‘เป็นเป็ดมันก็ดี’ – คุยกับเป็ดมืออาชีพผู้เป็นทั้งตากล้องโฆษณา นักแสดง และศิลปิน เอ็ม-ยศวัศ สิทธิวงค์

มีใครรู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘เป็ด’ บ้างไหมครับ?

คนที่ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ไม่ลงลึกจริงจังถึงขั้นเก่งกับอะไรสักอย่าง เหมือนเป็ดที่เดินอยู่บนดิน ลงไปว่ายน้ำก็ได้ บินได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่เก่งสักทาง – ใครหลายคนนิยามตัวเองว่าเป็น ‘เป็ด’ รวมถึงเราเองด้วย

หลายครั้งการเป็นเป็ดมักถูกคนอื่นหรือแม้แต่ตัวเป็ดเองมองว่าเป็นคนเหยาะแหยะ รู้ทุกเรื่องแต่ก็ทำได้แค่อย่างละนิดหน่อย สู้เป็นนกที่บินได้ไกลไปเลยอาจจะดีกว่า

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราตรงนี้ยืดอกอย่างเต็มใจว่าเขาคือเป็ดที่ยังพอใจกับการเรียนรู้ทุกอย่างเรื่อยไปตามความชอบและสนใจที่หลากหลาย ถึงอย่างนั้น เอ็ม-ยศวัศ สิทธิวงค์ หรือ M yoss ศิลปินคนแรกของค่ายเพลง 123 records ก็บอกกับเราตรงไปตรงมาว่า “การเป็นเป็ดมันก็ดีแล้ว”

ตากล้องมิวสิกวิดีโอของศิลปินเบอร์ดังๆ อย่าง โฟร์-มด, Scrubb หรือล่าสุดกับเพลง The Modern Man ของ แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ที่เอ็มรับบททั้งถ่ายทำ กำกับ และตัดต่อ, พระเอกมิวสิกวิดีโอเพลงเศร้า (เสมอๆ) อย่าง ทางของฝุ่น ของอะตอม หรือ มนุษย์ลืม ของแสตมป์, นักแสดงในภาพยนตร์เล็กๆ นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ, นักวาดภาพประกอบนามปากกา Backhand ที่เคยฝากฝีมือไว้กับหนังสือ เธอ เขา เรา ผม 2 ของโตมร ศุขปรีชา และนักกีฬาคาราเต้เหรียญทองระดับมหาวิทยาลัย คือทั้งหมดที่เอ็มเคยเป็น รวมถึงบทบาทศิลปินเต็มตัวที่มีซิงเกิลแรกในชีวิต เสาอากาศ ปล่อยมาให้ทุกคนได้ฟังกัน คือการเป็นเป็ดครั้งใหม่ที่เขากำลังเริ่มหัดบิน

บทสนทนาว่าด้วยเส้นทางการเป็นเป็ดที่หล่อหลอมมาตั้งแต่วัยเด็กของเอ็มจะมีรสชาติ ‘โฮะ’ ขนาดไหน เชิญลิ้มชิมรสได้เลย

ความชอบทำอะไรหลายๆ อย่างเริ่มตั้งแต่ตอนเด็กเลยหรือเปล่า
เราเป็นคนชอบลุย อยากทำอะไรก็ทำ เราอยู่ต่างจังหวัดที่เชียงรายด้วย อยากโดดน้ำคลองก็ไปเลย อยากสร้างบ้านต้นไม้ เรียนรู้อะไรก็ลุยหมดเลยตั้งแต่เด็ก คิดว่าคงเป็นบุคลิกนิสัยที่อยากรู้นั่นรู้นี่มากกว่า

แต่การทำอะไรหลายอย่างก็น่าจะมีสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่าสนุก รู้สึกอย่างนั้นกับอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่ที่รู้สึกว่าชอบมากจะทำเลยทันที อย่างวาดรูประบายสี วาดไม่สวยเลยแต่สนุก ถ้าให้ชัดคือวิชาเรียน ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ชอบก็จะไม่เอาเลย อย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ไม่ชอบท่องๆ น่ะ แต่อะไรที่เราได้ทำเลยจะชอบและทำบ่อยกว่า

ความชอบของเราเหมือนเป็นจุดต่อจุด เราไปเจอสิ่งนี้แล้วชอบ ก็จะไปเจออีกสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่เส้นตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ถ้าภาษาเหนือเขาจะเรียกว่าโฮะ เหมือนแกงโฮะ คือเอาทุกอย่างมาใส่รวมกัน ทำหลายๆ อย่างแล้วสนุก และการที่บ้านเราอยู่ต่างจังหวัดก็ทำให้เราเป็นคนที่ผสมหลายๆ อย่าง ป้าบ้านข้างๆ ทำเครื่องปั้นดินเผา บ้านถัดไปก็มีพี่ที่สอนซึง อีกบ้านเป็นสล่าที่ทำงานไม้ สภาพแวดล้อมทำให้เราเป็นอย่างนี้โดยที่ไม่รู้ตัวมั้ง ซึ่งเราก็ไปทดลองทำในวิธีที่เราสนุกกับมันนะ อย่างยายเราพาไปบ้านป้าที่สอนทำเครื่องปั้นดินเผา เราก็ไม่ได้ปั้นเป็นช้อน ชาม แต่ปั้นเป็นรูปอื่นๆ ที่เราอยากได้แล้วเผาเก็บไว้มากกว่า

คิดว่าตัวเองมีความสร้างสรรค์ในตัวตั้งแต่เด็กๆ เลยไหม
ไม่แน่ใจนะ แต่การที่พ่อแม่ไม่ปิดกั้นมากน่าจะทำให้เราเป็นคนทำอะไรเต็มที่ ถ้าไม่เกินงบประมาณที่เขามี บางทีเราอยากทำอะไรที่ใช้ทุนเยอะ เขาก็จะบอกว่าบ้านเราไม่มีตังค์นะลูก (หัวเราะ) มีครั้งหนึ่งที่เราเซอร์ไพร้ส์มากคือตอน ป.2 – ป.3 เราเล่นซึงและอยากหัดเล่นกีตาร์แล้ว ก็ไปขอแม่ว่าอยากได้กีตาร์ไฟฟ้า แม่ก็ซื้อให้เลย พอได้มาแล้วเราเลยคิดว่าต้องฝึกให้เต็มที่เลยเรียนรู้ด้วยตัวเอง หนังสือเพลงจะมีสอนวางนิ้ว แล้วมันก็พาเราไปเจอนู่นเจอนี่ อยู่ๆ ที่โรงเรียนก็มีครูสอนพลศึกษาคนใหม่เข้ามาชื่อครูสมเดช เขาแบกกีตาร์ไฟฟ้าเข้ามา เราก็เฮ้ย! บอกครูว่าอยากเรียน ผมกดคอร์ด F ไม่ได้เลย ครูก็ช่วยสอนหลังเลิกเรียน แล้วก็ฟอร์มทีมกับเพื่อนเป็นวงดนตรีสมัยประถมเล่นตามงานวันแม่ วันไหว้ครูอะไรแบบนั้น เล่นเพลงของวงลาบานูน เพลง Holiday ของวง Scorpions ฝึกอย่างมั่วๆ ตั้งแต่ตอนนั้น

คิดภาพแล้วดูเท่มาก วงดนตรีของเด็ก ป.4 ได้ขึ้นแสดงในงานโรงเรียน
แต่เล่นไม่เก่งเลยนะ แค่มีเสียงเหมือนที่เราฟังในเทป คือมีกลอง มีกีตาร์ มีเบส แล้วเราก็สนุกกับมัน เราเป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีแค่ 20 กว่าคน นักเรียนอยากเรียนอยากทำอะไรครูเขาก็ให้เราทำเต็มที่จนได้ตั้งวงดนตรีเลย

เท่าที่ฟังดูสภาพแวดล้อมที่เอ็มเติบโตมาไม่มีกรอบและให้อิสระมากทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญไหมที่ทำให้ตัวเองได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง
คนอื่นอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ เราวัดจากตัวเองว่าการที่เราทำได้หลายอย่าง สิ่งสำคัญน่าจะเป็นตัวเราเองมากกว่าที่ไปเชื่อมสัญญาณกับสภาพแวดล้อมต่างๆ เราชอบเชื่อมตัวเองกับ device อื่นๆ รอบๆ ตัว ไปเล่นดนตรีล้านนา เลยทำให้เราได้รู้มุมอื่นๆ

ช่วงมัธยมไปชอบอะไรอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอีกบ้าง
ก็สะปั๊ดสะเป๊ดมาก พื้นฐานเราเป็นโรคภูมิแพ้ แม่เลยเลือกให้เล่นกีฬาสักอย่าง เราเลยเล่นคาราเต้ตั้งแต่ตอน ม.1 แล้วที่โรงเรียนมัธยม (โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม) ปีนั้นมีครูสอนไวโอลินเข้ามาจะตั้งวงออร์เครสตร้า เราก็สนใจ เฮโลไปกับเพื่อน ตอนนั้นเลยเริ่มเรียนดนตรีคลาสสิกและรู้เรื่องโน้ตดนตรีเพิ่มขึ้นมา ส่วนตอน ม.ปลาย จากการที่เราอ่านการ์ตูน เคนจิ ยอดนักสู้ มาตั้งแต่เด็กๆ เราอยากไปวัดเส้าหลิน เราเลยเลือกเรียนศิลป์-ภาษาจีน (หัวเราะลั่น) รู้แค่นี้เลย ตั้งเป้าไว้ว่าถ้าพูดจีนได้เมื่อไหร่จะไปวัดเส้าหลิน แต่พอเรียนจริงๆ ครูสอนร้องเพลง F4 หรือของเจย์ โชว เรารู้ว่าเราไปวัดเส้าหลินไม่ได้แล้วเลยทุ่มเวลากับการซ้อมคาราเต้และดนตรีเฉลี่ยกันไป

จนช่วง ม.5 มีรุ่นพี่มหาวิทยาลัยมาแนะแนว เขาแนะนำตัวว่าพวกเรามาจากคณะนิเทศศาสตร์นะครับ เราจะมาสอนน้องๆ ทำภาพยนตร์ เราก็สนใจ ไปถ่ายรูป ทำหนังสั้น ก็สนุกจนชวนเพื่อนๆ มาทำหนังของตัวเองตอน ม.6 ชื่อว่า อาหลงสู้ๆ โดยเรากำกับและถ่ายไปด้วย เพื่อนมีคอมพิวเตอร์ที่ตัดต่อได้ก็เรียกเพื่อนมาที่บ้าน นั่งตัดต่อกัน ไม่ออกไปไหนเลย เรารู้สึกว่ามันสนุกมากๆ เลย เราชอบโมเมนต์ที่เริ่มต้นทำจากความไม่รู้ แล้วสุดท้ายมันก็สำเร็จออกมา ได้ฉายระหว่างเปลี่ยนฉากที่งานโฮะ งานที่เด็กๆ ที่สอบติดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะกลับมาโรงเรียนและจัดโชว์กัน คนดูก็ขำ เราก็รู้สึกสนุกจัง คนเข้าใจได้ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเลยเลือกไปทางนิเทศศาสตร์

ตอนแรกเราอยากเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาก ความฝันของเด็กเชียงรายคือ มช.เท่ที่สุดแล้ว แต่สอบไม่ติด เลยลงมากรุงเทพฯ ลองยื่นที่คณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยโควตานักกีฬาช้างเผือกเพราะเราเล่นคาราเต้บ้าคลั่งมากจนได้เหรียญแชมป์ประเทศไทย สุดท้ายก็ผ่านมาได้

ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เด็กทุกคนน่าจะเคยลังเลว่าจะเข้าอะไรดี ยิ่งเอ็มทำอะไรได้หลายอย่างมาก ทำไมถึงมาลงเอยที่สายนิเทศศาสตร์ล่ะ
มีนะ ตอนแรกแม่ก็ถามว่าจะเลือกอะไรบ้าง เรียนรัฐศาสตร์ไหม ตอนแรกเราอยากเป็นเอกอัครราชทูตมากเลย เพราะที่บ้านเรามีปัญหา พ่อแม่ทะเลาะกัน เรารู้สึกว่าทูตเป็นอาชีพที่พอจะเชื่อมโยงคนสองคนให้คุยกันได้ดี แต่พอได้คุยกับรุ่นพี่ว่ามันเรียนยังไง เราเลยคิดว่ามันจับต้องยาก เมื่อไหร่จะเป็นได้วะ จนมาเจอนิเทศศาสตร์ เราเป็นคนสมาธิสั้นด้วย อะไรที่เข้ามาแล้วชอบก็จะทำและปักใจชอบไปเลย แค่ได้เวิร์กช็อปทำหนังก็เลือกจะเรียนโดยไม่ลังเลเลย

เลือกเรียนภาพยนตร์แล้วชอบอย่างที่คิดไว้ไหม
ชอบมาก สนุกกับการเรียนภาพยนตร์มาก แต่ก็ไม่ได้ได้คะแนนดีนะ กลายเป็นว่าเราไปทำกิจกรรมเยอะมาก ทั้งละครเวที เล่นกีฬามหาวิทยาลัย ประกวดนู่นนั่นนี่ ยิ่งอยู่ไกลบ้านก็ไม่มีใครห้าม จะทำอะไรก็ทำเลย นอนดึก ทำอะไรเต็มที่

ช่วงใกล้เรียนจบมีคิดหรือวางเป้าหมายไว้ไหมว่าจะทำอะไรต่อไปดี
ตอนปี 4 เขาจะให้เลือกว่าเราจะทำหนังจบหรือไปฝึกงาน 90 เปอร์เซ็นต์จะไปฝึกงานหมดเลย แต่เราเลือกจะทำหนังกับเพื่อน 2-3 คน เพราะเรารู้สึกชอบกระบวนการนี้ เราก็ต้องทำให้รู้สิ ก็เลือกส่งเป็นตากล้อง 2 เรื่อง จบมาแล้วพ่อแม่ก็กังวลว่าจะทำอะไรต่อ เพราะเราเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกจะเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ยังไง แต่เราก็ยังเชื่อในความชอบอยู่ดี ลองไปประกวดทำมิวสิกวิดีโอจนได้รางวัล รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาแล้ว ถ่ายมิวสิกวิดีโอให้โฟร์-มด, Scrubb ทำหมดเลย เก็บจากงานเล็กๆ จนได้เข้ามาทำโฆษณาจริงๆ เรารู้สึกว่าจะใช้ชุดความคิดว่าทำเอาสนุกไม่ได้แล้ว เราต้องพัฒนาจุดที่จำเป็นต่ออาชีพนี้จริงๆ ด้วย ดูเรฟเฟอร์เรนซ์เพิ่ม ฝึกจัดไฟเพิ่ม ก็เป็นโรงเรียนอีกที่ให้เราค่อยๆ พัฒนาไป ระหว่างนั้นเราก็ทำดนตรีนี่แหละ ถ้าคนอื่นแว้บไปเล่นเฟซบุ๊ก ช่วงระหว่างพักเราจะแต่งเพลงในมือถือ

แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาสายนักดนตรีตั้งแต่แรก
อยากทำมากเลย แต่เราเลือกทำสิ่งที่ต้องทำก่อน เราเป็นเด็กต่างจังหวัดก็มีค่าใช้จ่ายทั้งอพาร์ตเมนต์ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ดนตรีจะเป็นรายได้ได้ต้องเล่นดนตรีกลางคืน ซึ่งเราทำไม่ได้ เพราะต้องอึดประมาณหนึ่ง มีวินัย ร่างกายแข็งแรง เราเลยเลือกทำตากล้องแทนก่อน แต่ก็หนีบความฝันเรื่องเพลงมาตลอด ซึ่งงานโปรดักชั่นเราก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรือลำบากชีวิตด้วย เราชอบที่จะทำเลยเดินทางกับมันมาได้

ยิ่งยุคหลังๆ มีตากล้องเยอะมากเพราะกล้องราคาถูกลง เลยตัดสินใจไปเรียนอื่นๆ อีก ทำตัดต่อโปรแกรม After Effects รับวาดภาพประกอบเป็นอาชีพเสริมไปด้วย ซึ่งทั้งหมดเราไม่ได้คาดหวังอะไร เราแค่ทำในสิ่งที่ชอบเฉยๆ แล้วมันก็พาเราไปเจอนู่นเจอนี่

อย่างสายการแสดงเราก็รับเล่นโฆษณา มิวสิกวิดีโอ แต่เป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะตอนเรียนเราก็เล่นละคอนวารสารฯ เป็นบทเล็กๆ และสรุปว่าเราทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองก็ได้ด้วยว่ะ สนุกจังเลย เราร้องไห้กับอะไรก็ไม่รู้ได้ด้วยเหรอวะ ได้เปิดโหมดนี้ในหัวก็สนุกดี

เวลาที่ค้นพบว่าตัวเองทำอะไรเพิ่มได้อีกอย่างหนึ่งรู้สึกยังไง
เหมือนโหมดตรัสรู้น่ะเหรอ (หัวเราะ) ไม่ได้แปลกใจนะ รู้สึกดีที่ทำได้มากกว่าจะไปอวยว่าเราเจ๋งมากๆ เลย ทำได้ก็เหมือนปลดล็อกมากกว่า ตัวเราจะมีการ์ดลับอยู่นะ ต้องเปิดแล้วจะมีสกิลเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกคนมีอยู่แล้วแหละอยู่ที่ว่าจะปลดมันยังไง

เคยมีอะไรบ้างที่ทำไปแล้วท้อหรือว่าออกมาไม่ดี
ทุกอย่างที่เราทำมีบททดสอบหมดเลย บางทีเจอคอมเมนต์ที่ทำให้รู้สึกถึงขั้นว่าเราทำไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะในสายโปรดักชัน งานที่เราทำไม่สามารถพลาดได้เยอะเพราะต้นทุนการทำโฆษณาเยอะมากเลย กองถ่ายเหมือนเป็นประเทศ เป็นสังคมหนึ่งที่จะไม่มีใครชอบหรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำไปพร้อมๆ กัน แต่เราก็วางตัวเองไว้ว่าอยากเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วบรรยากาศในกองถ่ายสบายที่สุด ไม่ต้องกดดันให้ได้งานที่ดี เราทำงานกับเพื่อนก็คุยเหมือนเพื่อน ไม่ได้คิดว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงหรือต่ำกว่าเรา

มีงานไหนที่โดนคอมเมนต์แรงๆ บ้าง
น่าจะเป็นมิวสิกวิดีโอแรกๆ ที่ถ่าย โดนพูดถึงลงโซเชียลมีเดียว่าถ่ายอย่างนี้เอาเลนส์ไปปาทิ้งเลยดีกว่า เพราะเราถ่ายไม่ดี ก็รู้สึกว่าโหดมากเลย แต่ก็ดี เราจะได้ฮึด หาเวลาศึกษาให้มากขึ้น เพราะเลนส์มันแพงนะ ปาทิ้งไม่ได้หรอก (หัวเราะ)

พอโยกตัวเองมาทำงานดนตรีเป็นยังไงบ้าง ยิ่งทำงานร่วมกับแสตมป์ อภิวัชร์ มีอะไรเหนือความคาดหวังไว้ไหม
การได้ทำงานกับพี่แสตมป์มันโคตรจะเหนือความคาดหมายเลย เพราะเขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง มีแต่คนอยากเข้าหา เรียกว่า officialy happy มากๆ ส่วนกระบวนการทำเพลงก็เหนือความคาดหมายนะ คนอื่นอาจจะได้เดโมมาแล้วให้ร้องเฉยๆ แต่พี่แสตมป์ให้เราลองทำหมดเลย เราเลยชวนป้อง (ปกป้อง จิตดี) มาขลุกทำด้วยกันจนได้เสียงที่รู้สึกว่าอยากทำเสียงนี้ ก็ปลดล็อกไพ่ใบหนึ่งในตัวเรา แต่เราไม่ได้บอกว่าประสบความสำเร็จขนาดนั้นนะ มันเป็นก้าวแรกที่สนุกล่ะ ตอนนี้ก็พยายามจะทำออกมาเรื่อยๆ ชีวิตช่วงนี้ก็เทมาฝั่งงานดนตรีมากกว่า เพราะการเป็นศิลปินในค่ายก็การันตีเราประมาณหนึ่งว่าต้องทำต่อนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่เพลงเดียวแล้วหายไปเลย ตัวเราเองก็ไม่โกหกตัวเองอยู่แล้ว ถ้าสนุกเราก็ทำต่อ

ทั้งการเป็นตากล้องและทำเพลงก็ยังเป็นงานสายบันเทิงที่ใกล้ๆ กันอยู่ มีอะไรบ้างที่ฉีกออกไปจากด้านนี้ที่อยากทำ
ก่อนคุยกับพี่แสตมป์ เราคุยกับพ่อว่าจะกลับไปทำเกษตรที่บ้านแล้วนะ พ่อเราเป็นครูสอนเกษตร ทำเกษตรแบบพอเพียง ปลูกนาอินทรีย์ ตอนเด็กๆ เราก็โตมาในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น แต่พี่แสตมป์โทรมาชวนก่อนเลยบอกพ่อว่างั้นปีนี้ขอทำเพลงก่อน ปีหน้าค่อยว่ากัน

ตอนนั้นคิดอะไรถึงอยากกลับไปทำสวน
โห บรรยากาศบ้านเรา อาหาร และค่าครองชีพที่มันไม่สูงเท่ากรุงเทพฯ สำหรับเราที่บ้านคือที่สุดแล้ว ปลายทางถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตส่วนหนึ่งที่บ้านจะมีความสุขมาก ลึกๆ คือเราอยากกลับบ้านมานาน สองปีนี้ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ตลอด ไม่ได้กลับบ้านเลย แต่เราก็ยังสนุกกับอะไรตอนนี้ที่เข้ามาอยู่

ไม่ได้แปลว่าอยากกลับบ้านเพราะไม่ชอบกรุงเทพฯ แล้ว
ไม่ครับ เราอยากกลับเพราะสภาพแวดล้อม อาหารการกินที่เชียงรายมันสมบูรณ์มากๆ มีอย่างเดียวที่เชียงรายตอบโจทย์เราไม่ได้คืออาชีพสายโฆษณามันไม่มี กลับไปก็จะมีแต่ถ่ายงานบวช งานแต่งงาน งานอีเวนต์ในห้าง เราเลยต้องทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ก็พร้อมจะไปทำอย่างอื่นเต็มที่เหมือนกันนะ อย่างทำเกษตรที่วางไว้ แค่ยังไม่ได้ตั้งไว้ว่าจะกลับตอนไหน

ช่วงที่ได้เริ่มทำอะไรบางอย่างมีความสุขยังไง แล้วสุดท้ายมองภาพตัวเองปลายทางไว้จุดไหน
เราว่ามันเป็นข้อดีนะ การทำอะไรครั้งแรกมันลองผิดลองถูกได้ ส่วนตัวเราก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ตลอดไม่ว่าจะเก่งหรือเดินทางมาไกลในสายอาชีพไหนก็ตาม ทุกคนต้องมีโมเมนต์ได้ลองเสี่ยง ลองหยิบอุปกรณ์ที่ไม่เคยรู้จักมาสร้างสิ่งที่เราอยากเล่าจริงๆ และโมเมนต์นี้มันดีมากเลยนะ อย่างมิวสิกวิดีโอที่เราทำให้วง temp. ก็ท้าทายตัวเองว่าจะใช้เลนส์นี้เลนส์เดียวทั้งเพลง เราพยายามสร้างโจทย์ใหม่ๆ ในแต่ละโปรเจกต์ ถามว่าต่อไปจะเป็นยังไง เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แค่อยากเก็บความรู้สึกนี้ไปใช้กับทุกๆ งานที่ทำ

มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับคนที่เป็นเป็ดเหมือนกับเอ็ม
เราไม่อยากพูดเชิงสอนเขานะ แค่บอกตัวเราเองเฉยๆ ว่าให้ยอมรับมันในเชิงบวกว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเองน่ะ คำว่าเป็ดไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนที่ไม่ดีสักอย่าง แต่เป็นโอกาสให้เราได้เจออะไรที่ไม่รู้จักอีกมากเลย ซึ่งมันดีกับตัวคุณแล้วนะ ไม่ใช่ว่าการเป็นเป็ดจะไปสู้หรือแข่งกับใครไม่ได้ ทุกๆ คนก็ต้องสู้กับตัวเองอยู่ดีว่าทำได้หรือทำไม่ได้ อึดหรือไม่อึด สนุกหรือไม่สนุก สุดท้ายมันอยู่ที่เราหมดเลย เพราะฉะนั้นการเป็นเป็ดมันก็ดีแล้ว ถ้าถามเราว่าจะเปลี่ยนไปชอบอะไรสักอย่างไหมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราชอบตัวเราแบบนี้

เหมือนเอ็มจะสนุกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา เคยมีช่วงที่ไม่สนุกกับชีวิตไหม
ความสัมพันธ์ของคนในบ้านเราพังน่ะ พ่อแม่เราทะเลาะกัน พังเอาตอนเราหัวเลี้ยวหัวต่อจะเข้ากรุงเทพฯ ทำให้ช่วงนั้นเราที่เคยมองโลกในแง่ดีหม่นไปเลย ซึ่งเราก็ได้ดนตรีกับกีฬาดึงเข้ามา ชีวิตเราเลยเคารพสองอย่างนี้มาก ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหมถ้าวันไหนไม่ได้ฟังเพลงจะรู้สึกแย่มาก แต่ถ้าฟังแค่เพลงเดียว สีของวันนั้นจะเปลี่ยนไปเลย เราเลยอยากทำเพลงแนวนี้ละมั้ง เป็นสีที่ฟังสนุก บวกๆ หน่อย เพราะสิ่งที่ผ่านมาในอดีตกับครอบครัวเรามันหม่นมาก

และที่เราไม่สนุกคือสุขภาพ เคยป่วยจนหมดเงินไปหลายแสนเลยนะ เพราะกินข้าวผิดเวลาและเป็นคนธาตุอ่อน แถมนอนดึกสะสมจนอาการเรื้อรัง ตอนแรกนึกว่าเป็นมะเร็ง อาการคือถ้าเรากินข้าวไป สักพักเราจะถ่ายหรืออ้วกออกมาเลย ตอนนั้นไปหาหมอ 4-5 โรงพยาบาลแต่ก็ไม่หาย คือผนังกะเพาะอาหารและลำไส้เราเหมือนถูกเกาจนเรื้อรังแล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนและรักษาตัวเอง ซึ่งการออกกองถ่ายมันก็ปรับการใช้ชีวิตยากมากเลย เพราะฉะนั้นอย่าป่วย ต้องดูแลตัวเองนะ ไม่อยากให้ใครเป็น

มีวิธีเยียวยาตัวเองช่วงที่งานเยอะมากๆ ยังไง
กินน้ำผลไม้ก่อนอันดับแรก เราชอบกินน้ำมะม่วงปั่น โคตรดี วันไหนได้กินจะมีพลังงานสุดๆ ไปเลย แล้วก็ออกกำลังกาย ไปวิ่ง ถ้าวันไหนว่างจะวิ่งตอนเช้าวันละ 10 กิโลเมตร จะทำให้ชั่วโมงที่เหลือของวันนั้นดีไปหมดเลย จะกระฉับกระเฉงมาก โลกสวยปะ (หัวเราะ) เคยคิดว่าพอวิ่งตอนเช้าแล้วตอนบ่ายจะหลับหรือเปล่าวะ แต่มันตื่นนะ

Facebook | M Yoss
Facebook | 12sumrecords

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย