มะเดี่ยว ชูเกียรติ กับทัศนะต่อดารา “เรามีสิทธิเลือกว่าจะส่องสปอตไลต์ให้ใคร”

จากนี้วงการบันเทิงจะเปลี่ยนไปนะ 

คนไม่ชอบดารามากขึ้นเพราะรู้ว่าในวิกฤตแบบนี้ ดารานักร้องศิลปินไม่ได้ช่วยอะไร

ยิ่งดาราศิลปินออกมาโพสต์โชว์สิทธิพิเศษ ออกมาทำตัวลอยเหนือปัญหาทั้งปวง นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกห่างเหินกับพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนท่านห่างออกไปทุกที … ทั้งที่เวลาดาราศิลปินอ้อนแฟนๆ ก็จะบอกว่าตนเป็นคนของประชาชน แต่เวลาออกความเห็นอะไรง่าวๆ กลับบอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัว

ถ้านั่นทำให้คนที่สนับสนุนคุณผิดหวังหรือเสื่อมความนิยมก็คือสิ่งที่สมควรได้รับ

แล้ววันหนึ่งถ้าคุณออกมาบอกว่ารับใช้พี่น้องด้วยความสุขความบันเทิง ใครจะไปเชื่อ เพราะคุณตอแหลออกสื่อไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

ตามนั้น


ข้างต้นคือข้อความส่วนหนึ่งที่ มะเดี่ยว–ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล โพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อไม่กี่วันก่อน

ในฐานะผู้กำกับมากฝีมือที่อยู่ในวงการมาหลักสิบปี เมื่อเขาพูดความเห็นในที่สาธารณะแบบนี้ มีสำนักข่าวหลายเจ้าที่หยิบเอาข้อความดังกล่าวไปรายงานต่อจำนวนมาก 

สารภาพว่าตอนนั้นเราเองก็สนใจประเด็นที่มะเดี่ยวหยิบมาตั้งคำถาม แต่ด้วยข้อสงสัยอื่นๆ เราจึงติดต่อไปหามะเดี่ยวเพื่อขอสนทนาขยายความ

แน่ล่ะ ว่าการสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นผ่านโลกออนไลน์ ทั้งเหตุผลด้านการระบาดของโรคและเหตุผลด้านระยะทาง เพราะปัจจุบันมะเดี่ยวประจำการเวิร์กฟรอมโฮมอยู่ที่ Studio Commuan บริษัทโปรดักชั่นของเขาในจังหวัดเชียงใหม่

แต่สิ่งที่เราคุยกันไม่ได้เจาะจงอยู่แค่ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น แต่มันครอบคลุมถึงวงการบันเทิงในประเทศนี้ ก่อนขยายไปไกลถึงคุณภาพชีวิตที่เขายืนยันว่าถ้ามันแย่ ไม่ผิดหรอกที่ประชาชนหรือดาราจะออกมาด่ารัฐบาลบ้าง

คำตอบของมะเดี่ยวจะเป็นเช่นไร เชิญรับฟังการสนทนาได้

ตามนี้

มะเดี่ยว–ชูเกียรติ

สถานการณ์โควิด-19 ที่เชียงใหม่เป็นยังไงบ้าง เห็นข่าวว่าหลายสถานที่เหมือนถูกสั่งล็อกดาวน์แล้ว

อย่าพูดว่าล็อกดาวน์สิ เขาไม่ให้เราพูด เพราะถ้าล็อกดาวน์จริงก็ต้องมีเยียวยา (หัวเราะแห้ง)

คือด้วยความที่สตูดิโอเราตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงแหล่งนักท่องเที่ยว เราเลยได้เห็นว่าการระบาด 3 ครั้งที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง อย่าง 2 ระลอกก่อนหน้าหลายคนยังพอเห็นปลายทางเพราะทั้งโลกก็เจอ 2 ระลอกเหมือนกันหมด คนเลยยังพอมีหวังว่าถ้าทุกอย่างคลี่คลาย เดี๋ยวค่อยกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ แต่พอบ้านเรามีรอบที่ 3 แบบนี้ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือความรู้สึกของพวกเขาเสียหายมาก

หลายคนไม่รู้จะสู้ยังไงแล้ว บางคนถึงกับปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปก็มี เพราะถึงอดทนและพยายามกอบกู้ขนาดไหนก็พังอยู่ดี มันน่าเศร้ามากนะ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย ซึ่งเราเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงนอกจากอุดหนุนเท่าที่ยังไหว

แล้วงานของคุณเองได้รับผลกระทบขนาดไหน

อาจเป็นโชคดีหรือวางแผนไว้ดีก็ไม่รู้ งานของเราช่วงนี้เป็นงาน post-production พอดี ส่วนที่ต้องออกกองหนักๆ เราทำไปหมดแล้วช่วงก่อนโควิด-19 ทุกวันนี้เราเลยอยู่แต่บ้านโดยกันโซนมุมหนึ่งไว้เป็นที่ทำงานที่จำเป็น ส่วนงานจำพวกครีเอทีฟหรือเขียนบทเราก็ให้พนักงานยกคอมไปทำที่บ้านและประชุมออนไลน์กันตั้งนานแล้ว ส่วนแผนงานระยะยาวก็มีการปรับเปลี่ยนเยอะเหมือนกัน

ด้วยความที่งานเราเกี่ยวกับคนเยอะ ทั้งทีมงาน คนนอก โลเคชั่น และนักแสดง พอการระบาดรอบนี้รุนแรงกว่าที่คิด สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือหลายคนไม่เอาแล้ว ต่างกับสองครั้งแรกที่คนยังคิดว่าสามารถป้องกันได้ แต่ครั้งนี้คนไม่เอาเลย อย่างโลเคชั่นก็ปฏิเสธไม่ให้ถ่าย เพราะเขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเราก็วางแผนถ่ายไม่ได้ หรือการติดเชื้อในวงการบันเทิงเองก็ส่งผลกระทบ เพราะด้วยธรรมชาติของวงการที่บังคับให้คนไปเจอกัน ปัจจัยเหล่านี้มันล้วนทำให้เชื้อไปเร็วและมีผลต่องานทั้งนั้น 

คุณจัดการยังไง

หนึ่ง–คือต้องวางแผนใหม่ ซึ่งอย่าพูดถึงแผนหนึ่ง แผนสองเลย ตอนนี้มันมีแผนสาม แผนสี่ แผนห้าแล้ว หรือมากที่สุดคือต้องปล่อยบางงานไป อย่างเราก็ต้องปล่อยไป 2 งานเพราะไม่พร้อมเสี่ยง 

สอง–คือเรื่องเงิน เรารีบทวงตังค์ที่คงค้างไว้ทั้งหมด ต้องเก็บเงินสดให้ได้มากที่สุด เพราะด้วยสถานการณ์แบบนี้ กระแสเงินสดคือสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องวางแผนล่วงหน้าว่ากระแสเงินสดที่มีต้องทำให้ทีมเราอยู่ได้ไปจนถึงเดือนมิถุนายน

สาม–คือระหว่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ งานที่เป็นเชิง pre-production เราก็ต้องเตรียมไปเรื่อยๆ เพราะถ้ามองโลกในแง่ดีสุดๆ ถ้าอยู่ดีๆ มีฝนตกลงมาเป็นวัคซีนแล้วทุกคนหาย เราจะได้ดำเนินงานต่อได้ทันทีโดยไม่ถอยหลังกลับไปเตรียมใหม่

นี่แค่คร่าวๆ นะ เพราะที่จริงแล้วในฐานะผู้บริหารคือต้องคิดเรื่องพวกนี้ตลอดเพื่อจะพาทีมไปข้างหน้า มีอะไรหลายอย่างที่ต้องรีบทำ

ฟังดูแล้วสถานการณ์แบบนี้เรียกร้องความสามารถจากผู้บริหารอยู่เยอะเหมือนกัน

ใช่ เรียกได้ว่าไม่เป็นอันทำงานเลย แต่เราโชคดีด้วยที่มีทีมที่ดีในการรับนโยบายไปทำต่อ เราเลยรอดมาได้ 3 รอบแล้ว (นิ่งคิด) แต่ไอ้คำว่ารอดนี่ก็ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีคนของเราที่ติดโควิดอยู่เหมือนกัน อย่างตอนนี้ก็มีน้องเราที่ไปอยู่โรงพยาบาลสนาม เราเองก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโดยปิดบริษัทไป

มะเดี่ยว–ชูเกียรติ

ในมุมของวงการบันเทิง มีผลกระทบอะไรที่คนภายในอย่างคุณเห็น แต่คนภายนอกไม่ทราบบ้างไหม

ถ้ามองในมุมบริษัททั่วไป เราว่าตอนนี้ยังไม่ออกอาการเท่าไหร่ เพราะด้วยมาตรการที่ยึกยักเปิดช่องให้ออกกองได้ บริษัทเลยยังอยู่รอด แต่นั่นแหละคือปัญหา เพราะเขาบังคับให้ตัวเล็กตัวน้อยไปออกกองไง 

ปัจจุบันเรายังเห็นหลายที่ทำแบบนั้น อย่างอาทิตย์หน้ายังมีน้องเราที่ต้องออกกองอยู่เลยเพราะคิวดาราไม่ได้ มันเหี้ยนะ หรือหนักกว่านั้นหลายที่ยังโยนภาระในการตรวจโควิดให้เป็นหน้าที่ของโปรดักชั่นเฮาส์อีกต่างหาก ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เขาจะเอาเงินจากไหน ยังไม่นับปัญหาอย่างการ Rapid Test (การตรวจวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็ว) หน้ากองอีกที่ถ้าเจอเชื้อก็วงแตกยกกอง ทุกวันนี้มันเลยโกลาหลมาก

แต่ถามว่าเราเข้าใจไหม เราเข้าใจ นี่คือความดิ้นรนของคนทำงานเพราะรัฐไม่สั่งห้ามเด็ดขาด การหยุดกองไปอาจส่งผลกระทบต่อการออนแอร์หรือเก็บเงินค่าผลิตไม่ทัน แต่เราคิดว่านี่แหละคือหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องคิดแก้ไข คุณยอมจอดำบ้างก็ได้มั้ง ดีกว่าปล่อยให้คนของคุณออกไปผจญโลกรับความเสี่ยงเพื่อไม่ให้คุณขาดทุน ซึ่งถ้าเขาป่วยก็ไม่มีใครดูแลเขา หรือร้ายแรงที่สุดอย่างกรณีเสียชีวิตก็มีแล้ว เราว่านี่แหละคือความไม่แฟร์ในตอนนี้ และเราว่าคนในวงการบันเทิงควรหันมาเห็นปัญหานี้ได้แล้ว

พูดถึงมาตรการรัฐ อย่างครั้งนี้มีการช่วยเหลือเยียวยายังไงต่อคนทำงานในวงการบันเทิงบ้างไหม

(ส่ายหน้า) เราไม่เคยเห็นรัฐปล่อยล้อฟรีเท่ารอบนี้เลย ไม่มีการช่วยใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งถ้ามองในภาพรวมใหญ่ก็ยิ่งน่าเศร้า เห็นที่ขยันหน่อยก็คือการออกสื่อมาขู่ให้ประชาชนหวาดกลัวโดย ศบค. ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ แต่การสื่อสารอย่าง ‘รัฐกำลังจัดการปัญหาอยู่ ประชาชนอย่ากังวล’ คือแทบไม่มี ดังนั้นสำหรับเราสามารถพูดได้ว่ารัฐล้มเหลวมากในการจัดการสถานการณ์ที่เป็นอยู่

รัฐไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าเราจะอยู่กับโรคได้ ป้องกันได้ หรือมีชุดข้อมูลที่แน่นอนว่าถ้าเราติดต้องทำยังไง หนึ่ง สอง สาม สี่ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีแน่ชัด คิดดูสิว่าตอนนี้เรายังมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตคาบ้านอยู่เลย เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ทั้งที่เรื่องแบบนี้ต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถมาจัดการให้เรา คนเหล่านั้นต้องได้เป็นรัฐบาลหรือรัฐมนตรี แต่ตอนนี้ทำไมไม่มี ทำไมหลายเรื่องเราต้องมาจัดการกันเอง

ช่วยเหลือกันเองมากกว่าที่รัฐช่วย

ใช่ ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น แต่พอมันออกมาแบบนี้ ที่ทำได้ก็คือการช่วยกันน่ะ (นิ่งคิด) อย่างน้อยเลยคือช่วยอยู่บ้าน และช่วยด่ารัฐบาล

อาจมีคนมาแซะนะว่าด่าแล้วได้อะไร แหม่ ได้สิคุณ! ทำไมจะไม่ได้ ยิ่งตอนนี้คือเห็นกันชัดๆ เลยก็ว่าได้ หลักฐานความห่วยแตกของรัฐคือคุณภาพชีวิตของประชาชนตอนนี้ไง มันเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว นี่ระบาดครั้งที่ 3 แล้ว รัฐควรพร้อมกว่านี้สิ ดังนั้นก็ด่าไปเถอะ

คิดเห็นยังไงกับคำแย้งที่อาจเกิดขึ้นว่า ‘อย่าเพิ่งด่ากันเลย บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ช่วยกันก่อนดีกว่า’

ต้องอธิบายแบบนี้ การด่าที่เราว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่เรียกว่ากระแสสังคมนะ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้รัฐหวั่นใจได้ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นกระแสสังคมนี่แหละที่ทำให้เกิดการรวมตัวประท้วงรัฐบาลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ตั้งแต่ความกล้าหาญของประชาชนในการออกไปเดินขบวน ไปจนถึงความกล้าหาญในการพูดถึงสิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรียกว่ากระแสสังคมทั้งนั้น และมันพิสูจน์แล้วว่ากระแสสังคมก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง มันทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นมา ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่รัฐกลัว

ยิ่งเกิดวิกฤตโควิด-19 แบบนี้ มันทำให้เห็นเลยว่าจากที่รัฐเคยยึดถืออะไรบางอย่างที่เขามั่นใจว่าจะไม่ถูกล้มล้างได้โดยง่าย แต่ตอนนี้ทุกสิ่งมันสั่นคลอนไปหมดแล้ว หลายคนไม่มีความเชื่อความศรัทธาในรูปแบบเดียวกับรัฐแล้ว เพราะความศรัทธาเหล่านี้ไม่สามารถช่วยให้เขามีสุขภาพที่ดี มีกับข้าวเลี้ยงปากท้องได้ ดังนั้นนี่แหละคือความจำเป็นที่จะต้องสร้างกระแสสังคมต่อ

มะเดี่ยว–ชูเกียรติ

ทุกคนจำเป็นต้องออกมาไหม คุณมองคนที่ไม่ด่าหรือไม่พูดถึงปัญหาว่ายังไงบ้าง

โดยส่วนตัวเราไม่ใช่คนที่เที่ยวไปบอกให้คนอื่นออกมา ถ้าไม่พูดก็ไม่พูด เรื่องของคุณ เราไม่บังคับ เราถือว่ามันเป็นสิทธิของคุณที่จะเป็น ignorant ดังนั้นเราไม่ตัดสิน เพราะเรารู้ว่าการพูดมันมีผลที่ตามมา แต่เช่นเดียวกัน การไม่พูดก็มีผลตามมาเหมือนกัน 

อย่างสมมติคุณเป็นดารา แล้วถ้าวันหนึ่งประชาชนมีความทุกข์ยาก แต่คุณกลับนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก หรือโพสต์วางตัวโดยไม่สนสถานการณ์ที่มีคนเดือดร้อน แน่นอนว่าประชาชนก็มีสิทธิคิดว่าคุณไม่แยแสและไม่ไยดีต่อความรู้สึกเขา เพราะคุณไม่เห็นหัวเขา ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือคุณอาจโดนด่าหรือโดนแบน นั่นก็เป็นผลของสิ่งที่คุณทำ ก็คุณเลือกแล้ว และคุณควรจะได้รับ  

เลยออกมาเป็นสเตตัสนั้นที่มีคนเอาไปทำเป็นข่าวเยอะแยะไปหมด

งงเลย เห็นตัวเองอยู่ในทีวีก็ตกใจ (หัวเราะ) แต่จะโดนด่าหรือโดนชมก็ช่างมันเถอะ เพราะเราก็ยืนยันในความคิดตัวเอง เราไม่ได้คิดทำร้ายใคร แค่อยากเตือนสติหลายๆ คนตามประสาพี่น้องในวงการบันเทิง ซึ่งคนที่ฉลาดก็จะรู้ว่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ต้องวางตัวยังไง แต่คนที่บ้งๆ ก็ (เว้นช่วงและยิ้ม)

แต่คุณร่วมงานกับคนที่เห็นต่างได้ใช่ไหม

ไม่มีปัญหา จริงๆ ที่ผ่านมาเราทำงานกับดาราที่เป็นสลิ่มหรือ ignorant มาเยอะ ระหว่างทำงานก็ไม่ได้มีอะไร เพราะเขาก็มืออาชีพ เราก็มืออาชีพ เราต่างใช้ส่วนที่ดีของกันและกันในการทำงานร่วมกัน แต่ (เน้นเสียง) เท่าที่เราเห็นนะ คนเป็นสลิ่มนั่นแหละที่มักมีปัญหากับคนที่มีความเชื่อไม่เหมือนกัน ซึ่งคนเหล่านั้นมักมีตำแหน่งสูงในองค์กร ดังนั้นเวลาเขาตัดสินใจอะไรงี่เง่า เช่น การแบนดาราสามกีบ เสื้อแดง และเลือกดาราสลิ่มมาเล่น คนทำงานในระดับปฏิบัติการตัวเล็กตัวน้อยที่เห็นกระแสในทวิตเตอร์ก็ไม่สามารถเตือนได้ ทำได้แค่รับคำสั่งมา ซึ่งสุดท้ายพอหนังเจ๊งและประชาชนด่า คนที่เป็นหมาหัวเน่ากลับเป็นฝั่งปฏิบัติการซะงั้น

คุณมองว่านี่เป็นอีกหนึ่งกระแสสังคมหรือเปล่า การที่ประชาชนไม่ได้ดูแค่ผลงานของดารา แต่ดูแนวคิดและตัวตนของเขาด้วย

แน่นอน เพราะประชาชนทุกวันนี้ไม่ได้หลับหูหลับตาดูแล้วเชื่อ เขาไม่ได้ดูทีวีแค่ไม่กี่ช่อง แต่เขามีความรู้จากหลายๆ แหล่งที่กระจายตัวและไม่ได้ถูกปกปิด ดังนั้นเด็กรุ่นใหม่จึงเคารพคนที่เขารู้สึกว่าน่าเคารพ เขาเชื่อในคนที่เขาคิดว่าน่าเชื่อถือ และเขาไม่สนแล้วว่าดาราคือใคร เพราะเขามองคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ถึงคุณแสดงเก่ง แต่ถ้าคุณไม่มี empathy ต่อพี่น้องประชาชน เขาก็ไม่สนับสนุนคุณ เพราะมันไปด้วยกันไม่ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้ เพราะถ้าคุณปรับตัวไม่ทัน รอดูได้เลยอีก 2-3 ปีคุณหายไปแน่ คนจะไม่แคร์คุณแล้ว เพราะเขามียูทูบ มีดาว TikTok ในดวงใจ เขามีดาวทวิตเตอร์ที่ศรัทธา สิ่งเหล่านี้จะดึงเวลาเขาไปจากคุณ ดังนั้นในความคิดเราคือถ้าไม่ปรับตัว คุณอยู่ไม่ได้แน่

แล้วคุณคิดเห็นยังไงกับดาราบางคนที่อยากแสดงออก แต่ด้วยกรอบของสังกัดทำให้แสดงออกไม่ได้

เรารู้จักหลายคนที่เป็นแบบนั้น หลายคนเลยที่อยากออกมาแต่ก็ทำได้แค่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเราว่าเดี๋ยวถึงเวลาเขาก็ออกมาเองแหละ แต่ในตอนนี้ถ้าการออกมาของเขาต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง เราก็เคารพในการตัดสินใจ เพราะเราคงไปรับผิดชอบชีวิตเขาไม่ได้ ทุกคนมีสิ่งที่แลกมาก-น้อยต่างกัน เรามีเดิมพันที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเรารอให้เขาเคียงข้างในวันที่เขาพร้อมดีกว่า 

สุดท้ายถ้าให้สรุป คุณว่าการที่คนในวงการบันเทิงออกมาพูดสำคัญขนาดไหน มันต่างกับคนทั่วไปหรือเปล่า

(นิ่งคิดนาน) ว่ากันตามตรงเลย การเป็นคนบันเทิงคือเต้นกินรำกินแหละ มันคืออาชีพที่สร้างความสนุกและความบันเทิง แต่เพราะคุณอยู่ตรงนี้ มันเลยเหมือนคุณมีสปอตไลต์ที่เลือกได้ว่าจะส่องให้ใคร ดังนั้นเวลาที่พี่น้องประชาชนลำบากและคุณรับรู้ เราว่าสิ่งนี้ควรส่งผลต่อวิจารณญาณของคุณ

เวลาจะออกมาพูดหรือทำอะไร ด้วยสิ่งที่คุณมี มันสามารถทำให้คุณเลือกเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนและช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ได้ คุณเลือกได้ว่าจะใช้สปอตไลต์ในมือส่องให้คนทั่วไปได้เห็นปัญหาหรือเปล่า หรือจะส่องให้คนเห็นไหมว่าตอนนี้มีคนที่เขาต่อสู้พร้อมแลกแล้วต้องติดคุกอย่างรุ้งและเพนกวิน 

คุณก็ลองคิดดู เราคงไปคิดแทนคุณไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกแหละว่าคนเรามีเดิมพันและเครื่องมือในมือที่ต่างกัน แต่สำหรับเราเองก็คงทำอย่างที่เห็น คือขุดประเด็นขึ้นมา ไม่ทำให้ปัญหาเงียบหายไป พูดแทนใจประชาชน ตราบใดที่ความเป็นคนบันเทิงยังอนุญาตให้เราทำสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็คงทำต่อ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชวิชญ์ มายอด

ช่างภาพผู้ชอบกินบะหมี่ กินเบียร์ กินเนื้อ บ้าการเมืองพอๆ กับชอบไปดูคอนเสิร์ต