บันทึกการเติบโตของ แป้งโกะ-จินตนัดดา จากเน็ตไอดอลสาวสู่ศิลปินเจ้าของอัลบั้มแรก ‘PANGO’

รู้ตัวอีกที
คนฟังอย่างเราก็ได้ยินเสียงใสๆ ของ แป้งโกะ-จินตนัดดา ลัมะกานนท์ ร้องเพลงมานานกว่า 5 ปีแล้ว
จากการเป็นที่รู้จักในฐานะนางเอกเอ็มวีและนักร้องโคฟเวอร์เพลง ‘เบา เบา’ ของวง Singular แป้งโกะกลายเป็นศิลปินสาวสวยที่ปล่อยผลงานเพลงมาให้เราฟังสบายอยู่เรื่อยๆ

แต่ปีใหม่นี้ แป้งโกะไม่ได้แค่ปล่อยซิงเกิ้ล
เธอกำลังจะมีอัลบั้มแรกในชีวิตกับค่าย Whattheduck ที่ชื่อเหมือนเจ้าตัวคือ ‘PANGO’ เป็นมินิอัลบั้มที่มีเพลงใหม่เอี่ยมแถมมา
2 เพลง มีโฟโต้บุ๊กสวยๆ ให้ดูเพลิน และยังมีนิทรรศการภาพถ่ายการเดินทางฝีมือศิลปินสาวซึ่งหลงใหลการกดชัตเตอร์ให้ชมพร้อมการเปิดตัวอัลบั้ม ใครถูกใจก็ซื้อกลับบ้านไปชื่นชมได้

รู้ตัวอีกที แป้งโกะ-จินตนัดดา
ก็เดินอยู่บนเส้นทางดนตรีมายาวนาน ในวาระที่เธอได้มีอัลบั้มแรก
เราจึงไปนั่งคุยกับศิลปินสาวถึงผลงานดนตรีที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกครั้ง
และการเติบโตของเธอจากวันแรกจนถึงจุดนี้

พอบอกคนอื่นว่าจะไปสัมภาษณ์แป้งโกะเรื่องการออกอัลบั้มแรก
หลายคนแปลกใจเพราะรู้สึกว่าเห็นคุณบนเส้นทางนี้มาหลายปี คุณเองคิดว่าการออกอัลบั้มแรกตอนนี้มันช้าไปมั้ย
พอนึกออกว่าคนคงแปลกใจว่าเราอยู่มา 5-6 ปีแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมีอัลบั้มที่จริงๆ
ก็ยังเป็นมินิอัลบั้มอยู่ด้วย เหตุผลข้อหนึ่งคือ
อาจเป็นเพราะเราย้ายค่าย เพลงเก่าๆ ก็ยังอยู่ที่ Believe Records ข้อที่สองคือ เรามองว่าการที่ศิลปินเดี๋ยวนี้ได้ออกอัลบั้มเป็นเรื่องค่อนข้างยาก
บางทีก็จะเป็นดิจิทัลดาวน์โหลดไปเลย และเดี๋ยวนี้มันอาจไม่ใช่แค่เราอยากออก
มีเพลงครบสิบเพลงก็ออกอัลบั้มได้เลยด้วย แต่ขึ้นอยู่กับตัวค่าย จังหวะเวลา
สปอนเซอร์ และอีกหลายอย่าง เพราะเราไม่ได้ทำแบบอินดี้ ปล่อยอัลบั้มเอง และที่จริงก็เคยคุยกับที่ค่ายนานแล้วว่า
ถ้าทำอัลบั้มก็อาจไม่ได้อยากทำแค่อัลบั้มเต็มอย่างเดียว อยากมีโฟโต้บุ๊ก
มีนิทรรศการ ดังนั้น ตอนนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะที่ทำทุกอย่างที่เคยคิดไว้ได้ เราก็เลยรู้สึกว่า
จะว่าช้าก็ช้า ไม่ช้าก็ไม่ช้า สุดท้ายก็อยู่ที่ความพร้อมของเราว่ารู้สึกว่าถึงเวลารึยัง

ในยุคที่เรามักจะชอบดาวน์โหลดเพลงมาฟังแบบออนไลน์
การออกอัลบั้มเป็นแผ่นจับต้องได้ยังมีความหมายกับคุณอยู่มั้ย
เราอยากเป็นนักร้องตั้งแต่อนุบาล ครั้งแรกที่ได้จับซีดีแผ่นแรกในชีวิต ได้ถือซีดีตัวเอง นั่งเปิดแผ่นพับเนื้อเพลง
รู้สึกขนลุกเหมือนกันนะ ถึงมันไม่ใช่อัลบั้มเต็ม แต่ก็เป็นแผ่นซีดี ที่ไม่ใช่สิ่งที่เราไรต์แผ่นแจกคนอื่นเอง
มันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ เป็นความภูมิใจ ผสมความตื่นเต้น
ผสมความรู้สึกว่า ตอนเด็กเราซื้อเทปแล้วก็เอาแผ่นพับมานั่งอ่าน พอวันนึงได้เปิดอ่านสิ่งที่เป็นของตัวเอง
มันก็เป็นความรู้สึกแปลกๆ ว่า เฮ้ย จริงดิ

คุณถือว่าอัลบั้มแรกเป็นหมุดหมายบางอย่างของชีวิตหรือเปล่า
ก็เป็นนะ แต่เราก็มองด้วยว่ามันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
คือเราเป็นคนที่ยิ่งโตขึ้นจะเริ่มมองอะไรใกล้ขึ้น
จากที่เมื่อก่อนเคยมองอนาคตแบบไกลมาก ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่าก็คงได้ทำอัลบั้ม
เพราะมันก็อยู่ในสัญญาที่เราทำไว้กับค่ายไว้ และถึงอาจจะไม่ได้ออกกับค่าย เราก็เชื่อว่าจะทำอัลบั้มของตัวเอง
อาจจะทำแบบอินดี้ เพราะฉะนั้น ถามว่ามันเป็นหมุดหมายสำคัญในชีวิตมั้ย ก็ใช่
เพียงแต่เราก็รู้สึกเหมือนว่าในชีวิตนี้คงต้องทำมันแหละ

ขยายความหน่อยว่า
ทำไมยิ่งโตคุณถึงยิ่งมองอะไรในระยะใกล้
เพราะโลกแห่งความจริงมันโหดร้าย
ไม่ใช่ (หัวเราะ) คือพอเราโตขึ้น ทำงานเยอะขึ้น เจอคนเยอะขึ้น เจอประสบการณ์
เราก็มองว่า สิ่งที่อยากทำก็มี แต่ส่วนใหญ่เราจะมองแค่ว่าควรทำอะไรในช่วงนี้
ควรจะทำอะไรในระยะอันใกล้ที่มองเห็นตัวเองทำได้
และควรทำอะไรที่ยังทำไม่เสร็จให้เสร็จ ความฝันเราก็มีนะ
เพียงแต่ว่าเราเอาสิ่งที่จะทำและสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จมาก่อน
แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะพาเราไปสู่สิ่งที่อยากทำ

ที่จริงเราว่าวิธีการเป็นเรื่องแล้วแต่คน การมองไกลอาจเวิร์กสำหรับคนอื่น
แต่ไม่เวิร์กสำหรับเรา เพราะเราเป็นคนที่ควรทำอะไรทีละขั้น
เราจะรู้แล้วว่าช่วงเวลานี้เราทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วจะวางแผนได้ค่อนข้างแม่นหน่อย
บางทีเราอาจวางแผนว่าอีกสองปีข้างหน้า เราจะต้องทำอัลบั้มที่มีซีดี 2 แผ่น 40 เพลง
แต่ระหว่างนี้ชีวิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราอาจไม่ได้ทำ
สุดท้ายไปไม่ถึงแล้วก็จะรู้สึกเฟลว่าทำไมเรามาไม่ถึงสิ่งที่ฝันไว้
แต่ถ้าคิดว่าอีกสิบเดือน เราจะทำเพลงอีกสิบเพลง พอทำไปถึงก็คิดว่า เฮ้ย
เรามีโอกาสที่จะทำอัลบั้มสิบสองเพลงนะ
อีกสามเดือนเราจะทำอัลบั้มสิบสองเพลงให้ได้ละกัน อันนี้เวิร์ก
เรามองแบบนี้มาสักพักแล้ว แล้วมันก็โอเค ดีสำหรับเรา

เล่าถึงเพลงใหม่เอี่ยม 2 เพลงที่คุณทำขึ้นเพื่ออัลบั้มนี้หน่อย
เพลงใหม่เพลงแรกชื่อว่า
พื้นที่ปลอดภัย เพลงนี้พิเศษตรงที่เราได้ทำงานร่วมกับนิก Part Time Musicians เนื้อหาเพลงยังเป็นแบบเราอยู่
แต่กลิ่นของเพลง ของดนตรี ค่อนข้างต่างจากเพลงอื่นๆ นิดหน่อย ส่วนเพลงใหม่อีกเพลงชื่อว่า ลา เป็นเพลงที่เราตั้งใจให้อยู่ท้ายสุดของอัลบั้ม
เนื้อเพลงพูดถึงความเศร้าหรือเรื่องราวที่ผ่านมาชีวิต แล้วบอกว่าวันหนึ่งเราก็จะต้องวางสิ่งเหล่านั้น
บอกลา และเริ่มชีวิตใหม่

เวลาศิลปินทำอัลบั้มใหม่มักมีการทดลองใหม่ๆ
คุณเองได้ทดลองอะไรสนุกๆ ในอัลบั้มนี้มั้ย
ที่จริงแล้ว เราทำการทดลองอยู่แทบทุกเพลงเลย
คือเราเป็นคนชอบเพลงที่ค่อนข้างเป็นแนวอะคูสติก แต่เวลาไปฟังกับลำโพงดีๆ
จะได้ยินเสียงรายละเอียดในเพลงเยอะมาก คือเราเป็นคนค่อนข้างเพ้อฝันนิดนึง
เวลาฟังเพลงอะไรจะชอบนึกถึงสถานที่ ว่าเพลงนี้ต้องฟังตอนอยู่ในป่าแน่เลย
หรือเพลงนี้อาจต้องฟังช่วงคริสมาสต์แล้วเดินไปเห็นไฟที่ถนนแน่เลย ซึ่งในทุกๆ
เพลงที่เราทำมา ก็จะคุยกับว่าน-อคิร วงษ์เซ็ง ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ตลอดว่าอยากได้รายละเอียดในเพลง
อยากทำเพลงที่คนหลับตาฟังแล้วนึกถึงสถานที่ได้ด้วย เช่น เพลง คำสาป
ถ้าลองตั้งใจฟังมากๆ จะรู้สึกว่า นอกจากเสียงดนตรี จะมีเสียงแมลง ลมพัดใบไม้
เสียงป่าเขา เพื่อที่ถ้าเวลาคนตั้งใจฟังจริงๆ นอกจากได้ความหมายของเพลง
ได้คิดตามเนื้อเพลงแล้ว ก็อาจได้บรรยากาศของสถานที่ที่เราอยากพาคนฟังไปด้วย

คุณเปิดตัวอัลบั้มพร้อมนิทรรศการภาพถ่าย
นี่เป็นสิ่งที่ฝันไว้แต่แรกหรือเปล่า
ใช่ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะทำขึ้นมาสำเร็จจริงๆ
คือเราเป็นคนชอบถ่ายรูป รู้สึกว่าทุกช่วงเวลาควรค่าแก่การถ่ายเก็บไว้
อาจไม่ได้ทำเป็นอาชีพ แต่ก็ทำด้วยความชอบแบบล้านเปอร์เซนต์ ปกติเราลงรูปในอินสตาแกรมอยู่แล้ว
แต่เราชอบอะไรที่ค่อนข้างออริจินัล เช่น การอัดภาพออกมาเป็นใบๆ ไม่ใช่แค่เซฟเก็บไว้
ชอบอะไรที่จับต้องสัมผัสได้ ดังนั้นก็รู้สึกว่าอยากมีนิทรรศการมาตลอด อินสตราแกรมก็ถือเป็นนิทรรศการแบบนึง
โชว์ให้โลกรู้ว่าเราถ่ายรูปอะไร แต่ไม่เหมือนการที่เราเห็นคนไปเดินแล้วยืนมองรูป
ชอบไม่ชอบไม่รู้ แต่เขาได้คอนแทคกับรูปในรูปแบบดั้งเดิมของการดูภาพถ่าย นอกจากนี้เราก็ชอบไปดูนิทรรศการอยู่แล้วด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำจริงๆ
นะ ถือเป็นโชคดี แม้ไม่ใช่นิทรรศการจริงๆ ในหอศิลป์ แต่ก็ได้เอางานส่วนนึงที่เราชอบในหลายๆ
ที่ที่ไปเที่ยวมาแสดง แล้วเรากคุยกับที่ค่ายว่ารูปมันใหญ่
ไม่รู้จะเก็บกลับบ้านยังไง นิทรรศการนี้เลยเปิดให้คนซื้อได้แล้วเอาเงินไปบริจาคต่ออีกที

จากวันแรกที่เป็นสาวน้อยเน็ตไอดอลจนถึงวันนี้ นอกจากมองเป้าหมายใกล้ขึ้น คุณเติบโตขึ้นยังไงอีกบ้าง
เราพูดเก่งขึ้นมาก
เมื่อก่อนเราเคยโดนที่ค่ายเรียกไปบอกว่า เวลาตอบคำถาม ให้ช่วยตอบดีๆ หน่อย ช่วยมีมนุษยสัมพันธ์หน่อย
เราก็สงสัยว่าเป็นเพราะว่าเวลาเราอยู่เฉยๆ หน้าอาจจะดูบึ้งๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ จนประมาณปีที่แล้ว
เราลองเสิร์ชยูทูปเล่นๆ ไปเจอคลิปที่ตัวเองให้สัมภาษณ์ครั้งแรก เข้าใจเลยว่าเราให้สัมภาษณ์แล้วไม่โดนเกลียดก็ดีแค่ไหนแล้ว
ตอนนั้นเราเหมือนถามคำ ตอบคำ เพราะไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่ง คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา
จะมาถาม มารู้เรื่องฉันทำไม

แต่ตอนนี้กลับไปดูแล้วก็หงุดหงิดตัวเอง เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงบอกว่าให้ตอบดีๆ
แต่อีกมุมนึง คลิปนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าหลายอย่างก็เปลี่ยนไปได้โดยที่เราไม่ได้สูญเสียตัวตน
คือพอเจอคนเยอะขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกว่ามีอยู่ 2 ทางคือ เป็นเหมือนเดิม ไม่อยากเจอคนเยอะ
ไปงานเสร็จ กลับบ้าน กับอีกทางคือลองคุยกับคนอื่นดู แล้วสุดท้ายเราก็พบว่าการพูดเก่งขึ้นไม่ใช่การฝืนตัวเองหรอก
เป็นแค่การลองดู เราอาจไม่ต้องไปคุยกับคนอื่นเยอะก็ได้ แค่ไปนั่งดู ซึมซับว่าการอยู่ในสังคมที่เป็นแบบนี้มันเป็นยังไง
แล้ววันนึงมันก็จะค่อยๆ เป็นไปเอง โดยที่เรายังเป็นตัวเองอยู่ เพียงแต่รู้วิธีสื่อสารมากขึ้น
อะไรที่ไม่อยากเล่าก็ยังมีอยู่ แต่อะไรที่เล่าได้ก็เล่า

อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปคือมุมมองต่อคนอื่น เมื่อก่อนเราไม่ค่อยเอาใคร
ไม่ค่อยอยากเจอเพื่อนใหม่ รู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตัวเองมีดีอยู่แล้ว ค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวมากๆ
ตอนนี้เรายังหวงอยู่ แต่รู้วิธีจัดการได้ดีกว่าเมื่อก่อน การหวงความเป็นส่วนตัวอาจจะไม่ใช่การไม่รู้จักใครแล้ว
มันคือการเข้าสังคมได้ปกติ แต่เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัวแค่นั้นเอง เราเริ่มรู้สึกตัวตอนที่ได้มาเล่นละคร
เมื่อก่อนมีละคร มีหนังติดต่อมาค่อนข้างเยอะ เรารู้สึกว่าไม่เอา ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ
แต่พอเริ่มโตขึ้นก็มานั่งคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย บทที่เขาส่งมาก็ดี เลยคิดว่าลองไปเล่นดูก็ได้
ปรากฏว่าผิดคาดมาก ตอนแรกเรามองว่าสังคมดาราน่ากลัวมาก เราไม่น่าไปสู้รบกับเขาไหว แต่พอไปถึง
เราโชคดีที่ไปเจอสังคมดีมาก ได้เพื่อนที่ดี เราก็รู้สึกว่าบางทีการตัดสินใจทำอะไร
มันก็อาจไม่ใช่ได้มาแค่ทักษะ หรือรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ได้รู้จักคนเพิ่ม
ได้เจอมิตรภาพ ดังนั้น ละครก็เป็นช่วงที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดเยอะ เลิกอคติกับหลายอย่างที่เราไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงแล้วฟังความข้างเดียว

การมีอายุขึ้นเลข
3 ส่งผลอะไรกับคุณมั้ย
อาจเป็นเพราะว่าเราอยู่กับสังคม อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ยังติ๊งต๊องกันอยู่ เลข 3 เลยเป็นเหมือนแค่ตัวเลขซึ่งบางทีแวบมาเตือนว่า
แก่แล้วนะเว้ย อย่าปัญญาอ่อนเกินไป มันอาจมีผลในแง่หน้าที่การงานบ้าง เช่น
ถ้าเราไปรับบทเป็นเด็กอายุ 18 หรือไปร้องเพลงที่น่ารักมาก คนจะไม่เชื่อถือแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่ามีผลมาก
เราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอายุ 30 เลยนะ รู้สึกว่าตัวเองอายุ 25 ตลอดในเรื่องความสนุกกับชีวิต ก็เลยไม่ได้รู้สึกแก่เท่าไหร่

ตอนนี้ชีวิตโฟกัสอยู่กับอะไรบ้าง
ตอนนี้เราโฟกัสไปที่ทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขที่สุด
มีความสุข ทำงาน แล้วก็ยังคงรักษาคนดีๆ ในชีวิตไว้ได้เรื่อยๆ อาจจะดูเหมือนทำไมเป้าหมายน้อยจัง
แต่เราว่าเป็นเป้าหมายที่พอใจ รู้สึกว่าเป็นไปได้สำหรับเรา เราอยากใช้ชีวิตให้สมดุลย์
เพราะมองว่าทุกอย่างสำคัญ เราเคยใช้ชีวิตแบบทำงานหนักมาก 2 อาทิตย์หยุด 1วัน พังหมดเลย บางคนที่เป็นพวกทุ่มเทกับงานอาจจะชอบ
แต่พอเราใช้ชีวิตไปประมาณนึง เราจะรู้ว่าตัวเองเหมาะกับการใช้ชีวิตแบบไหน แบบที่เหมาะกับเราคือการที่รักษาสมดุลย์ทุกอย่างได้
มีเวลาทำงาน มีเวลาให้ตัวเอง มีเวลาให้คนอื่น

มองอนาคตแบบใกล้ๆ
ของการเป็นศิลปินไว้ยังไง
ตอนนี้เรามองว่าเดี๋ยวพอปิดโปรเจกต์มินิอัลบั้มแล้ว
จะไปเที่ยวแป๊บนึง แล้วก็กลับมาทำเพลงต่อ ซึ่งคราวนี้ก็จะมองว่าสำหรับเป็นอัลบั้มเต็มแล้ว
ปีนี้ตั้งใจว่าจะทำเพลงให้เยอะสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะปีที่ผ่านๆ มาก็จะมีงานอื่นอย่างละคร
ซึ่งเป็นสิ่งดี แต่ปีนี้รู้สึกว่าอยากทำเพลงจริงจังขึ้น รู้สึกว่ายังมีความสุข
ยังมีแพชชั่นกับงานเพลงอยู่

ถ้าตัวคุณตอนนี้บังเอิญเจอแป้งโกะสมัยอินดี้ไม่เอาใคร
อยากบอกอะไรกับเขามั้ย
เราคงบอกว่า
อยากทำอะไรก็ทำ ปล่อยไปให้เรียนรู้เอง เพราะเราว่าในทุกเรื่อง การได้เรียนรู้เองดีที่สุด
ดีกว่าให้คนอื่นมาบอก แล้วรู้เลยว่าถ้าตัวเองยังอินดี้อยู่ ต่อให้มีร้อยคนมาบอกให้เปลี่ยน
เราก็ไม่เปลี่ยน ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นให้เรียนรู้เองดีกว่า
พอเรียนรู้เองก็จะคิดได้เองอัตโนมัติว่าควรทำยังไง

แล้วคนชอบถามเราว่า
ถ้าย้อนเวลาได้อยากแก้อะไร เรารู้สึกว่าไม่อยากแก้อะไรเลยเพราะมันผ่านมาแล้ว เวลามองย้อนไปก็ยังรู้สึกผิดกับบางอย่างในชีวิตอยู่
แต่ก็รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น มันก็อาจไม่ได้สอนอะไรเราในวันนี้ เราอาจไปทำมันอีกในอนาคตก็ได้
ดังนั้น ยิ่งทำอะไรผิดพลาดหรือได้บทเรียนเร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้เร็วเท่านั้นว่าไม่ควรทำอีก

ภาพ ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

AUTHOR