้ บางทีผมไปแก้เขานะ เขาแสดงมาแล้วผมไม่ชอบ ผมก็ไปแก้เขา แล้วก็ลองทำกันไปอีกสักแป๊ปหนึ่ง พอมาดูในห้องตัดต่อ ปรากฏว่าอันที่ผมไปแก้มันไม่เวิร์ก ไอ้ที่เขาทำตอนแรกมันถูกต้องแล้ว 

การทำงานร่วมกับ ใหม่ ดาวิกา เป็นยังไงบ้าง

โอ้โห มหัศจรรย์มากครับ เรียกว่าแฮปปี้มาก คือผมไม่ได้รู้จักเขาเลย ผมเคยดูหนังเขาสองเรื่อง แล้วก็ไม่ได้รู้จักไม่ได้อะไร ตอนร่วมงานกันตอนแรกๆ ตอนคุยตอนที่ซ้อมกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะมีความระแวงระวังกันอยู่นิดๆ นะ ทั้งเขาและผม คือไอ้เขาระแวงระวังผมน่ะไม่แปลก ส่วนผมก็มีความระแวงระวังเขาในแง่ว่า เอ๊ะ มึงจะเก็ตกูไหมวะ เพราะว่าอย่างหนังที่เขาเล่นมา มันไม่ได้มีเซนส์แบบเรา มันก็จะมีความระแวงระวังกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าพอถ่าย 3 คิวผ่านไปนี่เรียกว่า ผมสบายใจแล้ว รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่เหมือนเรื่องตลก 69 อันเก่าแน่ๆ

คือพูดง่ายๆ ว่าผมกลัวมากเวลามาทำสิ่งนี้ ตรงที่ว่า ผมกลัวมันจะเหมือนเรื่องเก่า ผมกลัวมันจะเหมือนเรื่องตลก 69 เรื่องเดิม แล้วจะทำทำไมวะ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมนอนไม่หลับตลอดการทำหนังเรื่องนี้ มันคือสิ่งนี้สิ่งเดียวเลย ผมกลัวมันจะเหมือนเรื่องเดิม 

คือแน่นอน มันต้องเมนเทน Ingredience และเซนส์รวมๆ ของเรื่องเดิม หมายความว่าอยู่ๆ คุณจะมาทำเป็นหนังโรแมนติกคอเมดีมันไม่ได้แน่ๆ มันเป็นแบล็กคอเมดี มันเป็นตลกร้าย คุณต้องเมนเทนสิ่งนั้นเอาไว้ แต่ว่าภายในวงกลมของตลกร้าย ผมไม่อยากเดินแบบเดิม อันนั้นคือสิ่งที่กลัวมาก แต่อย่างดาวิกานี่ และผมก็คิดว่านั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวดาวิกาเขาด้วย ตั้งแต่ตอนเตรียมงาน ตั้งแต่ตอนที่เราคุยกันซ้อมกัน ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวเขามาตลอดว่า เขาไม่อยากเล่นเป็นหมิว (ลลิตา ปัญโญภาส ผู้รับบท ‘ตุ้ม’ ในฉบับภาพยนตร์) เขาไม่อยากให้ตุ้มมันเป็นตัวละครตัวนั้น แต่เขาก็ไม่ได้มาคุยกับผมเรื่องนี้นะ เขาก็คงทำของเขาไปเงียบๆ ในหัวเขา แล้วพอถ่ายดาวิกาไปได้สัก 3 คิว เรารู้แล้วว่าแม่งไม่เหมือนแน่ๆ แล้ว ตอนนี้มันอยู่ที่ว่าผมจะไปกับเขาถึงแค่ไหนมากกว่า 

คุณบรีฟเขาก่อนไหมว่าไม่อยากให้เล่นเหมือน   

ไม่เลย ผมไม่บรีฟอะไรทั้งสิ้นเลย ไอ้ตรงนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกันนะ คือนักแสดงบางคนเขาอยากให้ผู้กำกับบอกทุกอย่างเลย แล้วเขาจะจัดการมันได้ดีมาก แต่นักแสดงบางคนเราก็ต้องให้พื้นที่เขานิดหนึ่ง แล้วถ้าเราให้พื้นที่เขาแล้วเขาก้าวไปในทิศทางที่เรารู้สึกว่าแม่งไม่ค่อยดีว่ะ เราถึงจะคุยกัน 

แล้วอย่างผม ผมไม่ค่อยชอบไปกำกับนักแสดง ไม่ค่อยชอบไปบอกว่าอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมไม่ค่อย คือมันมีนักแสดงแบบนั้นที่ผมต้องจัดการ ส่วนมากก็คือเป็นพวกไม่ได้เป็นมืออาชีพ เพราะซีรีส์อันนี้นักแสดงมันหลากหลาย มีทั้งเบอร์แบบดาวิกา กับเบอร์ที่เป็นนักแสดงอาชีพที่เขาอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงเหมือนเป็นดารา แต่เขาเป็นนักแสดงอาชีพที่เป๊ะมากก็มี แต่ขณะเดียวกัน ก็มีนักแสดงอีกจำนวนหนึ่งเลยในซีรีส์เรื่องนี้ ที่บางคนเกิดมาไม่เคยเห็นกล้องถ่ายหนังด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการดีลกับนักแสดงแต่ละคนก็ต้องดีลคนละแบบ คือผมรู้สึกว่าถ้าผมได้ใหม่ ดาวิกา มาเล่นเป็นตัวละครตัวนี้ ถ้าผมไปบอกเขาไปหมดว่าผมอยากได้ยังไง ไม่อยากได้ยังไงปั๊ป ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มว่ะ มันไม่คุ้มเงินที่จ่ายไป รู้สึกว่าคุณมีอะไรในกระเป๋าควักออกมาให้ผมดีกว่า ผมชอบวิธีนั้นมากกว่า 

เพราะว่านักแสดงเบอร์นั้น คุณไม่ต้องไปห่วงเรื่องการแสดงเขาหรอกครับ เขาแม่งช่ำชองจนแทบจะสั่งได้ อยากให้เขาร้องไห้ซีนไหนเขาร้องไห้แงน้ำตาแตกได้ตรงหน้ามอนิเตอร์เลย อยากให้เขาหัวเราะตรงไหนเขาทำได้เลย ฉะนั้นการแสดงมันไม่ใช่ประเด็น มันคือเราต้องเปิดพื้นที่ ประกอบกับเราต้องชาเลนจ์เขาไปด้วยว่า ไหน มีอะไรดีควักมาให้หมด อย่าเก็บเอาไว้ มันเป็นวิธีนั้นมากกว่า 

ปกติที่ผ่านมาเวลาจบงานคุณเคยรู้สึกแฮปปี้ขนาดนี้ไหม 

น้อยมาก แทบไม่เคยเลย ครั้งนี้เป็นครั้งที่รู้สึกว่า เออ เชี่ยแม่งออกมาดีว่ะ ก็เนี่ยเวลาต้องประชุมกันกับทาง Netflix กับทางไฟว์สตาร์ พอหนังเสร็จแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มีความกังวลต่างๆ นานา ว่าอันนี้มันจะโดนไหม อันนั้นมันจะโดนไหม ผมเป็นคนเดียวในห้องประชุมเลยที่บอกว่า ผมไม่กังวลอะไรเลย ผมว่ายังไงก็เวิร์ก คิดดูสิ เดี๋ยวก็รู้ (หัวเราะ) แต่ว่าไม่บ่อยครับ

มันอาจจะเกี่ยวกับวัยด้วยหรือเปล่า คุณอาจจะมีความคลี่คลายอะไรบางอย่าง  

ไม่รู้ว่ะ แต่ว่าผมไม่ค่อยมานั่งวิเคราะห์เรื่องพวกนี้หรอกครับ ยิ่งโดยเฉพาะอารมณ์ตัวเองผมไม่ค่อยมานั่งวิเคราะห์หรอก ก็คือรู้สึกยังไงก็รู้สึกอย่างนั้น เพราะเวลามันรู้สึกไม่ดีกับอะไร มันก็รู้สึกไม่ดีนะ มันไม่ใช่ว่าเรารู้สึกไม่ดีแล้วเราจะมานั่งพูดว่าเรารู้สึกดี 

คุณมักพูดถึงแผลในหนังที่เคยทำ เอาจริงๆ ก็เป็นกับผู้กำกับทุกคน โอเค เรื่องนี้มันอาจจะมีอะไรใหม่ๆ แต่ว่าคุณได้กลับไปซ่อมแซมแผลเหล่านั้นไหม หรือว่าไม่ได้ไปแตะมันเลย

ไม่ได้ไปแตะมันเลยครับ เพราะต้องเข้าใจว่าเรื่องตลก 69 ฉบับที่เป็นภาพยนตร์มันทำมานานมากเกินกว่าที่ผมจะไปยุ่งกับมันแล้ว ผมไม่ได้คิดจะไปแก้ไขอะไรมันหรอก กับอีกอย่างก็คือ ผมกลัวมากว่ามันจะไม่หนีเรื่องเดิมมั้ง ฉะนั้นมายด์เซตของผมที่มาทำซีรีส์เรื่องนี้ มันเลยเป็นมายด์เซตของผม ผมไม่ได้คิดว่าผมรีเมกอยู่ ผมคิดว่าผมทำซีรีส์เรื่องใหม่เลย ผมก็เลยไม่ได้กลับไปดูหนังไม่ได้อะไรเลย คือผมไม่นั่งคิดว่าผมรีเมกหนังของตัวเอง ถ้าคิดแบบนั้น คิดว่าจะไม่ทำ จริงๆ ส่วนหนึ่งที่บอกกับไฟว์สตาร์ตอนแรกว่าผมจะไม่กำกับเอง ก็เพราะมีส่วนตรงนั้นด้วย เพราะผมรู้สึกว่า เชี่ย ให้กูมานั่งรีเมกหนังกู กูจะรีเมกยังไงวะ แบบถ่ายช็อตเดิมแต่เปลี่ยนเลนส์งี้เหรอ นั่นคือส่วนหนึ่งที่ตอนแรกลังเลว่าไม่อยากกำกับ แต่พอเราเขียนบทไปเรารู้แล้ว แม่งไม่ใช่รีเมกว่ะ 

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า สตรีมมิงเป็นโอกาสสำหรับเขาและผู้กำกับหลายๆ คน ทั้งในด้านการดูและการทำงาน สำหรับตัวคุณเอง ณ ตอนนี้ก็มาในจุดที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมา ก็คือทำซีรีส์ขึ้นสตรีมมิง ตอนนี้มองสิ่งนี้ยังไง ว่ามันคือเวย์ที่น่าไปกว่าไหม

ผมครึ่งๆ ครับ ผมว่าในกรณีของผมมันเป็นที่ตัวไอเดียของผม หรือเรื่องที่ผมมีมากกว่า คือบางไอเดียมันเหมาะที่จะเป็นสตรีมมิงได้ ผมก็คิดว่าถ้าเกิดผมมีไอเดียแบบนั้น ผมก็อาจจะไปเสนอสตรีมมิงนะ แต่ว่าบางไอเดียมันก็ไม่เหมาะ อย่างสมมติผมมีไอเดียว่ามันเป็นหนังไฮบริดจ์ แบบเป็นหนังเงียบแบบ ชาลี แชปลิน ครึ่งเรื่อง แล้วเป็นหนังพูดครึ่งเรื่องผสมกัน อย่างนี้มันก็ไม่เหมาะกับสตรีมมิง ไปเสนอสตรีมมิงที่ไหนเขาจะได้เอาไข่เน่าปาหน้าผมออกมาจากออฟฟิศเขา เอ๊ะ หรือ Netflix สนใจ (หัวเราะ) แล้วถ้าผมอยากทำไอเดียนั้นผมก็ต้องไปหาเงินแบบ Independent แบบหนังอินดี้ ต้องไปหาจากเมืองนอก หาจากทุนรัฐบาล หาจากอะไรแบบนี้ เก็บเล็กผสมน้อยหาเพื่อจะได้ทำ 

แต่อย่างวิศิษฏ์เขาจะต่างจากผมนะ อย่างวิศิษฏ์เขาผลิตไอเดียได้ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเขาเคยรับหน้าที่เป็นเหมือน Content Generator เลย อาทิตย์หนึ่งเขาต้องคิดพล็อตสั้นๆ เขียน 1 หน้า A4 ได้ 2-3 พล็อต แล้วพอสองสามอาทิตย์ที เขาคิดได้ 7-8 พล็อต เขาก็นัดประชุมกับบอร์ดผู้บริหารแล้วก็ไปเสนอ เพราะฉะนั้นเขาเป็นคนที่เจเนอเรตไอเดียได้เร็วและไอเดียแปลกๆ ได้เยอะมาก 

ผมไม่ใช่ ผมเป็นคนแบบ ผมมีไอเดียอยู่หนึ่งไอเดียหรือสองไอเดีย แล้วผมต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ ผมไม่มีห้าไอเดียในเวลาเดียวกัน อย่างวิศิษฏ์เขาสามารถที่จะถ้าไอเดียนี้ถูกยิงตก ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี เขาสวิชต์ไปอีกไอเดียหนึ่งได้ อย่างผมผมไม่มี ผมแม่งเหมือนฤาษี อยู่ในถ้ำ แล้วนานๆ ก็จะเกิดไอเดียดีๆ สักที โอ้โห ไอเดียนี้กูต้องพามันไปถึงฝั่งให้ได้ ผมก็เลยจะต้องพามันไป จะด้วยวิธีไหน ถ้าเผื่อไอเดียนั้นมันเหมาะกับสตรีมมิง ผมก็เดินไปหาสตรีมมิง ถ้ารู้ว่ามันไม่เหมาะแน่ๆ แล้วผมไม่มีไอเดียอื่น แต่ผมอยากทำ ผมก็ต้องเดินไปอีกเส้น ผมไม่ได้เห็นมันเป็น ว้าว สตรีมมิงนี่คือคำตอบของฉันแล้ว ผมไม่ได้เห็นแบบนั้น แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ต่อต้านสตรีมมิง 

คุณเคยพูดว่ารู้จักตัวเองจากการทำหนัง สิ่งที่เรียนรู้ในชีวิตจนกลายเป็นคนแบบนี้มาจากการทำหนัง เลยอยากรู้ว่า แล้วจากการทำซีรีส์หนึ่งเรื่อง คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองในแง่มุมไหนเพิ่มขึ้นหรือไม่ 

อาจจะเรียนรู้เรื่องการ compromise มั้ง คือเวลาผมทำหนังนี่มันคือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผมหมดเลย เพราะผมขลุกมากับมัน ผมศึกษามาอย่างดี แล้วเวลามันเป็นหนังเราเอง โปรเซสตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครรู้ดีเท่าเรา แต่พอมาทำซีรีส์มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่าผมไม่รู้วัฒนธรรมซีรีส์ หรืออย่างที่คุณบอกผมว่า เขาดูตอนจบก่อนนะ อะไรแบบนี้ วัฒนธรรมแบบนี้ พฤติกรรมแบบนี้ ผมไม่รู้จัก มันใหม่มาก เพราะฉะนั้นมันต้องประนีประนอมเยอะกับหลายๆ ฝ่าย แต่โอเค เวลาเราพูดว่าประนีประนอมมันก็คือผมก็มีเส้นของผมอยู่ ถ้ามันเลยเส้นนี้เราก็ประนีประนอมไม่ไหวเหมือนกัน แต่การประนีประนอมมันก็คือสิ่งนี้แหละ สมมุติมี 5 ฝ่าย ที่ต้องมา compromise กัน ทุกฝ่ายก็มีเส้นของตัวเองหมดแหละ แล้วทุกครั้งเมื่อเกิดการเจรจา มันก็คือเจรจาให้เส้นห้าเส้นแม่งกลายเป็นเส้นเดียว แล้วพอเป็นเส้นเดียวเมื่อไหร่ก็จบ นั่นก็คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งโชคดีที่มาเรียนรู้ตอนอายุขนาดนี้มันก็ง่ายหน่อยที่จะประนีประนอม ตอนเราหนุ่มๆ กว่านี้มันอาจจะยาก หัวมันเป็นคนดื้อ พออายุมากตรงนั้นมันก็ละลายหายไป สนใจสิ่งที่คนอื่นเขาคิดบ้าง  

อายุเท่านี้มีเรื่องอะไรที่กวนใจคุณเกี่ยวกับเกี่ยวกับตัวเองบ้างไหม 

(หัวเราะ) ไม่มี ผมโชคดีมากเลย สามารถตอบได้เลยว่าไม่มีอะไรกวนใจชีวิตเลย ตอนนี้สิ่งที่ระวังในชีวิตคืออะไรรู้หรือเปล่า คือจะไม่ทำอะไรที่ไม่อยากทำแล้ว ทุกอย่างที่ทำต้องอยากทำหมด พยายามจะรักษาสิ่งนั้นไว้ 

เหมือนที่คุณเคยพูดไว้ว่ามันเป็นข้อดีของความแก่ที่ว่าเราเลือกได้ว่าเราจะทำแต่สิ่งที่ชอบหรือเปล่า

แหม แต่ถ้าคุณแก่แล้วคุณไม่มีเงินเลยมันก็เลือกไม่ได้นะ คืออย่างผม ผมก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ว่าผมก็ทำงานมานาน แล้วบังเอิญอุตสาหกรรมที่ผมทำ ไม่ใช่ภาพยนตร์นะ ผมทำโฆษณามาเป็นเวลาตั้ง 30 ปี อุตสาหกรรมนั้นมันให้ค่าตอบแทนคุณได้เรียกว่าค่อนข้างดีละกัน แล้วเราก็รู้มาตลอดว่าเราต้องประหยัด เราต้องเก็บเงิน ทีนี้มันมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าเราใช้ชีวิตที่สมถะ เราไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องการหาเงินเป็นจำนวนมหาศาล ลูกก็ไม่มี ตรงนั้นมันก็ช่วย 

ฉะนั้นมันก็ไม่ใช่คนแก่ทุกคนที่จะคิดอย่างนี้ได้ ข้อดีของคนแก่ ความแก่มันอาจจะดีตรงที่ว่า เมื่อก่อนนี้มันต้องเกรงใจคนเยอะ คนโทรมาจะให้ไปช่วยทำอะไร บางทีไม่ได้อยากทำหรือว่าเห็นไม่ตรงกับเขาเลย จุดยืนก็คนละจุดกัน แต่เมื่อก่อนก็ไม่กล้า เขาเป็นผู้ใหญ่โทรมา เราก็ต้อง หนึ่ง ฝืนใจไปทำ หรือสอง ถ้าฝืนใจไม่ได้จริงๆ ก็ต้องใช้วิธีโกหก ไม่ว่าง พอดีไปต่างประเทศครับ ช่วงนั้นจะไม่อยู่ เดี๋ยวนี้นะพออายุเท่านี้แล้ว ไม่ต้องโกหกแล้ว แล้วไม่ต้องทำด้วย สามารถบอกได้เลยว่า ไม่สะดวก แล้วไม่มีใครว่าอะไรได้ด้วย แล้วก็ประกอบกับพอเป็นอย่างเรา มีอาชีพแบบนี้ มีนิสัยแบบนี้ คนก็จะบอกว่า อ๋อ พี่เขาติสต์ พวกเราไม่เข้าใจเขาหรอก อ้าว กลายเป็นดีไปอีก แทนที่จะบอกว่าพี่เขาเหี้ยฉิบหาย (หัวเราะ) 

ทุกวันนี้คุณมีวิธีรักษาความฟิตยังไง ดูแลร่างกายยังไง

นอนเยอะๆ กินน้อยๆ แล้วก็ออกกำลัง ผมนอนเยอะมาก แล้วก็กินน้อย แล้วก็ออกกำลังเยอะๆ ว่ายน้ำทุกวัน

ยังสูบบุหรี่อยู่ไหม 

ไม่สูบแล้ว เลิกแล้ว นี่คือข้อดีของโควิดนะ เลิกตอนมีโควิดมา เลยเลิกไปเลยแต่ตอนนั้นไม่ได้คิดจะเลิกนะ เพราะว่าเราเป็นคนชอบดูดบุหรี่มาก แต่ตอนโควิดรอบแรก คิดว่าจะหยุด เพราะตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า เชี่ย ถ้ากูเจ็บคอนะ กูอยากรู้ว่ากูเจ็บคอเพราะเป็นโควิดหรือเพราะดูดบุหรี่ ก็เลยหยุดดูดบุหรี่ไป ถ้าเกิดเจ็บคอกูก็เป็นโควิดแน่ๆ ปรากฏว่าแม่งหยุดไปปีหนึ่งละ เสร็จปั๊ปก็เลย อ้าว ไม่ได้อยากดูดแล้วนี่หว่า ก็เลยหยุดต่อ ตอนนี้เลยถือว่าเลิกแล้ว จริงๆ ไม่เคยคิดจะเลิกเลยบุหรี่ เป็นสิ่งที่ชื่นชอบมาก 

เครดิตภาพ: Netflix

AUTHOR