รู้จัก กันต์ ชุณหวัตร ในวันที่เขาไม่ได้เป็นแค่ต้า Hormones อีกต่อไป

ผมนัดคุยกับ กันต์ ชุณหวัตร ในวันที่ฝนตกหนักตั้งแต่ช่วงเช้าจนย่ำเข้าบ่ายแก่ เมื่อฝนหยุดหมาดๆ กันต์ปรากฏตัวในลุคชายชุดดำดูเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า คนตรงหน้าผมคือหนุ่มวัย 23 ที่เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษา แต่คนส่วนใหญ่เพิ่งรู้จักเขาในบทบาท ‘ต้า’ ตัวละครหลักจาก Hormones วัยว้าวุ่น ซีรีส์ยอดฮิตขวัญใจวัยรุ่นที่ดังเปรี้ยงจนเปลี่ยนชีวิตกันต์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคนรู้จักเขามากขึ้นอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคาดมาก่อน

เขากระโจนตัวลงไปดำดิ่งในงานบันเทิงหลายศาสตร์ ตั้งแต่นักแสดง พิธีกร โปรดิวเซอร์ ดีเจ ตากล้อง นักเขียน ไล่เรียงมาถึงบทบาทล่าสุด นักดนตรี ที่ควบการร้องและแต่งเพลงเองแทบทุกขั้นตอน ทำให้เวลานี้ ผมไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธการพูดคุยกับเขา ก่อนพบกันหนึ่งวัน ผมฟังเพลง ขอพร ซิงเกิลแรกในชีวิตของกันต์วนไปวนมาอยู่หลายรอบ เพลงเศร้าของเขาเหมาะกับบรรยากาศหน้าฝนไม่น้อย และตอนนี้เจ้าของบทเพลงกำลังนั่งอย่างผ่อนคลายอยู่ตรงข้ามผม ก่อนบทสนทนาเริ่มขึ้น กันต์มีท่าทีจดจ่อรอฟังคำถามอย่างตั้งใจ

ในฐานะแฟนซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ ตัวยง ผมเริ่มคำถามแรก

คนจดจำคุณในบทบาทต้าจากซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ ถ้าเปรียบต้าเป็นเพื่อนที่คุณได้ทำความรู้จัก เขามอบประสบการณ์อะไรให้คุณบ้าง
ต้ามอบความเปลี่ยนแปลงทุกแง่ให้ผม ทำให้ผมเป็นที่รู้จัก ถือเป็นบทนำบทแรกที่ทำให้ได้แสดงฝีมือการแสดงอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือต้าเป็นประตูให้งานอื่นได้เข้ามา เป็นจุดใหญ่สุดที่เป็นหมุดหมายสำคัญของชีวิต ขอบคุณต้ามากที่มาส่งตัวผมถึงตรงนี้ ที่เหลือผมต้องเดินเองแล้ว ก่อนหน้าผมไม่ได้เป็นใครเลย ต้องต่อสู้ด้วยตัวเองเรื่อยมา ตอนที่ได้มาทำ เราก็ไม่รู้เลยว่าบทนี้มันจะประสบความสำเร็จไหม พอได้โอกาส เราทำเต็มร้อย เมื่อสำเร็จก็มีคนจับจ้องและสนใจ นอกจากนี้ตัวละครต้ายังสอนวิธีการใช้ชีวิต สอนการรับมือความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายมันสอนว่าเราไม่ได้เป็นต้า เราต้องเป็นตัวเอง แล้วจงใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่


เลือกใช้ชีวิตธรรมดาก็ได้ ทำไมถึงเข้ามาในวงการที่งานหนักและมีคนจับจ้องตลอดเวลา
ตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดเป็นนักแสดง แต่เมื่อมีโอกาส เราหาเหตุผลไม่เจอว่าทำไมจะไม่ทำ ผมใช้เวลาหลายปีพัฒนาตัวเอง แต่ก่อนรู้สึกไม่อิน แต่ว่าเราได้ครูสอนการแสดงที่เคาะกำแพงตัวเองออก ตอนแรกผมแสดงไม่ดี ไม่เปิดใจเลย ไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง ถึงขั้นว่าอย่ามายุ่งกับกู แต่พอเรียนการแสดง มันทำให้เรารู้จักตัวเอง เหมือนเราเห็นโลกใหม่ที่ออกมาจากกะลา หลังจากนั้นเราสนุกมากที่ได้แสดงเป็นตัวละครต่างๆ แล้วผมไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวสายตาที่คนอื่นจับจ้อง เพราะเราไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ดี


คุณเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่ช่วงเรียนประถม เรื่องยากที่วัยเด็กขนาดนั้นต้องทำใจยอมรับคืออะไร
ก่อนผมจะมาเล่นซีรีส์อย่างที่เห็น ผมผ่านการแคสติ้งไม่ผ่านมาตั้งแต่ประถม เรียกว่าหลายครั้งเคยเฉียดเข้าไปใกล้ที่สุดเกือบได้เล่นหนัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่น ผิดหวัง พอเข้าช่วงมัธยม เราเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ฝันหวานไปแคสติ้งบทพระเอก แล้วคิดว่าถ้ากูแคสต์ได้ ความสำเร็จมันใกล้นิดเดียว แต่ตอนนั้นดันได้บทเป็นตัวรอง ระยะมันห่างไกลมาก ช่วงนั้นความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งพังทลาย คนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ เดี๋ยวมึงก็ได้โอกาสใหม่ แต่ตอนนั้นเราไม่มีทางรู้ว่าจะมีโอกาสใหม่หรือเปล่า ผมอาจท้อจนหยุดฝันแล้วก็ได้ แต่เราไม่ยอมเลิกรา ยังบอกกับตัวเองว่าไม่ได้มีใครโผล่มาแล้วประสบความสำเร็จเลยหรอก


กว่าจะเดินทางมาถึงจุดที่ยืนอยู่ได้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมามาก คุณรับมือกับความเจ็บปวดระหว่างทางยังไง
ร้องไห้เลย จากนั้นต้องคุยกับตัวเองให้มาก เป็นธรรมดาชีวิตคนเราต้องมีความกดดัน บางทีทำงานเสร็จกลับบ้าน ปิดประตูห้องนอนปุ๊บ น้ำตาไหลนอนร้องไห้โฮเลย อาจต้องหาคนพูดคุยด้วย คิดซะว่าอาบน้ำนอน บอกตัวเองว่าอย่าไปท้อเลย พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าผมทำอะไร ผมจะอดทนทำในสิ่งที่ต้องการจนสำเร็จ พุ่งไปจนสุดทาง ถ้ารู้สึกยังไม่ดีก็ย้อนกลับมาคิดว่ายังทำไม่พอ ต้องทำให้ดีกว่าเดิม ดีกว่าไปนั่งโทษว่าทำไมถึงล้มเหลว ถ้ามีข้อบกพร่อง เราต้องนำมาแก้ไข ไม่ต้องรอใครบอก ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ทำดีหรือไม่ แค่ทบทวนเราก็จะเห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญคือต้องรู้ไว้เลยว่าชีวิตต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้เสมอ


อะไรคือสิ่งสำคัญของคนหนุ่มวัย 23 ปีอย่างคุณ
สิ่งสำคัญคือการที่ผมยึดถือว่าเราต้องมีความสุขและสนุกกับทุกสิ่ง ผมพยายามถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มีความสุขไหม เพราะสิ่งนี้คือเรื่องใหญ่ที่คนชอบมองข้าม บางคนทำงานได้เงินเดือนสูง แต่ไม่มีความสุขกับมัน สุดท้ายต้องเอาเงินที่ตัวเองหาได้ไปวิ่งซื้อความสุขให้ตัวเอง แต่ถ้าเราเลือกทำงานที่สุขอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปหาความสุขจากที่ไหน เพราะเราพอใจแล้ว คนอาจคิดว่าความรวยทำให้เรามีความสุขที่สุด แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น บางคนทำนา กินข้าวกับน้ำพริกก็มีความสุข หรือบางคนบอกว่า เอนจอยมากเลย ตอนนี้ทำงานแล้วสนุกมาก แบบนี้ก็โอเคแล้วนะ

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมองข้ามผู้ชายไซส์มินิ แต่สำหรับ กันต์ ชุณหวัตร สาวๆ หลายคนบอกว่าคุณเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ คิดยังไงกับทัศนคตินี้
โอ้โห! เหรอครับ (หัวเราะเสียงดัง) ผมไม่รู้ว่าอวยกันขนาดนี้ โอเค ผมเป็นผู้ชายตัวเล็ก หลายครั้งโดนมองข้าม มันเป็นค่านิยมที่ผู้ชายต้องตัวสูงกว่าผู้หญิง แต่สุดท้ายการเลือกชอบใคร ต้องทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง เป็นเรื่องมุมมอง ต้องได้พูดคุย ได้ร่วมงานกัน การได้รู้จักตัวตนจะทำให้เขามองมุมอื่นมากขึ้น เขาจะรู้ว่าการที่เราชอบใครสักคนหนึ่ง รูปลักษณ์เป็นสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือทัศนคติการใช้ชีวิต เป็นเรื่องภายในล้วนๆ


เรื่องไหนในชีวิตที่ได้รับการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็นตัวตนที่เด่นชัดของคุณ
เรื่องดนตรี เราลงมือทำมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยยอมปล่อยมือจากมันเลย ไม่ว่าจะมีงานอื่นมาแทรก ตัวผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่ ม.ต้น พอขึ้น ม.ปลาย ผมก็เรียนสายดนตรี ตอนมหาวิทยาลัยก็เล่นดนตรี แต่สุดท้ายยังไม่มีโอกาสทำเพลงจริงจังสักที บางทีมีคนแซวว่า “เฮ้ย! เรียนมาเสียเปล่าไหมเนี่ย” ผมตอบว่าอยากทำแต่ต้องรอเวลาก่อน ต้องหมักบ่มกันให้ลงตัว จนถึงตอนนี้เพลง ขอพร ปล่อยออกมา ก็พิสูจน์และทำให้เรามั่นใจแล้วว่าเราเลือกเส้นทางไม่ผิดแน่นอน


ดนตรีทำให้คุณหลงเสน่ห์อะไรถึงอยู่กับสิ่งนี้ได้ตั้งแต่เด็กจนโต
ตอนแรกเล่นดนตรีเพราะอยากจีบสาว ไม่มีความลึกซึ้งเลย คิดว่าเล่นกีตาร์ได้เท่เหลือเกิน เลยเลือกเรียนสายนี้ ตอนหลังติดใจเวลาขึ้นเวที คิดว่าเวทีศักดิ์สิทธิ์ เราสั่งให้คนที่อยู่ข้างล่างทำตามได้ ผมรู้สึกมีตัวตน มีพลัง แล้วมันไม่ใช่พื้นที่ที่อนุญาตให้ทุกคนขึ้นไป พอเป็นอย่างนั้นก็คิดว่าเล่นเข้าไป จะได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีอีก ทีนี้ความคิดมันพัฒนา เพราะคิดว่าครั้งต่อไปขึ้นบนเวทีต้องห้ามแสดงพลาด แต่สิ่งที่ทำให้ผมติดใจดนตรีมากที่สุด คือมันเป็นศาสตร์ของการเล่าเรื่องผ่านทำนอง เมโลดี้ เนื้อร้อง เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีเสน่ห์ ผมเล่นดนตรีเกือบทั้งชีวิต เพราะชอบเล่าเรื่องราวผ่านกีตาร์แทนภาษาพูด และเราเล่าได้หลายแบบเพราะดนตรีมีหลายแนว


เล่นดนตรีมาตลอด นอกจากต้องบ่มเวลาให้ลงตัว ทำไมถึงเพิ่งปล่อยเพลง ขอพร ตอนนี้
ยอมรับเลยว่าไม่ได้เป็นคนมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น ผมยังขาดประสบการณ์บางอย่าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีเยอะ มันมีประสบการณ์เท่าที่ช่วงวัยจะพาผมไปเจอได้แค่เท่านั้น แต่เมื่อคิดทบทวนหนักแน่นว่าถ้ามัวแต่กลัว ถึงวันหนึ่งเพลงของเราจะไม่ได้ปล่อยให้ใครฟัง ทำให้รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยแล้ว ถึงไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เข้มข้นพอที่จะปล่อยออกมาในตอนนี้

ที่มาของซิงเกิลล่าสุดอย่างเพลง ขอพร มาจากอะไร
ผมดูสัมภาษณ์ของผู้หญิงคนหนึ่งในรายการหาคู่ เขาพูดเรื่องชีวิตการหย่าร้างของตัวเอง เราเอะใจว่าอะไรวะ เขาเล่าให้ฟังว่าช่วงหย่ากับสามี ตัวเองใช้ชีวิตไม่ได้เลย ต้องขายบ้าน ขายรถทิ้ง หนีไปอยู่ต่างประเทศ ชีวิตพังพินาศมาก แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าทุกวันที่เข้าโบสถ์ ฉันต้องขอพร คุณรู้มั้ยสิ่งที่ฉันขอ ฉันขอแค่ว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาหายใจแล้วได้มั้ย โอ้โห! เรารู้สึกว่ามันทำลายล้างรุนแรงมาก พอสบตากับเขาในทีวี ผมแม่งน้ำตาคลอเลย ไม่เคยคิดว่าจะเจอมุมนี้ ปกติเราติดกับนิยามของการขอพรให้ได้สิ่งดีๆ แต่การขอพรให้ตัวเองหายไปนี่มันเศร้ามาก เขาทำให้เรารู้สึกได้ เลยอยากแชร์ความรู้สึกมุมนี้ออกมา


แล้วในชีวิตจริงมีมุมเศร้ารุนแรงแบบนี้ไหม
ไม่มีเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ (เน้นเสียง) ไม่เคยเลย แต่ว่าผมอาจเป็นคนซึมซับสิ่งต่างๆ ค่อนข้างง่าย เพราะเรารู้สึกว่าเขาถ่ายทอดมาได้สุดมาก เราเลยได้ความรู้สึกมาเต็มๆ เขาทำให้ผมเชื่อจริงๆ พอรู้สึกจริงก็เขียนเนื้อเพลงออกมาได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องราวของคนอื่น


จริงๆ คุณไม่ได้ทำเพลงป๊อปฟังง่ายขนาดนี้ แต่พอเป็นเพลง ขอพร ต้องทำให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย มันลดทอนตัวตนของคุณลงไหม
ไม่แน่นอน ต้องไม่ลดทอนครับ (เน้นเสียง) ทำเพลงแล้วต้องเป็นเพลงของเรา ถ้าทอนตัวตนเมื่อไหร่ มันไม่ใช่แล้ว ผมต้องคอยดูการทำเพลงตั้งแต่ต้นกระบวนการเลย อาจจะต้องเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างเพื่อให้เพลงย่อยง่ายขึ้น แต่ต้องออกมาในรูปแบบที่เราโอเคร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมตั้งเป้าเลยว่าทำเพลงออกมาก็ต้องอยากให้มีคนฟังเยอะๆ อยากให้มันดัง เพราะหมายความว่าสิ่งที่เราเล่าได้ถูกแชร์ออกไปแล้ว ผมจะไม่ทำเพลงไว้ฟังคนเดียวในห้องนอนแน่นอน (หัวเราะ) ถึงจะทำเพลงป๊อปฟังง่าย แต่นี่คือตัวผมแน่นอน

คุณผ่านงานหลายบทบาทมากทั้งนักแสดง ดีเจคลื่น Cat Radio โปรดิวเซอร์และพิธีกรรายการ Hang Over Thailand ถ้าต้องเลือกแค่สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว จะเลือกอะไร
หลายๆ ครั้ง คนบอกให้ผมเลือกแบบนี้ บอกเลยว่าเลือกไม่ได้ เพราะรู้ว่าตัวเองอยากทำหลายอย่าง ถ้าปีนี้ผมอยากจะทำเพลงมากๆ ปีหน้าผมอาจจะอยากเขียนหนังสือสักเล่มก็ได้ อาจจะต้องหยุดทำเพลง อย่างปีก่อนผมอาจจะอยากทำรายการ Hang Over Thailand ผมก็จะขออนุญาตหยุดไปทำรายการให้สำเร็จ แล้วก็ทำเรื่องที่ปักหมุดอยากทำไว้ทีละอย่าง


แต่เราเชื่ออยู่ดีว่าคนเรามีสิ่งถนัดที่สุดนะ
แต่ผมกลับคิดว่าตัวเองไม่ถนัดและไม่เก่งสักอย่าง (นิ่งคิด) เป็นคนที่แม่งไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย แถมยังเรียนรู้ช้า การแสดงกว่าจะทำได้ต้องเรียนรู้ตั้ง 3 ปี รุ่นน้องๆ เข้ามาเรียน 6 เดือน เขาแสดงกันได้ดีแล้ว ส่วนเรื่องดนตรี ผมเรียนรู้ทั้งชีวิต ยังเล่นเก่งสู้พวกที่เพิ่งมาเรียนตอนมหาวิทยาลัยไม่ได้เลย หรืองานครีเอทีฟ ผมเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าผมอีกเยอะ เขามีไอเดียบรรเจิดทำหนังสั้นและสื่อดีๆ คนกลุ่มนี้อายุน้อยกว่าผมอีก เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามหาพรสวรรค์ของผม มันคือความพยายามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


คุณวางแผนอะไรในทางชีวิตข้างหน้า
ถ้าปีหน้ามีเรื่องท้าทายใหม่ก็จะลองไปทำ อย่างปีที่แล้วผมทำรายการทีวีปีนึง รู้สึกสนุกกับมัน ถึงแม้จะไม่มีเวลานอนพักผ่อนเลย แต่ผมอยากทำไปเรื่อยๆ ก่อน เพราะรู้สึกว่าช่วงอายุเรายังเป็นวัยรุ่น เราได้รับสิทธิ์ที่จะล้มและพลาดกี่ครั้งก็ได้ เพราะตัวเองยังมีแรงลุกขึ้นมาอยู่ เป็นสิทธิ์ที่วัยรุ่นอย่างเราจะมีได้เท่านั้น และผมต้องใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR