ใครว่ารายการร้องเพลงตายแล้ว ต้องได้ดู The Wall Song ร้องข้ามกำแพง สักครั้ง
ใครว่ารายการเกมโชว์ตายแล้ว ยิ่งต้องได้ดู The Wall Song ร้องข้ามกำแพง อีกหลายๆ ครั้ง แล้วคุณจะเปลี่ยนใจ
รายการจากช่องเวิร์คพอยท์รายการนี้คือส่วนผสมของรายการร้องเพลงชั้นดีและเกมโชว์สุดฮา กติกานั้นง่ายๆ คือในแต่ละตอนรายการจะเชิญแขกรับเชิญมา 3 คน แต่ละคนจะต้องร้องเพลงฟีเจอริ่งกับ ‘นักร้องหลังกำแพง’ หรือนักร้องปริศนาที่พวกเขาต้องเดาให้ถูกว่าเป็นใคร โดยมีตัวช่วยเป็นคำใบ้จากแขกรับเชิญคนอื่นๆ
และส่วนที่ ‘ไม่ง่าย’ มันอยู่ตรงนั้น เพราะแทนที่คำใบ้จะมีไว้เพื่อช่วยให้ทายถูก บรรดาตัวช่วยดันต้องใบ้เพื่อปั่นให้นักร้องบนเวทีทายได้ยากที่สุดเท่าที่จะยากได้!
ความสนุก ดูง่าย ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย ทำให้นอกจากเรตติ้งรายการสดวันพฤหัสบดี ตอน 20:05 น. จะดี คลิปรายการที่อัพโหลดอยู่ในช่องยูทูบ WorkpointOfficial ก็มียอดวิวเฉลี่ยตอนละเป็นล้าน แถมยังถูกซื้อไปฉายในยุโรปถึง 7 ประเทศ และถูกซื้อโดยช่องโทรทัศน์เวียดนามอีกหนึ่ง
กลับกัน เบื้องหลังรายการนั้นไม่ง่าย แต่อาศัยประสบการณ์นับสิบปีของ ดาว–ดาราราย ศรีจิตรแจ่ม Group Head ฝ่ายผลิตรายการของเวิร์คพอยท์ที่ทำให้สำเร็จขนาดนี้
วิธีคิดของดารารายและทีมมีอะไรบ้าง ไปฟังเฉลยได้ด้านล่าง
(คำเตือน บทความนี้เปิดเผยนักร้องหลังกำแพงในบางตอน แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้รู้อยู่แล้ว รายการก็ยังดูสนุกอยู่ดี)
รายการสนุกยุคโควิด
เรากล้าพูดว่า ไม่มีทางที่คุณจะไม่เคยได้ยินชื่อผลงานของดาราราย
The Mask Singer หน้ากากนักร้อง, I Can See Your Voice Thailand, The X Factor Thailand, Thailand’s Got Talent และ 10Fight10 คือส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เธอโปรดิวซ์อยู่เบื้องหลัง ก่อนจะมาถึงรายการล่าสุดอย่าง The Wall Song ร้องข้ามกำแพง
“รายการนี้มาจากไอเดียของพี่จิก (ประภาส ชลศรานนท์) ช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่เกิดวิกฤตโควิดช่วงแรก พี่แก้ว (ชยันต์ จันทวงศาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตและบริหารศิลปิน) ชวนทีมโปรดิวเซอร์มาระดมความคิดไอเดียรายการใหม่ๆ ช่วงนั้นสถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียด เราจึงอยากให้มีรายการบันเทิง สนุกสนาน ดูง่าย ยิ้มหัวเราะได้แบบไม่เครียด พี่จิกก็เกิดไอเดียว่าอยากเห็นดารามาร้องเพลงฟีเจอริ่งกัน แต่ว่ามีกำแพงกั้น ฝั่งหนึ่งต้องทายให้ถูกว่าอีกคนเป็นใคร มันน่าจะสนุกดี
“พี่แก้วช่วยเติมว่า อยากให้มีนักร้องสัก 3 คู่ ร้อง 3 เพลง คนดูจะได้ทายไปด้วย ฟังเพลงเพราะๆ ด้วย แต่จะทำยังไงให้การทายเป็นเรื่องสนุก เขาฝากเราช่วยคิดต่อ”
จริงจังกับการหลอก
“เราใช้เวลาเตรียมงาน 3 เดือน ทำเดโม่รายการ แก้ รื้ออีก รวมๆ กว่าจะออนแอร์ก็ใช้เวลาประมาณ 5 เดือนได้”
ดารารายอธิบายว่า The Wall Song ร้องข้ามกำแพง ประกอบขึ้นจากสองส่วน ส่วนหนึ่งคือรายการเพลง ซึ่งมีคอนเซปต์แข็งแรงดีแล้ว อีกส่วนคือเกมโชว์ ซึ่งนอกจากจะต้องคิดกติกาให้สนุก ยังต้องไม่ซ้ำทางรายการเดานักร้องปริศนาที่ช่องเคยทำ
“ตอนทำเดโม่รายการตัวแรกๆ เราได้ความสนุกและตลกแล้วก็จริง แต่ยังขาดคีย์เมสเซจของรายการ เช่น ตอนแรกๆ พิธีกร (กันต์ กันตถาวร) จะพูดว่าแขกรับเชิญทายผิดหรือทายถูก ซึ่งถ้าคีย์เมสเซจเป็นการเดาผิด-ถูก การทาย มันก็จะซ้ำกับรายการ I Can See Your Voice Thailand หรือ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง เราเลยปรับให้คีย์เมสเซจของ The Wall Song เป็นเรื่องการหลอก การปั่น”
ดังนั้นในรายการนี้ ความสนุกของคนดูจึงไม่ใช่ตอนทายถูก (เพราะคนดูจะรู้เร็วมากว่าใครอยู่หลังกำแพง) แต่จะสนุกกว่าตอนได้ดูชั้นเชิงการปั่นของเหล่าแขกรับเชิญและนักร้องปริศนาหลังกำแพง
แค่นี้ดูเหมือนจะยังปั่นป่วนไม่พอ ทีมงานเลยให้คำใบ้เพิ่มในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเกมเปิดแผ่นป้ายหรือวีทีอาร์บอกคำใบ้ เติมแขกรับเชิญที่ไม่ได้มาร้องเพลง แต่มาหลอกโดยเฉพาะ แถมยังให้พิธีกรมาช่วยอำอีกคน
“คอนเซปต์รายการนี้ต้องปั่น บุคลิกพิธีกรจึงต้องกะล่อน หลอกให้งงสุดๆ เหมือนจะเป็นพวกของเราแต่สุดท้ายก็ไม่ ซึ่งกันต์ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์มากๆ”
ความจริงจังอีกข้อคือการปกปิดนักร้องหลังกำแพงขั้นสุดยอด ตั้งแต่ตอนลงรถที่ต้องใส่หน้ากากจนถึงตอนซ้อมบนเวทีที่นักร้องหลังกำแพงต้องสวมผ้าคลุมไว้ตลอด และล็อกสตูดิโอไม่ให้ใครเห็นโดยเด็ดขาด
เมื่อตั้งใจปั่นกันจนเป็นคอนเซปต์ขนาดนี้ สุดท้ายจากที่พิธีกรใช้คำว่า ‘ทายผิด-ถูก’ ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘win-fail’ ที่สื่อว่าแขกรับเชิญเอาชนะหรือพ่ายแพ้การปั่นแทน
ตัวช่วยไม่ช่วยอะไร
เมื่อการปั่นระหว่างแขกรับเชิญคือหัวใจ สิ่งที่ทำให้รายการมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ก็คือแขกรับเชิญที่เข้าขากันดี
“เรามีเกณฑ์ในการเลือกแขกรับเชิญทั้งหน้ากำแพงและหลังกำแพงหลายอย่าง เช่น เขาไม่เคยร้องเพลงด้วยกัน เราอยากฟังใครร้องเพลงด้วยกัน หรือคนดูจะเซอร์ไพรส์ถ้าเห็นใครในรายการ
“เราอาจจะหานักร้องหลังกำแพงเป็นชอยส์ 2-3 คน สมมติเทปแรกเรามีพี่แจ๊ส ชวนชื่น เป็นนักร้องหน้ากำแพง พี่แจ๊สแกร้องแนวป๊อปร็อกก็เกิดการถกเถียงกันว่า นักร้องหลังกำแพงต้องเป็นแนวเดียวกันไหมหรือต้องเป็นคนละทางไปเลย ก่อนจะมาลงที่ Wonderframe ในเทปแรก”
ดารารายยังยกตัวอย่างแขกรับเชิญที่ไม่มีใครคิดว่าจะมารายการร้องเพลง เช่น มาดามแป้ง–นวลพรรณ ล่ำซำ นักธุรกิจและผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย นักร้องหลังกำแพงที่ทำเอาโต๋ ศักดิ์สิทธิ์เดายังไงก็เดาไม่ถูก
“นอกจากนี้ก็มีวิธีคิดอื่นๆ เช่น จับคู่นักร้องหน้ากำแพงกับนักร้องหลังกำแพงที่เขาปลื้ม เช่น นนท์ ธนนท์ที่ได้ร้องกับดาราที่ชอบอย่างปราง กัญญ์ณรัณ หรือเลือกแขกรับเชิญหน้ากำแพง-หลังกำแพงที่สนิทกัน”
และอย่างสุดท้ายนี่แหละที่ทั้งเซอร์ไพรส์นักร้องหน้ากำแพง และทำให้การอำเหนือชั้นขึ้นไปอีก “สมมติเราชวนคนที่สนิทกันมาร้องด้วยกัน เขามีข้อมูลเรื่องกันและกันอยู่แล้ว พอพูดบางเรื่องลึกๆ ที่มีแค่บางคนรู้เท่านั้นมันทำให้ตื่นเต้นว่าทายสิ ฉันเป็นใคร ฉันรู้เรื่องเธอนะ หรือที่เห็นชัดสุดคือคู่แม่-ลูก อย่างนิโคล เทริโอ และทิกเกอร์ ที่พอเปิดกำแพงมาคนก็ได้ซาบซึ้งไปกับความรักของแม่และลูก”
หลอกยังไงก็ได้ให้เพลงเพราะ
พาร์ตหลอกก็หลอกอย่างตั้งใจ พาร์ตที่ร้องเพลงก็ทำได้ดีชนิดที่หลายเพลงจาก The Wall Song ร้องข้ามกำแพง กลายเป็นปรากฏการณ์
อย่างเพลง Like I’m Gonna Lose You ของ Meghan Trainer Feat. John Legend ที่คัฟเวอร์โดยตู่ ภพธร และแอลลี่ อชิรญา นั้นฮอตจนแฟนๆ เรียกร้องให้ทำคลิปคัฟเวอร์เต็มเพลง ซึ่งพอทำจริงก็มียอดวิวถึง 50 ล้านเข้าไปแล้ว
หรือเพลง I’m Not The Only One ทอม อิศรา กับกระแต อาร์สยาม ก็คัฟเวอร์ได้เพราะขนลุก จนนักร้องเจ้าของเพลงอย่าง Sam Smith ถึงกับโผล่มาคอมเมนต์ในอินสตาแกรมของรายการ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อดารารายเฉลยว่าทีมครีเอทีฟของเธอล้วนแล้วแต่เรียนมาทางด้านดนตรีโดยตรง
“เรามีทีมครีเอทีฟด้านเพลงโดยเฉพาะประมาณ 4-5 คนซึ่งเรียบเรียงเพลงได้ ร้องเพลงเก่ง ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์สอนร้องเพลงด้วย ทีมนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจริงๆ
“ขั้นตอนของเราคือคิดนักร้องหน้ากำแพง-หลังกำแพงที่อยากให้เขาร้องคู่กัน แล้วให้นักร้องหน้ากำแพงเลือกเพลงที่เขามั่นใจ ร้องได้มาจำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วก็ส่งลิสต์ให้นักร้องหลังกำแพงดูว่าโอเคไหม มันจะมีเคสที่นักร้องหลังกำแพงร้องไม่ได้ บางทีก็ต้องเปลี่ยนเลยนะถ้าคอนเทนต์หลักไม่เสีย เช่น เราอยากให้นักร้องหน้ากำแพงร้องกับเพื่อนสนิท A แต่ถ้า A ร้องไม่ได้ เราก็ลองชวนเพื่อนสนิท B
“แต่ถ้าสมมติว่า เป็นคู่ที่ต้องคู่นี้แหละถึงจะเซอร์ไพรส์ที่สุดจริงๆ เราจะกลับไปถามนักร้องหน้ากำแพงว่า ขอเปลี่ยนเพลงได้ไหม เพราะหลังกำแพงร้องไม่ได้ เขาก็จะงงแล้วว่า เฮ้ย! คนนี้สำคัญมากขนาดที่ฉันต้องเปลี่ยนเพลงเหรอ กลายเป็นว่าเขาเริ่มสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นว่าหลังกำแพงเป็นใคร ระหว่างเลือกเพลงใหม่ หน้ากำแพงหลายคนเขาก็ทายไปด้วยเลยนะ (หัวเราะ)”
รสชาติที่เป็นสากล
จนถึงวันนี้ The Wall Song ร้องข้ามกำแพง ขายลิขสิทธิ์ไปแล้วในชื่อ The Wall Duet ให้ช่องโทรทัศน์ในยุโรป 7 ประเทศ คือเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน และโปรตุเกส แถมยังถูกซื้อลงช่องโทรทัศน์อันดับหนึ่งของเวียดนาม และล่าสุดอเมริกาก็กำลังจะซื้อไปผลิตด้วย
ทั้งหมดนี้ ดารารายขอยกเครดิตให้ทีมครีเอทีฟที่สร้างรายการออกมาได้สนุก และรสชาติของรายการที่เป็นสากล เอาไปปรับกับคนดูได้ทุกชาติ
“เท่าที่ได้ฟังมา เหตุผลที่สถานีต่างๆ ซื้อไปคือ รายการเข้าใจง่าย เกมหลอกตรงจริตฝรั่ง มีเพลงเพราะๆ ที่ต่างประเทศให้ความนิยม ซึ่งแต่ละประเทศที่ซื้อไปก็จะถามเราว่า ขอนำเสนอคอนเทนต์ที่เข้ากับวัฒนธรรมบ้านเขาได้ไหม ซึ่งเราก็ไม่ติด ขอแค่ไม่หนีแก่นคอนเซปต์การปั่นของรายการก็พอ”
ดารารายย้ำว่า ลีลาการหลอกการแกงของดารานักร้องยังมีอีกเยอะ แถมรายการยังจะเพิ่มมุกใหม่ๆ ที่คิดขึ้นเพื่อให้การหลอกสนุกขึ้นไปอีก เช่น ในอนาคตที่พวกเขาอยากเพิ่มเนื้อหาตอนติดต่อแขกรับเชิญ เพื่อให้เห็นการทายแบบเรียลๆ และลูกล่อลูกชนในการหลอกที่เพิ่มขึ้น
บอกแล้วว่าตั้งใจหลอกจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้หลอก