อาย กมลเนตร : นางเอก นักเขียน ผู้บอกเราว่าเธอไม่ได้อินดี้และติสท์อย่างที่หลายคนเข้าใจ

อาย กมลเนตร : นางเอก นักเขียน ผู้บอกเราว่าเธอไม่ได้อินดี้และติสท์อย่างที่หลายคนเข้าใจ

สำหรับแฟนๆ
a day คงรู้จัก อาย-กมลเนตร เรืองศรี
เป็นอย่างดีกับบทบาทคอลัมนิสต์เจ้าของคอลัมน์ ‘มุมมองเห็น’ และพ็อกเก็ตบุ๊กเรื่อง ‘ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา’ ช่วงนี้เราได้เห็นเธอบ่อยขึ้นทางจอโทรทัศน์เพราะละครย้อนยุคเรื่อง ชาติพยัคฆ์ ที่เธอแสดงกำลังออกอากาศทางช่อง 3
ใครอยากรู้จักนางเอกที่ได้รับฉายาว่า อินดี้ ติสท์
(ซึ่งเธอปฏิเสธเสียงสูงว่าไม่จริ๊งงงง) ขยับเข้ามาใกล้ๆ หน้าจอ เธอรอคุณอยู่แล้ว

คุณเหมาะกับละครพีเรียดนะ
ช่วงแรกเราไม่อินกับละครพีเรียดเลย
ไม่อยากเล่นเลย เพราะมันยาก แล้วก็มาเจอเรื่อง ลูกทาส แล้วก็ ชาติพยัคฆ์ อีก
ตอนที่เรื่องนี้ติดต่อมา บทของบัวในเรื่องนี้คล้ายบุญเจิมใน ลูกทาส มาก
เป็นบ่าวในเรือนนางเอก แอบรักพระเอก แต่พอลงลึกในรายละเอียดแล้วไม่เหมือนกัน
ตัวละครสองตัวนี้ต่างกันมากทั้งเรื่องของความคิดและการกระทำ

ได้เรียนรู้อะไรจากการเล่นละครเรื่องที่
6 บ้าง
ได้รู้จักวิญญาณความเป็นนักแสดงมากขึ้น
เราอยู่ในยุคที่ให้ค่ากับความสวยงาม ทุกคนอยากสวยหล่อออกทีวี
แต่บังเอิญเรามาอยู่ในโปรดักชันที่ไม่ได้สวยแบบพิมพ์นิยมออกทีวี แต่มันก็สวยงามตามท้องเรื่องของมัน
นักแสดงทุกคนต้องทาตัวดำ ไม่มีใครอยากส่องกระจกหรอก เราต้องโฟกัสกับหน้าที่จริงๆ
ของนักแสดงก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราว เจตนารมณ์ของตัวละคร ซึ่งเรื่องนี้พี่นก
(ฉัตรชัย เปล่งพานิช-ผู้จัดละคร) ไม่ได้เน้นขายพระนางคู่จิ้น แต่เน้นที่บท
องค์ประกอบศิลป์ ใช้เวลาถ่าย 11 เดือน โลเคชันที่เราถ่ายมันลำบากมาก มันร้อน
มันเหนอะ นักแสดงทุกคนต้องอดทน แต่พอออกมาแล้วมันดีมาก ฟีดแบ็กดีมาก
ทุกคนดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้

ทำไมถึงถ่ายนานขนาดนั้น
พี่นกเขาละเมียด
ไม่ปล่อยทั้งองค์ประกอบศิลป์ ทั้งแอ็กติ้ง ต้องรอจัดไฟนานมากกว่าจะได้มู้ดนี้โทนนี้
พี่นกเขาลงมากำกับแต่ละซีนร่วมกับผู้กำกับด้วย เขาจะไม่ปล่อยนักแสดง
เพราะรู้ว่ายังเล่นได้อีก เขาก็จะยอมเสียเวลา เพราะจะเอาซีนที่ดีที่สุดของนักแสดง ถ้าเป็นโปรดักชันที่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักไม่เกิน
3 เทกต้องปล่อยผ่าน เพราะในกองละครทุกวินาทีที่เสียไปคือเงิน
นักแสดงคนไหนเล่นได้ก็รอดตัว ใครเล่นไม่ได้ก็ไปตายตอนออนแอร์ เราก็เลยเห็นว่า บางเรื่องนักแสดงบางคนยังเล่นเหมือนท่องบทอยู่เลย

คิดว่าทั่วไปมองกมลเนตรยังไง
คนจะบอกว่าเป็นนางเอกอินดี้ ติสท์
เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อยากจะบอกว่าช่วยตั้งฉายาอื่นให้เราด้วย
เราอยากได้ฉายาอื่น (หัวเราะ)

คุณไม่ติสท์เหรอ
ไม่เลย
คนในวงการมีที่ติสท์กว่าเราเยอะ เราปกติมาก (หัวเราะ)

เพื่อนๆ
มองกมลเนตรว่าเป็นคนแบบไหน
บ้ามั้ง (หัวเราะ) เป็นคนกล้า กล้าแสดงออก
กล้าพูด กล้าทำ เราสนุกกับการยืนร้องเพลงหน้าห้องมาตั้งแต่ ป.4
ตอนมัธยมก็สนุกที่จะเป็นคนเอนเตอร์เทนเพื่อนในห้อง

ตอนเด็กๆ
เคยอยากเข้าวงการบันเทิงไหม
ไม่เลย เราเป็นเด็กพระราม 2
เวลาเรียนพิเศษก็เรียนแถวพระราม 2 ไม่เคยเจอคนที่อยู่ในทีวีเลย ดารากับเราเป็นเรื่องที่ไกลกันมาก
ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาอยู่ตรงนี้ ที่เข้ามาได้ก็บังเอิญมาก
ตอนเรียนมหา’ลัยเราเป็นคนผลักดันรุ่นน้องผู้ชายคนนึงให้เขาประกวดนู่นนี่
วันหนึ่งโมเดลลิ่งก็ชวนน้องเขาไปทำโปรไฟล์ที่สตูดิโอ เราก็ไปเป็นเพื่อนน้อง
บังเอิญว่าที่สตูฯ ข้างๆ กำลังแคสต์โฆษณาตัวนึงอยู่ โมฯ เลยบอกให้เราลองไปแคสต์ดู
แคสต์มา 5 วันแล้วยังไม่ได้สักที เราก็ไปลอง เขาให้เราเต้นบ้าๆ บอๆ แล้วเราก็ได้งานเลย
เราหาเงินด้วยตัวเองได้ก้อนแรกในชีวิต ก็ลองแคสต์อีกเรื่อยๆ คิดว่าต่อไปนี้เราจะหาเงินเองแล้ว ช่วงนั้นที่บ้านเราไม่โอเคด้วย เป็นทางที่หาเงินได้ ไม่เสียการเรียนด้วย
ก็ทำดีกว่า

ทำแล้วชอบไหม
มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เราได้งานปีละตัวสองตัว ซึ่งน้อยมากสำหรับเด็กโมเดลลิ่ง คนพวกนั้นได้งานปีนึง 20
ตัว ซึ่งเราทำไม่เคยได้ ก็ท้อ เวลาไปแคสต์ก็ไกลที่เรียน ไกลบ้าน ทำมาสองสามปีก็ไม่เอาดีกว่า
วันนึงเราก็คิดว่า ถ้าไม่ได้งานนี้จะเลิกทำแล้ว งานนั้นพี่ที่โมฯ หลอกเรา
บอกว่าลูกค้าเลิฟอีสอยากเจอเรา อยากให้เล่นเอ็มวี เราเคยเล่นเอ็มวีเพลง นาฬิกา
ของพี่บี พีระพัฒน์ แล้วรู้สึกว่าเล่นเอ็มวีมันดีจังเลย ได้เล่นเป็นธรรมชาติ
ไม่โอเวอร์แอ็กติ้งเหมือนโฆษณา แล้วก็ได้อยู่กับเพลง ซึ่งเราชอบเพลงอยู่แล้ว
ถึงได้เงินน้อยกว่าโฆษณา แต่เป็นงานที่เราแฮปปี้ พอไปถึงก็พบว่าเขาแคสต์คนได้ไปตั้งนานแล้ว
พี่เขาอยากให้เรามาแคสต์หนังโฆษณาของเคแบงก์ต่างหาก เราก็เลยลองดู แล้วก็ได้ จากนั้นก็เป็นที่รู้จักแล้วก็ได้เซ็นสัญญากับช่อง 3

ตอนไปเล่นเอ็มวีเพลง หน่วง ของ
Room 39 ยังต้องไปแคสต์อีกไหม
ไม่ต้องแล้ว (หัวเราะ)
พอได้งานเคแบงก์ก็ได้รู้จักพี่โตน โซฟา ที่เป็นคนทำเพลงประกอบ
แล้วก็เลยรู้จักพี่ต้น หัวกลม ที่เป็นผู้กำกับอีกที

คุณเล่นเอ็มวีมา
16 เพลงแล้ว มีแต่เพลงอินดี้ทั้งนั้น
เราชอบนะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงติดต่อมาเยอะ ถ้าเขาติดต่อมาแล้วเราชอบวง ชอบเพลง
ก็รับ แต่ตอนนี้แก่แล้วมั้ง เป็นยุคของน้องๆ รุ่นต่อไปแล้ว

ถ้าติดต่อมาก็ยังรับอยู่ใช่ไหม
รับ (หัวเราะ) 3 เดือนที่ผ่านมามีเอ็มวีติดต่อมา 3 ตัว แต่รับไม่ได้สักตัวเพราะคิวไม่ได้ มีเพลง หรือ ของ Slur
ด้วย เขานัดถ่ายเที่ยงคืนถึงตี 3 ให้เดินร้องไห้อย่างเดียว
วันรุ่งขึ้นเรามีคิวถ่ายละคร ถ้าร้องไห้ตาบวมไปถ่ายละครก็คงจะแย่ เสียดายมาก
อยากเล่นมาก

ถ้าวันนั้นคุณแคสต์หนังโฆษณาของเคแบงก์ไม่ได้
ตอนนี้จะทำอะไรอยู่
ก็คงเรียนหนังสือให้จบแล้วไปทำงานเป็นพีอาร์หรือเออี
เราเป็นคนชอบพูด

คุณไปเทศกาลงานอินดี้บ่อยมาก
ชอบงานพวกนี้ตรงไหน
บรรยากาศดี มีความเป็นศิลปะ
มีอิสระทางความคิด ทุกคนดูมีความสุข เป็นตัวของตัวเอง เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น
ต่างจากงานในวงการบันเทิงที่ต้องคีปลุค อย่างวันนี้ที่เห็นเราแต่งหน้าเต็มเพราะเมื่อเช้าไปอัดรายการมา
ไม่งั้นไม่มีทาง
เห็นเราหน้าเต็มขนตาแน่นขนาดนี้ (หัวเราะ)

ช่วงนี้คุณสนใจการออกกำลังกายมากนะ
เริ่มจากเราเป็นคนผอม 5
ปีที่ผ่านมาที่อยู่ในวงการบันเทิง เราพยายามหาวิธีทำให้อ้วนขึ้นด้วยการกินดึก
กินมัน กินแล้วนอน กินข้าวมันไก่ตอน 5 ทุ่ม ไม่ออกกำลังกายด้วยนะ
เพราะคิดว่าออกแล้วจะผอม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดและบ้ามาก ผลที่ได้ก็คือ
พุงและเซลลูไลท์ เราก็เลยออกกำลังกายจะได้หิว กินโปรตีนเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ก็เล่นโยคะบ้าง พีราทิสบ้าง แล้วก็เพิ่งมาฝึกว่ายน้ำ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น
เราเคยจมน้ำมาก่อนเลยกลัว อยากเอาชนะความกลัว ตอนนี้ว่ายได้แล้ว แต่ท่าไม่สวย
(หัวเราะ)

ธรรมะก็เป็นอีกเรื่องที่คุณสนใจ
เราเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้
เราก็ยังมีกิเลสนะ ยังงี่เง่า แต่มีสติที่ดึงเรากลับมา
เมื่อวานเรางี่เง่ากับคนที่บ้าน เราหายเร็วมาก พูดคำว่าขอโทษได้เร็ว
เมื่อก่อนเรายึดตัวตนมากกว่านี้ ธรรมะเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยตัวเอง
ธรรมะไม่ใช่เรื่องคำบาลีสันสกฤต ไม่ใช่เรื่องของบทสวดมนต์ หรือพระพุทธรูปบนหิ้งพระ
แต่เป็นเรื่องของเราเอง ใครรู้จักธรรมะจะมีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป
ไม่เหลิงไปกับความสุข เพราะเป็นแค่ภาวะหนึ่ง เราเคยสุขแล้วไม่อยากให้สุขนั้นหายไป
แต่เป็นไปไม่ได้เพราะสุขนั้นต้องหายไป เราเคยดำดิ่งกับทุกข์มากๆ
อยากจะออกจากตรงนั้น ซึ่งจริงๆ แล้ววันนึงทุกข์ก็ต้องไป

วันที่
8 เมษายนนี้ คุณจะอายุครบ 25 ปี มองชีวิตในอนาคตไว้ยังไงบ้าง
ผ่อนบ้านให้หมด (หัวเราะ)
ตอนนี้เราทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวนะ ความสุขในวันนี้ของเราง่ายมาก
เรานั่งมองแม่เห็นริ้วรอยบนหน้าแม่ เรารู้ว่าแม่แก่ลง แม่ผ่านเวลาที่ลำบาก
เวลาที่ทุกข์ วันนี้เรารู้ว่าแม่สุขขึ้น
อาจจะไม่ได้ทุกอย่างอย่างที่อยากได้เหมือนแม่คนอื่น แต่เราเชื่อว่าแม่มีความสุขขึ้น
และเราจะทำให้แม่มีความสุขขึ้นไปอีก โดยอยู่บนพื้นฐานของความพอดี

นึกภาพตัวเองตอน
30 ไว้ยังไงบ้าง
อยากเป็นคนเก่ง
เลยตั้งใจทำงานตั้งแต่ตอนนี้ อยากเข้าใจโลก คำว่าเก่งสำหรับเราไม่ใช่หาเงินเก่งนะ
แต่เป็นคนที่จัดการกับปัญหาได้ดี ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธปัญหาได้อยู่แล้ว
แต่วันที่มีปัญหาเราอยากจะเป็นคนที่จัดการมันได้ด้วยสติและปัญญาที่มี
เราอยากเป็นคนแบบนั้น

มิวสิกวิดีโอเพลง นาฬิกา
ของ บี พีระพัฒน์ ปี 2010

โฆษณากสิกรไทย
เรื่อง Melody ปี 2010

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR