ออกแบบ ชุติมณฑน์ : นางแบบสาวหน้าเฉี่ยวที่กำลังออกแบบรันเวย์ของตัวเอง

ตามประสาคนไม่ได้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่น เราจึงมาสะดุดตา
ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง สาวน้อยชื่อแปลกเจ้าของดวงตาชั้นเดียวเฉี่ยวคมและความสูง
175 เซนติเมตรจากหนังสั้นโฆษณาไวรัล Thank you for Sharing ของเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ในหนังเรื่องนี้ผู้กำกับเต๋อถูกใจมาดเท่ๆ
นิ่งๆ ของเธอเลยจับนางแบบสาวไทยคนแรกที่ได้ลงปก Harper’s Bazaar UK มาสลัดคราบนางแบบออกเหลือเพียงเด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น
ในสายตาเราก็มองว่าการแสดงที่ดูธรรมดาของออกแบบนั้นไม่ธรรมดาเลยสักนิด (ยังไม่นับรูปลักษณ์ที่ยังไงก็ยังโดดเด่น) จึงเป็นเหตุผลให้เราอยากรู้จักเธอให้มากขึ้น
มากไปกว่าคำถามว่าทำไมถึงชื่อออกแบบ

ตอนเด็กๆ
มีปัญหาเรื่องชื่อเล่นตัวเองไหม

เราโดนล้อตั้งแต่ ป.1 เลยว่าจริงๆ
แล้วแกไม่ได้ชื่อออกแบบหรอก แกคิดมาเองเพราะอยากเด่น ตอนนั้นเกลียดชื่อตัวเองมากว่าทำไมชื่อนี้ถึงมีปัญหา
ทุกคนดูไม่ชอบ แต่ก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ นะ
พอโตขึ้นถึงเห็นว่าเด็กยุคนี้ยิ่งชื่อแปลกไปกว่าเราอีก

ชื่อออกแบบอย่างนี้ เราเลยสนใจศิลปะตั้งแต่เด็กๆ
เลยหรือเปล่า

ไม่เกี่ยวนะ ตอน ม.ปลาย เราก็เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต
และตั้งใจจะเรียนหมอเหมือนที่ลุงป้าเป็นหมอกัน เราไม่ค่อยมีความฝัน
แค่รู้สึกว่าถ้าตัวเองทำเต็มที่ก็น่าจะทำได้ แต่ช่วง ม.5 มีรุ่นพี่ศิษย์เก่ามาเจอเราที่งานโรงเรียน
เขาบอกว่าเราน่าจะเป็นนางแบบได้ เราก็คิดว่าลองดูก็ได้ พอเริ่มทำงานก็เหมือนโลกเราเปิดกว้างมากขึ้น
และเราคิดว่าเราเป็นคนที่สละอิสรภาพตัวเองให้คนอื่นขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นหมอก็ต้องดูแลคนไข้
ออกเวร คงทำอย่างนั้นไม่ได้ เลยเปลี่ยนสายมาอีกทางที่เป็นเรามากกว่า

อะไรในงานวงการแฟชั่นที่ถึงกับทำให้หันเหมาเรียนด้านศิลปะ
พอทำงานมาเรื่อยๆ เรารู้สึกสนุกกับการออแกไนซ์ ดูดิสเพลย์
แสงเสียงจังหวะของงาน แล้วพอดีรู้จักกับพี่งอนงอน (ฏิริรี คณานุรักษ์)
ซึ่งพี่เขาเรียนจบด้านนิทรรศการศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ พอดี
เลยคุยว่าเรียนอะไร จบมาทำงานอะไรได้บ้าง ซึ่งงานสายนี้จะเติบโตมากในต่างประเทศ
เราก็คิดว่าคงเข้าที่นี่แหละ ไม่ได้ดูที่อื่นไว้เลย ซึ่งรู้ตัวช้าด้วยนะ
สอบเดือนตุลาคม มาเริ่มติวประมาณเมษายน ช่วงนั้นก็ฝึกวาดทุกวัน

พอเข้ามาเรียนแล้วเป็นยังไง เรียนอะไรบ้าง
เราเรียนกว้างมากๆ ทั้งออกแบบภายนอก
ภายในของหอศิลป์ นิทรรศการ และการออกแบบหน้าร้าน ซึ่งพอเรียนไปก็ไม่ค่อยชอบนะ
ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี 3 ปีหน้าเราต้องฝึกงาน ถ้าไม่ฝึก VM (Visual Merchandiser) อย่างที่เรียนมาพวกการจัดร้าน ออกแบบวิธีวางสินค้าให้คนเดินเข้ามาแล้วจับสิ่งนี้เป็นชิ้นแรก
ก็ไปฝึกด้านการตลาดแล้วต่อปริญญาโทด้าน Fashion Marketing ที่ต่างประเทศเลยจะดีกว่าไหม
เพราะ VM ก็อยู่ใต้การตลาดอยู่ดี ก็ยังตัดสินใจอยู่

พูดถึงเรื่องไปต่างประเทศ
งานเดินแบบถ่ายแบบได้พาคุณออกนอกเมืองไทยบ้างหรือยัง

เราเพิ่งไปทำงานต่างประเทศครั้งแรกที่ฮ่องกงเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว
ไปทำงานที่นั่นไม่เหมือนไทยตรงที่ทุกงานต้องแคสติ้งหมดไม่ว่าจะถ่ายหนังสือหรืออะไร
เราได้ไปแคสต์ TVC ของลอนดอน
ก็ต้องคุยภาษาอังกฤษและแสดงให้เต็มที่ที่สุด อีกอย่างคือต่างประเทศจะเข้มงวดเรื่องเวลามาก
เขาจะบอกให้เราเช็กตารางงานทุกวันทางอีเมลตอน 1 ทุ่ม ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ก็ต้องตอบ
ช่วงที่ออกแบบไปเป็นโลว์ซีซั่น ได้งานไม่เยอะก็จริง แต่ลูกค้าก็อยากให้กลับไปอีกในช่วงไฮซีซั่น

บรรยากาศการทำงานแบบไหนที่ออกแบบอยากให้เป็น
เราชอบทำงานกับพี่เดียร์ (ธนนนท์
ธนากรกานต์) และพี่ลูกนัท (สิริวงษ์ สุขเกษมสิน) ที่ Benedict Studio เรียกว่าคุณพ่อคุณแม่เลยเพราะเขาทำให้เราดัง
ทุกงานที่พี่เขาทำจะมีโมเดลลิ่งต่างประเทศอีเมลมาหาเรา
ถ้าเราอยากไปไหนก็ไปได้หมดเลยเพราะมีคอนเนกชันอยู่แล้ว ที่ชอบเพราะเขาสบายๆ
คุยกันเอง ไม่โมโห
อีกอย่างคือคุยกันรู้เรื่องและรู้มุมหน้าเราด้วยเพราะทำงานร่วมกันหลายครั้ง

ทุกงานมันกดดันอยู่แล้วแต่มากน้อยต่างกัน
ซึ่งเราจะพยายามทำตัวเองให้งานเดินหน้าเร็วที่สุด บอกพี่ช่างแต่งหน้าว่าไปแต่งหน้าฉากไหม
จะไม่ให้ทุกคนโดนด่า เพราะถ้ามีคนหนึ่งเครียดขึ้นมา งานวันนั้นก็จะไม่น่าทำเลย การทำหน้าบึ้งมันเหมือนโรคติดต่อนะ

ซึ่งตัวเองก็ไม่ใช่คนที่จะไปเอนเตอร์เทนคนอื่นด้วยใช่ไหม
เราไม่ใช่สายฮา
เป็นคนเล่นมุขแย่จนเพื่อนบอกว่าไม่ต้องเล่นมุขหรอก และถ้าเพื่อนเล่นมุขอะไรมาเราก็ไม่เข้าใจด้วย ดูเป็นคนหน้านิ่ง
แต่ไม่มีอะไร ถ้าสนิทมากๆ ถึงจะรู้ว่าเราง้องแง้ง และเราเป็นคนพูดตรงแบบไม่แคร์ความรู้สึกคนฟัง
เพราะการที่เราพูดตรงคือห่วงใยว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้ ถ้ารับฟังแล้วไปปรับก็ดี
แต่ถ้าฟังแล้วเขารู้สึกว่าทำไมต้องพูดอย่างนี้ มันก็เป็นความผิดพลาดของการสื่อสาร
ถามว่าจะเปลี่ยนตัวเองตรงนี้ไหม เราก็พยายามลดลงมานะ
มันเป็นดาบสองคมที่แทงตัวเราด้วยเวลาพูดกับคนอื่นแล้วเขาเจ็บ

เอานิสัยตรงไปตรงมานี้ไปใช้ในการทำงานด้วยหรือเปล่า
จะไม่ค่อยพูดมากกว่า
จะคุยเล่นอย่างอื่นไป เพราะเราเป็นตัวแบบ จะออกความคิดเห็นกับพี่สไตลิสต์ ช่างภาพ ไม่ได้ว่า
‘พี่คะ
หนูจะใส่ชุดนี้ ผมทรงนี้ไม่ดี’ แค่เงียบแล้วช่างมัน
การทำงานทำให้เราเจอสังคมหลายแบบ จริงๆ ก็ควรปรับตัวให้เข้ากับทุกแบบนะ
แต่เราไม่ใช่คนที่จะไหลลื่นได้ทุกสถานการณ์ อย่างเพื่อนนางแบบก็จะมีกรุ๊ปไลน์ คุย Girl’s
Talk กัน เราไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นก็อ่านแล้วเงียบไป

การทำงานตั้งแต่วัยรุ่นมันปรับเปลี่ยนตัวเราไปมากน้อยแค่ไหน
เรากลายเป็นคนที่นิ่งขึ้น
แข็งแกร่งขึ้น รู้ทันคนมากขึ้น จะบอกว่าเข้าใจโลกมากขึ้นคงไม่ได้เพราะโลกก็ไม่เคยเข้าใจเราเอาเป็นว่าเข้าใจสังคมมากขึ้นดีกว่า
สังคมนางแบบเป็นอย่างนี้ ดาราก็เป็นอีกสังคมหนึ่งที่มีทั้งคนดีและไม่ดีอยู่
เวลาที่เจออะไรมา เราก็นิ่งรับไป รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ ถามก่อนว่าคนคนนั้นทำให้เราได้งานน้อยลงไหม เขาให้เงินเราไหม เขาเป็นแม่เราไหม
เขาเป็นเพื่อนเราหรือแค่หาผลประโยชน์ ถามตัวเองแล้วก็ตัดออก

อยู่ในวงการเดินแบบถ่ายแบบมาแล้ว 4 ปี เพิ่งกระโดดมาทำงานแสดงครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
การแสดงยากมากๆๆ (เน้นเสียง) แต่ว่าชอบ
ก่อนหน้านี้เราฝึกการแสดงมาบ้างเลยปรับได้ง่ายขึ้น มันยากตรงที่เราต้องทำความเข้าใจบท
อ่านและเขียนว่าตัวละครพูดอย่างนี้หมายถึงอะไร คนนี้เป็นคนยังไง หน้ากองก็จะคุยกันว่าตีความอย่างนี้ถูกแล้วใช่ไหม
พี่เต๋อก็จะขอว่าเป็นอย่างนี้ดีกว่า

ตอนนี้เราเรียนการแสดงโทรทัศน์กับพี่ไก่ วรายุฑ อยู่ มันต้องเล่นใหญ่ ชัด
แต่พอเล่นกับพี่เต๋อเขาจะเน้นความเป็นธรรมชาติ เทกแรกพี่เต๋อเลยขอให้เอาความชัดความใหญ่ลงไปหมด
แล้วปรับการพูดให้ห้าวๆ เหมือนเดิมด้วย เพราะว่าเราไปเรียนการพูดใหม่
พี่ไก่บอกว่าเราเป็นคนเสียงดุ ดูก้าวร้าว เป็นเด็กไม่น่ารัก เราเลยต้องปรับตัวเองทุกวัน
มีไปบ่นกับเลขาฯ พี่ไก่ด้วยว่า “หนูพูดอย่างนี้กับตัวเองมา 19
ปี ให้หนูเปลี่ยนภายในปีเดียวนี่ต้องพยายามมากเลยนะ” ที่พูดตอนนี้คือนอบน้อมมาแล้วเยอะมากๆ

แล้วทำไมถึงไปเรียนสายละครโทรทัศน์
เขาติดต่อให้ไปลอง เราก็มองว่าเป็นโอกาส
ออกแบบรู้สึกว่าการไปเรียนกับพี่ไก่ ถึงเราจะไม่ได้งานละครก็ไม่เสียใจ
แต่เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เอาไปประยุกต์กับการถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดีโอได้

แต่เราโอเคกับการต้องเปลี่ยนวิธีพูด
เปลี่ยนตัวเองไปบ้างใช่ไหม

จริงๆ มันก็ไม่มีอะไร นักแสดงเป็นเหมือนลูกข่างที่ถูกหมุน
แต่จะไม่ล้ม เราหมุนไปทางไหนก็ได้ ถ้าพี่เต๋อให้ออกแบบกลับไปเหมือนเดิมเราก็ยังทำได้ “เฮ้ย! น้อง” ก็พูดได้

แสดงว่าจะยังไปต่อด้านการแสดง
ไปต่อนะ แค่ยังไม่รู้ว่าอยากไปด้านไหน
จะลองให้หมดก่อนเพราะเราเพิ่งเข้ามาเป็นนักแสดงใหม่เลย ประสบการณ์น้อยมากแค่ 1 ใน 100 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าเป็นงานเดินแบบ ถ้าเทียบ 10 คะแนน ขอเป็น 6 เพราะในวงการแฟชั่นไทย ทุกคนรู้จักเราแล้ว เหลือเพียงแค่ก้าวออกไปข้างนอก

ทำยังไงให้คะแนนงานเดินแบบไปถึง 10
เป็นเรื่องกระแสด้วยว่าเราดังขึ้นแค่ไหน
ประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน ความพร้อมของร่างกายเช่นถ้าจะไปต่างประเทศ
เราจะต้องผอมมาก ซึ่งเราลดน้ำหนักยากมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความอยากทำงาน
ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เป็นสนุกกับการทำงาน
เป็นความรู้สึกตอนแรกของการเข้าวงการมาใหม่ๆ เราทำงานอะไรก็ได้ สิ่งนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นกับการทำงานทุกๆ
วัน

ภาพ ลักษิกา แซ่เหงี่ยม
กำกับและตัดต่อ อภิวัฒน์ ทองเภ้า

AUTHOR