เส้นทางลู่ลมของ Paper Planes วงดนตรีที่ชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นศิลปินเพลงร็อก พี่ชายที่ดี และมีชีวิตแบบไม่ขอกลับไปแก้ไขอดีต

คงจะมีวงดนตรีร็อกไม่กี่วงที่จะมีวัยรุ่นตัวจิ๋วส่งเสียงร้องตามเพลงอย่างสุดกำลัง จนใครๆ ก็ยกให้เป็นหัวหน้าแก็ง และสร้างตำนานอีกนับไม่ถ้วน ทั้งเล่นคอนเสิร์ตกลางซาฟารีเวิลด์ ปล่อยคำขวัญวันเด็ก ชักชวนให้แฟนๆ แปรงฟันก่อนนอนกลางเวที จนถึงเลือกรับงานช่วงกลางวันมากขึ้น เพื่อที่จะได้พบปะกับเด็กๆ และล่าสุดได้รับเลือกพรีเซนเตอร์อีกหลากหลายแบรนด์

ใช่ นั่นคือปรากฏการณ์เพลง ‘ทรงอย่างแบด (Bad boy)’ และวงนั้นคือ Paper Planes วงดนตรีร็อกที่ตั้งใจแหวกขนบเพลงร็อกและชัดเจนด้วยสไตล์เพลงของตัวเอง ในวันที่มี ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี เป็นสมาชิกวง

ย้อนกลับไป Paper Planes ไม่ใช่วงหน้าใหม่ หากแต่กำลังเข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว และเป็นวงร็อกเลือดใหม่ที่น่าจับตามอง โดยฮายซึ่งเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังกับศิลปินหลายคน (WONDERFRAME, PiXXiE, Mirrr, bamm, LOMOSONIC ฯลฯ) และในที่สุดเพลงของเขาก็เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างมากขึ้นนับตั้งแต่ เพลง เสแสร้ง ที่กวาดยอดวิวไปได้กว่า 110 ล้านวิวขณะที่เราเขียนอยู่ขณะนี้

ในวันที่เพลงล่าสุด ชัดเจน ปล่อยออกมา เราไม่พลาดที่จะชวนพวกเขามาย้อนเส้นทางกว่าจะถึงวันที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก Paper Planes พวกเขาเติบโตจากวันแรกจนถึงวันนี้มากแค่ไหน และคาดหวังอะไรกับการเดินทางครั้งใหม่นี้ พร้อมเบื้องหลังสนุกๆ ของการทำเพลง จากวงดนตรีร็อกที่เชื่อว่าการทำเพลงเศร้าคือความเท่ ก่อนไปฟังคำแนะนำถึงเด็กๆ จากนักดนตรีพังก์ในวันที่กลายเป็นพี่ชายของเด็กๆ หลายคน

และนี่คือเรื่องราวของ Paper Planes ที่พวกเขาจะมาตอบแบบชัดเจนมากที่สุด

ความชัดเจนเรื่องที่ 1: ต้องเป็นศิลปิน

ย้อนกลับไปวัยเด็กหลายคนคงมีไอดอลเป็นของตัวเอง และมีส่วนทำให้เรากลายเป็นตัวเองในวันนี้ ไม่ต่างกับฮายและเซน กว่าที่พวกเขากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ ที่ผ่านมาศิลปินวงร็อกในตำนานอย่าง Retrospect และ Sweet Mullet ก็เคยเป็นไอดอลของพวกเขาเช่นกัน และทำให้เขาก้าวมาเป็นศิลปินเต็มตัวอย่างในทุกวันนี้ 

ฮาย: ไอดอลตอนนั้นค่อนข้างมีอิทธิพลเยอะ ด้วยแนวเพลง วิธีการฟังเพลงก็เป็นไปตามนั้นเลย เหมือนกับเราก็ฟังพวกเพลงหนักๆ เพลงร็อก เพลงเมทัล ตั้งแต่นั้นมา พอเวลาผ่านไปมันค่อยๆ หล่อหลอมเป็นตัวเรา เราก็ไปฟังสิ่งที่เยอะมากขึ้น แต่ถามว่าแรงบันดาลใจมาเต็มๆ ไหม ก็ค่อนข้าง เหมือนไลฟ์สไตล์ แฟชั่น เรื่องของมิวสิคด้วย

เซน: เป็นไอคอน มันทำให้เราเห็นภาพว่าถ้าเราอยากเป็นศิลปิน เราอยากเป็นแบบนี้

ฮาย: ตอนนั้นที่ฟังเพลงร็อกเพราะรู้สึกว่ามันเท่ แล้วมันแตกต่าง พอเริ่มรู้สึกว่ามันเท่ปุ๊บมันมีแพสชันในการฟัง รู้สึกว่ามีสไตล์ พวกซาวนด์ของเพลงร็อก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากนะ เหมือนเป็นรสชาติที่เราชอบ 

เซน: ผมรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยบางอย่าง ปลดปล่อยพลัง ช่วงแรกๆ ตอนเด็กๆ รู้สึกว่าพอเล่นสไตล์นี้ปุ๊บมันมันส์ จะเน้นมันส์มากกว่าเน้นเพราะในตอนเด็กๆ

อีกหนึ่งเป้าหมายที่พวกเขาบอกกับเรา คือการขับเคลื่อนสังคมในแง่ของวิธีคิดแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเด็ก เรื่องการตัดสินคน เรื่องความฝันที่บางครั้งไม่ต้องมีก็ได้ หรือการตัดสินคนจากภายนอก ไปจนถึงขับเคลื่อนเรื่องแรงบันดาลใจ 

ฮาย: ผมมองว่า Paper Planes เป็นวงที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาเพื่อสอนคนอื่น แต่เกิดมาเพื่อพูดให้คนรู้สึกว่าเรารับฟังเขา ไม่ได้เป็นการพูดเพื่อสั่งสอน แต่พูดเพื่อรับฟังและเข้าใจ ก็เลยรู้สึกว่า Paper Planes อยากขับเคลื่อนสังคมในแง่ของวิธีคิดแบบใหม่ๆ norm ใหม่ๆ ในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเด็ก เรื่องการตัดสินคน เรื่องความฝันที่คนไม่เคยพูดถึง เช่น การไม่ต้องมีฝันก็ได้ หรือการตัดสินคนจากภายนอก เรื่องของ personality วงอยากขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้ ถ้ามันไปได้มากกว่านั้นอยากขับเคลื่อนเรื่องแรงบันดาลใจ

เรารู้สึกว่าถ้าคนอยากตามความฝันจริงๆ เขาคงอยากมีแรงบันดาลใจ หรือจุดเริ่มต้นที่ดี เหมือนกับเราตอนเด็กๆ ที่เราได้แรงบันดาลใจจากคนอื่น แล้วก็อยากขับเคลื่อนเรื่องของสัตว์เลี้ยง สุนัข แมวจรจัด เพราะเป็นเรื่องที่เราค่อนข้างชอบ รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาหนึ่งที่มันกระทบกับสังคม ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากขับเคลื่อนตรงนี้ เรารู้สึกว่าถ้าเราโตกว่านี้เราน่าจะทำได้บ้าง แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถ drive ได้ทุกเรื่อง ก็เลยเลือกจากสิ่งที่เราชอบหลักๆ แล้วก็เรื่องของเด็กๆ เราได้วิธีคิดอะไรจากเด็กๆ ค่อนข้างเยอะ ก็เลยคิดว่า ถ้าเกิดเราเป็นพี่ชายคนนึง น่าจะทำให้น้องเกิดมาเป็นเด็กที่โอเคในสังคมได้ และใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการได้ 

เซน: บางทีเด็กๆ เขาต้องการวิธีคิด หรืออะไรบางอย่างที่ยึดเหนี่ยวให้เขาผ่านปัญหาเด็กในแต่ละวัยได้ เหมือนเราตอนเด็กๆ เราเจอปัญหานู่นนี่นั่น

นับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งวงจนกว่าเข้าสู่ปีที่ 6 มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ทั้งจำนวนสมาชิก ทัศนคติ และแนวเพลงที่พวกเขาพยายามสร้างรสชาติเพลงร็อกที่แตกต่างจากปกติ ขณะเดียวกันแม้จะมีจะวงร็อกในตำนานเป็นไอดอล แต่พอถึงวันที่ต้องมาทำเพลงเองจริงๆ พวกเขาก็เริ่มค้นหาความแตกต่างของวงตัวเองไปทีละน้อย จนกลายเป็นวง Paper Planes วงร็อกผสานระหว่างอีโมแทร็ปที่มีซาวนด์สังเคราะห์และดนตรีป็อปพังก์ กลายเป็นตัวแทนของวัยรุ่นยุคนี้ได้อย่างดี

ฮาย: แนวเพลงก็ต่างจากเดิมเยอะ แต่ว่ายังคงความเป็นร็อกเหมือนเดิม แต่มีความสื่อสารมากขึ้น เหมือนอย่างที่บอก พวกเราติดเท่ สะใจ 

เซน: หรือซาวนด์อะไรน่าสนใจ เท่ๆ ก็หยิบมาใช้ โดยไม่ได้นึกถึงว่าเพลงจะสื่อสารอะไร เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ ไหม

ฮาย: ใช่ แต่ตอนนี้เหมือนจะทำให้น้อยที่สุด แล้วก็เน้นไปที่ message ที่เราจะสื่อสารมากกว่า ตอนที่หาสไตล์เพลง เราก็ทำเพลงป็อปอยู่แล้ว แต่เรารู้สึกว่า Paper Planes ไม่สามารถทำเพลงป็อปได้ขนาดนั้น ก็เลยคิดว่ามันจะมี way ไหนที่จะทำให้สามารถเข้าไปอยู่ในตลาดนั้นได้ คือทำให้มันชัดเจนที่สุด มีคาแรกเตอร์ เป็นวงที่มีความ niche ต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เราถึงจะมีจุดเด่นที่ไปสู้กับคนอื่นได้ ตอนนั้นวงก็เลยคิดว่าจะทำยังไงให้วงชัดเจนมากที่สุดในแบบของตัวเอง 

ความชัดเจนเรื่องที่ 2: วันของ Paper Planes ต้องมาถึง

ความฝันของฮายและเซนคือการเป็นศิลปินมาตลอด จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกสงสัยในเส้นทางของตัวเองบ้างไหม ก่อนจะพบว่าเขาค่อนข้างมั่นใจ และบอกกับเราว่า “รู้ว่าสักวันมันจะมาถึง” วันที่ดนตรีของเขาเปลี่ยนทั้งเมืองให้มีแต่เสียงของ Paper Planes

ฮาย: ของผมเองไม่มีความรู้สึกสงสัย แต่เป็นเหมือนแค่ว่ามันยังไม่ถึงตรงนั้น แต่รู้ว่าสักวันมันจะมาถึง แอบรู้สึกทุกวันว่ามันค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วขนาดไหน หรือช่วงไทม์ไลน์ไหน ค่อนข้างแน่วแน่ทางนี้มากๆ 

เซน: รู้สึกคล้ายๆ กัน ไม่ค่อยรู้สึกว่าจะไม่ถึง เหมือนเราแค่ต่อคิว เพราะเราทำเต็มที่ของเรา แล้วเรามั่นใจว่าของเรามันดีพอ แค่รอวันที่จะมีคนเห็น

ฮาย: เราอยู่ในวงการเพลงมาด้วย เราพอรู้ธรรมชาติของวงการเพลง มันจะมีช่วงที่ถ้าเกิดมีใครป็อปปูลาร์ขึ้นมา สีของเมือง หรือไวบ์มันจะประมาณนั้นไปหมด แล้วพอมีใครที่แตกต่างขึ้นมา มันอาจจะเกิดความน่าสนใจมากขึ้น วงทุกวงมีซีนของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นวงป็อป เรารู้สึกแบบนั้นมาตลอด แต่แค่ไม่ได้คิดว่าพอเข้ามาแล้วมันจะกระจายไปกว้างขนาดนั้น คิดว่าวันนึงยังไงต้องได้เข้ามาแหละ เราที่ทำเบื้องหลังด้วย เราพอคาดเดาบางอย่างได้ เลยพอมีความมั่นใจ ถามว่าได้เอามาโฟกัสไหม ก็ไม่ขนาดนั้น แต่เหมือนรู้กลายๆ ว่ายังไงมันก็ต้องได้ แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปถึงเด็ก (หัวเราะ)

ทั้งฮายและเซนบอกว่าการที่เพลงไปไกลถึงเด็กๆ แม้จะไม่ค่อยมีผลเรื่องทิศทางของวงมากนัก แต่สิ่งที่พวกเขาก็ต้องกลับมาตรวจสอบให้มากขึ้นคือเรื่องคำหยาบที่ปรากฏในเพลง แต่โชคดีที่เพลงของพวกเขาแทบไม่ค่อยมีคำหยาบอยู่แล้ว ที่เหลือจึงเป็นการทำเพลงในแบบของตัวเองอย่างเต็มที่    

ฮาย: อย่างที่เซนเคยบอกว่า เราถูกชอบ ถูกรักด้วยความเป็นตัวตนของวง พอเวลามันเป็นแบบนี้ เราไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง มันก็เลยง่ายสำหรับเรา มันเหมือนเป็นความโชคดีแล้วกัน ที่มันง่ายจนไม่ต้องปรับอะไรมาก อาจจะเป็นของที่อยากฝากไปให้มากกว่าเดิม จาก Song Camp ล่าสุด เราก็ทำเพลงที่เราคิดว่ามันน่าจะปลูกเมล็ดพันธุ์อะไรไว้ในใจคน เป็นเรื่องของการพูดเพื่อเข้าใจ น่าจะได้ฟังในอัลบั้ม คาดว่าจะปล่อยช่วงกลางปี  

ความชัดเจนเรื่องที่ 3: ต้องเป็นค่ายเพลง

เราแปลกใจไม่น้อยที่รู้ว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขาเข้ามาทำงานภายใต้ค่ายเพลงเป็นเพราะเชื่อในการทำงานอย่างเป็นระบบในการทำงานแบบบริษัท นอกเหนือไปจากความฝันที่จะทำงานในค่ายที่ขึ้นชื่อว่ารวมวงร็อกระดับตำนานไว้มากมาย

ฮาย: จริงๆ อย่างที่บอกเรามีค่ายที่เราชอบอยู่แล้ว มีเป้าหมายของเราว่าอยากอยู่กับค่าย genie records ตั้งแต่เด็กๆ เราอยากอยู่ค่ายนี้ เพราะเรารู้สึกว่าหน้าที่ของศิลปินบางคน บางวง ไม่เหมาะที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างคนเดียว เราต้องมีทีม เราต้องทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และหน้าที่ของเรา วงทำเพลงอย่างเดียว ที่เหลือเรื่องของมาร์เก็ตติ้งก็เป็นหน้าที่ของค่าย 

เรารู้สึกว่าการมีทีมที่แข็งแรงมันค่อนข้างดี และ genie records ค่อนข้างทำงานกันเก่ง เป็นระบบ การจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ดี การจัดเก็บทุกอย่างค่อนข้างเป๊ะ มันดีที่เราจะเข้ามาทำงาน และทำส่วนของเราอย่างเดียว แล้วที่เหลือให้ทีมที่แข็งแรงช่วยจัดการให้ มันก็เลยทำให้เราอยากเข้ามาอยู่ในค่าย แต่ตอนแรกยังไม่ส่งเดโมในค่าย เพราะว่าที่ค่ายเข้าไปเห็นเพลงคัฟเวอร์ แล้วเขาก็ชวนเข้ามาอยู่ในโปรเจกต์ ต่อจากนั้นก็เลยเซ็นสัญญายาวๆ เลย 

เซน: เหมือนเวลาเราทำอะไร เราค่อนข้างจะวางแผนก่อน คิดก่อนว่าจะทำอะไร แล้วก็วางแผนให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยลงมือ

ฮาย: เพราะด้วยเนเจอร์ของพวกเราไม่ใช่คนเป็นระบบ เลยต้องมีระบบครอบไว้ประมาณหนึ่ง เหมือนเรารู้ตัวเอง ที่เหลือก็ปล่อยมันไหลลื่น เพราะว่างานศิลปะ บางคนก็ทำเป็นรูทีนได้ แต่ว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับพวกเรา พวกเราจะต้องเป็นไทม์มิ่งที่เหมาะสมจริงๆ 

ศิลปินหนุ่มทั้งสองเล่าบรรยากาศการทำงานวงว่าเป็นการทำงานควบคู่กันไประหว่างการเขียนเนื้อเพลงและการทำดนตรี โดยเริ่มจากการการหาไอเดียก่อน จากนั้นฮายจะเป็นคนวางองค์ประกอบเพลง เช่น คอร์ด เมโลดี แล้วแบ่งงานทำกับทีม ไปพร้อมๆ กับการเขียนเนื้อเพลง พอทุกคนทำเสร็จพร้อมกันก็จะมาอัดพร้อมกัน

เซน: เราอาจจะรู้สึกว่าด้วยคนที่มันน้อยลง แต่ว่าจุดตั้งต้นมันเหมือนเดิม แอบง่ายขึ้น ไวขึ้น เพราะว่ามันต่อท่อตรงเลย ไม่ต้องผ่านใคร ออกจากหัวคนคิดก็จัดการอัดได้เลย เหมือนเปลี่ยนสถาปัตยกรรมเรื่องของชิปใหม่ 

ฮาย: มันตัดเรื่องอารมณ์ สัมพันธ์บางอย่างออกไป เรามองที่ผลงานอย่างเดียวเลยว่าเราต้องการทำงาน จะไม่มีเรื่องของอารมณ์หรือเหตุผลอื่นที่ไม่จำเป็นเข้ามาเลย 

เซน: อย่างตอนไอเดียโดนปัดทิ้งก็คือไม่คิดมากเลย คือเข้าใจว่ามันใช้ไม่ได้ก็คือจบ แค่นั้น

ฮาย: มันเป็นเรื่องปกติมากเลย อย่างน้องในทีมคนหนึ่งนั่งเขียนเปียโน อัดร้องไปเป็นชั่วโมง ผมขึ้นไปอาบน้ำ แล้วลงมาบอกว่า ไม่เอา มันก็อัดใหม่

เซน: (หัวเราะ)

ฮาย: คือมันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพอเราอยู่ในทีมแบบนี้เราทำงานง่าย เพราะเราไม่มานั่งน้อยใจกัน เพราะทุกคนสามารถโดนตัดไอเดียได้หมดเลยถ้ามันไม่เวิร์ก แม้กระทั่งตัวเราเองที่เป็นลีดเดอร์ 

แม้ทั้งฮายและเซนจะเป็นคนที่ดูเรื่องภาพรวมของเพลงเป็นหลัก แต่สุดท้ายคนที่คอยตัดสินใจเมื่อทั้งสองคนเห็นไม่ตรงกัน คือฮาย ในฐานะโปรดิวเซอร์ลีดเดอร์ของวง

ฮาย: ต้องบอกก่อนว่า เราไม่ได้ถือวิสาสะกัน แต่เราวางโพสิชันของตัวเอง

เซน: ใช่ แล้วฮายเป็นโปรดิวซ์ของวง คือเราเข้าใจหน้าที่ของเพื่อนแล้ว แล้วเราวางใจ ซึ่งมันก็ง่ายที่จะยอมรับให้เพื่อนตัดสินใจ

ฮาย: เหมือนเป็นบทบาทในการทำงานอยู่แล้ว เซนก็จะเป็นคนโปรดิวซ์ แต่ก็จะเป็นลีดบ้าง ฟอลโลว์บ้าง เหมือนไว้ใจกันทำงาน ใครทำหน้าที่อะไร ถ้าเขาเคาะว่าต้องเป็นแบบนั้นก็ค่อนข้างจะไว้ใจ เรื่องอะไรที่เห็นไม่ตรงกันไม่ค่อยมี

เซน: เรื่องใหญ่ๆ ไม่ค่อยมี ส่วนมากจะเป็นไอเดียตอนทำงาน

ฮาย: เออ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกระจุกกระจิก

เซน: ซึ่งมันก็ปัดตกไปเลย เพราะว่าไม่ได้เอามาคิด

ฮาย: ขนาดทุกคนจะต้องนั่งเครื่องบิน แล้วผมขอ prefer ขอนั่งรถได้ไหม พวกมันยังมานั่งรถกับผมเลย ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรกัน คือมันเหมือนพยายามเข้าใจความคิดกันมากกว่า

เซน: เพราะเราก็เข้าใจเพื่อนว่าเพื่อนกลัวเครื่องบิน แล้วการไปจังหวัดนั้นมันค่อนข้างจะมีแผลในใจ

ฮาย: อุปสรรคเยอะ ก็เลยไม่ค่อยทะเลาะกันเพราะว่าเราแยกบทบาทคนทำงานกับเพื่อนได้ค่อนข้างดีมากๆ ก็เลยไม่ค่อยเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย

ความชัดเจนเรื่องที่ 4: ชัดเจนแล้วว่าไม่ชัดเจน

ในวันที่เพลงใหม่ล่าสุดของวง อย่างเพลง ชัดเจน ปล่อยออกมา พวกเขายังคงสไตล์เพลงร็อกอย่างหนักแน่น บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ทั้งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้รัก เพียงแต่เราไม่เลือกที่จะไม่ยอมรับ ซึ่งเป็นประโยคที่ฮายไปเจอในทวิตเตอร์ก่อนนำมาสำรวจเรื่องราวจากคำนี้ในแง่มุมอื่นๆ 

ฮาย: อย่างที่บอกตอนแรกมันเริ่มจากคอนเซ็ปต์ก่อน ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องของตัวเอง แต่ว่าพอเราเขียนไปเรื่อยๆ เราเอาเหมือนประสบการณ์บางส่วน โมเมนต์บางส่วนมาผสมกัน จากประสบการณ์ชีวิตแหละ มันไม่ได้ตรงเหมือนกัน 100% มันเหมือนกับว่าบางโมเมนต์มันก็ใช่ เราจะรู้สึกว่าเราหยิบบริบทตรงนี้มาได้ 1 ท่อน แต่พอเป็นท่อนต่อไปมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถามว่ามีโมเมนต์คล้ายๆ ไหม มีบ้าง เรารู้สึกว่าบางอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่เราเลือกที่จะมองข้าม ถ้าเรื่องอย่างนี้ก็ค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักหรืออะไรก็ตาม

ถ้าพูดถึงเรื่องที่นอกเหนือไปจากความรักมันจะเป็นสถานการณ์แบบไหน เขาทั้งสองใช้เวลานึกอยู่นาน

ฮาย: อืม สถานการณ์แบบไหนใช่ไหม น่าคิด ผมชอบมากเลย ขอคิดแป๊บนึง ไม่เคยคิดเลยอันนี้ มันคิดยากเนอะ พอไม่ใช่ความรัก

ไม่กี่อึดใจเซนเอ่ยขึ้นมาว่าเหมือนกับย้อนกลับไปช่วงเวลาที่พวกเขาไม่จริงจังกับการทำวงจึงทำให้วงยังไม่ประสบความสำเร็จ มันน่าจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นที่การกระทำของตัวเอง แต่กลับเลือกที่จะไม่มอง แต่ก็ยังคงตั้งคำถามว่าทำไมวงจึงยังไม่ดังสักที

เซน: ของผมไม่รู้มันเกี่ยวหรือเปล่านะ แต่มันมีช่วงนึงที่ก่อนวงจะดัง จะกลับมาทำอัลบั้มใหม่ แล้วคือทุกคนเปื่อยกันหมดเลย แม้แต่ตัวเราด้วย เราก็รู้สึกว่าทำไมมันยังไม่ถึงสิ่งที่เราฝันสักทีวะ มันก็ชัดเจนแล้วนะว่าที่มันยังเป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าสิ่งที่มึงทำ ไม่จริงจัง ไม่เต็มที่ ช่วงเวลานั้นมันก็ชัดเจนแล้วนี่ว่าที่มันไม่สำเร็จว่ามึงเป็นแบบนี้ แต่เราไม่ได้มองตัวเองว่า มองข้ามความเปื่อย ความไม่จริงจังของตัวเอง เรามองแค่แบบ ทำไมมันยังไม่สำเร็จสักทีนู่นนี่นั่นเอง แต่มึงเสือกไม่มองตัวเองเลย 

ฮาย: ของผมเป็นเรื่องแบบถ้าเป็นเรื่องชีวิตประจำวันคือ เวลาคนปฏิเสธเราแบบอ้อมๆ เช่น สมมติเรียกแท็กซี่ แล้วบอก เติมแก๊ส คือตอบแบบไม่ชัดเจนนะ แต่มันชัดเจนอยู่แล้วว่าจะไม่ไปส่ง หรือส่งรถ ไปส่งกูก่อนดิ (หัวเราะ) อะไรแบบนี้ เราก็รู้ เหมือนคนปฏิเสธอ้อมๆ 

ความชัดเจนเรื่องที่ 5: ความเศร้ามันเท่กว่า

เราตั้งข้อสังเกตว่านับตั้งแต่เพลงแรก ก่อนเสียเธอไป จนถึงเพลงฮิต เสแสร้ง หรือเพลงล่าสุด ชัดเจน ของ Paper Planes ส่วนใหญ่เป็นเพลงผิดหวังในความรัก ฮายบอกกับเราว่าสำหรับเขาแล้วการเขียนเรื่องราวเศร้าเป็นเรื่องที่เขาถนัดกว่าการเขียนเพลงความรักแบบสมหวังมาก

ฮาย: ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเพลงร็อกไหม แต่เคยคิดว่ามันเป็นเพราะเพลงร็อก แต่จริงๆ คิดว่าพอหลังจากนั้นมา คิดว่าไม่เกี่ยว คิดว่าเป็นธรรมชาติของตัวเอง ต้องตอบในฐานะคนเขียน ผมไม่ค่อยเป็นคนแบบคลั่งรัก ในแบบพับลิกมาก มันก็เลยเหมือนกับว่าการเขียนเพลงรักแบบสมหวัง มันจะดูเคอะเขิน ในแบบของเรา เรารู้สึกว่าความพิเศษของเรามันคือการเก็บไว้ให้แค่คนนั้น พอมันถูกพูดมากๆ มันจะดูไม่โรแมนติกสำหรับเรา มันก็เลยไม่ได้เขียนเพลงรัก สมมติว่าเรามีแฟนคนหนึ่ง เราจะเขียนเพลงรักให้เขา เรารู้สึกว่ามันไม่โรแมนติกสำหรับเรา 

เซน: เราเลยเลือกที่จะไม่เขียน ก็เลยเลือกเขียนเพลงอื่น

ฮาย: อาจจะเป็นที่เรา ไม่น่าจะเป็นที่แนวดนตรี ผมรู้สึกว่าถ้าจะต้องเขียนเพลงรัก อาจจะคิดออกในอนาคตนะ แต่ว่า ณ ตอนนี้มันคิดไม่ออก ผมรู้สึกว่าด้วยธรรมชาติของผม พอมันพูดมากกว่าทำ หรือแสดงให้เห็นมากกว่าทำ เหมือนมันพาเราไปต่อไม่ได้ เหมือนเขียนข้อดีของเรามากจนเกินไป หรือเขียนเพื่อให้อีกคนรู้สึกมากจนเกินไป ตอนนี้มันติดอยู่ตรงนั้น 

สมมติผมจะเขียนเพลงให้แฟน การทำให้เขาประทับใจมันน่าจะเป็นการกระทำมากกว่าการพูดหรือว่าสิ่งที่เขียนออกไป แล้วผมชอบทำมากกว่า มันเลยเขียนยาก เวลาเราบอกรักกัน มันไม่ได้ใช้ภาษาที่สวยหรูไง บางทีคำว่ารักของผมมันไม่ใช่คำว่ารักเลย แล้วมันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ส่วนตัวเกินไป ก็เลยเขียนไม่ได้ แต่อาจจะเขียนได้ในอนาคตถ้าคิดว่าจะต้องเขียน

เซน: แต่เวลาเขียนให้คนอื่นก็เขียนได้

ฮาย: เออ เขียนได้เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในแนวร็อก น่าจะเป็นที่ตัวเราเอง

เซน: เคยเขียนแบบนานๆ เขียนที

ฮาย: เคยเขียนเพลงหนึ่ง ‘โดนเธอช็อตกลางหัวใจ หากปล่อยไว้คงไม่ทัน’ โห ดูรอยสักดิ โดนเธอช็อต 

เซน: ใช่ๆ

ฮาย: อาจจะเขียน พอเป็นเพลงของวงแล้วอยากเขียนเรื่องของตัวเองมากกว่า ในเรื่องของความรัก เราจะได้เข้าใจมัน

เซน: คงจะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักเฉยๆ แต่ว่าไม่ได้สมหวังในความรัก แบบว่ามีความรักแต่เป็นการคุยกับตัวเองก่อน 

“ทำไมถึงคิดว่าการแสดงความเศร้าข้างในมันทำได้ง่ายกว่า” เราถามต่อ

เซน: เด็กอีโมอะ

ฮาย: อันดับแรกเลยอะ มันเท่ ถ้าพูดแบบไม่คิดอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่ามันคือตัวเรา เราเป็นคนที่เหมือนกับในชีวิตจริงก็ไม่ได้ไปแสดงความเศร้าให้ใครเห็นนะ เรารู้สึกว่าเขียนผ่านในเพลงมันสามารถ drain มันออกมาได้หมดจด มันทำให้เราใช้มันให้เป็นประโยชน์เหมือนมันสละสลวยมากขึ้น และอีกอย่างมันยึดโยงกับเราเป็นหลัก เหมือนมันคือความรู้สึกของเราจริงๆ คือผมไม่ชอบชมตัวเองอะ พูดง่ายๆ การเขียนเพลงเศร้ามันจะง่ายกว่า เพลงรัก ในบางนัยยะเหมือนบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ นึกออกใช่ไหม นิดหนึ่ง ซึ่งผมมักจะไม่ใช่แบบนั่น มันเท่กว่า! การเป็นคนเศร้ามันเท่กว่า (หัวเราะ)

เซน: เออ จริงนะ มันไม่เขิน

ความชัดเจนเรื่องที่ 6: จะไม่กลับไปแก้ไขอะไร

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ Paper Planes อาจไม่ใช่วงดนตรีที่มีเส้นทางเดินโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สิ่งที่ทำให้เขาก้าวมาถึงวันนี้ได้อาจเป็นความชัดเจนในตัวเองและพยายามทำในสิ่งที่ต้องการจริงๆ

ก่อนจบบทสนทนาเราทิ้งท้ายคำถามว่าถ้าย้อนกลับไปตัวเองตอนเป็นเด็ก อยากมีคนแบบไหนอยู่ข้างๆ ทั้งฮายและเซนต่างเอ่ยถึงคนธรรมดาๆ อย่างครอบครัว และเพื่อน

ฮาย: ถามว่าอยากย้อนกลับไปไหม อาจจะไม่อยาก เพราะรู้สึกว่าการย้อนอะไรกลับไปในอดีตมันจะมีผลกับอนาคตหมด แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งถ้าย้อนกลับไปจริงๆ ผมคงเปลี่ยนอะไรหลายๆ เรื่องเหมือนกัน 

แต่ก็คิดว่าไม่อยากย้อนกลับไป ถ้าย้อนกลับไปผมอยากให้ครอบครัวผมคงเดิม คือมีคุณพ่อ คุณแม่อยู่ครบ เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เรารู้สึกว่าอย่างน้อยเราโตมาโดยที่มีคุณพ่อคุณแม่ เรายังมีคนที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกับเรา และให้คำปรึกษาเราได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในวันหนึ่งที่ผมประสบความสำเร็จ มันค่อนข้างมีมุมที่ว่างเปล่าเหมือนกัน เวลาผมนึกในใจว่าถ้าเกิดเขายังอยู่จริงๆ เขาคงภูมิใจในตัวเรามาก แบบนึกภาพว่าเราคงได้ขับรถโชว์เขาว่า วันนี้ได้งานนี้มาด้วยนะ วันนี้ได้เงินมาเท่านี้ เป็นโมเมนต์ที่ง่ายๆ มันง่ายสำหรับทุกคน แต่มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมได้ มันเป็นโมเมนต์ทั่วไปมากๆ เฮ้ยวันนี้เงินเข้าแล้วนะ เป็นแสน เป็นล้าน มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมได้ ผมอยากได้โมเมนต์แบบนั้น นึกออกใช่ไหม โมเมนต์ที่เหมือนเขาภูมิใจในตัวเรา มันมีมากกว่าตัวเราที่ภูมิใจในตัวเรา แต่ผมรู้ว่าถ้าเกิดกลับไปเปลี่ยนวันนี้มันก็จะไม่มีวันมาถึง ก็เลยคิดว่าไม่อยากกลับไปเปลี่ยน

เซน: ของผมถ้าย้อนได้ก็คงไม่เปลี่ยนเหมือนกัน แต่ถ้าให้เลือกสภาพแวดล้อมตอนเด็กๆ คงอยากได้เพื่อนที่แบบคอยต่อยอดจินตนาการด้วยกันตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยมีที่แบบช่วงประถม มีแต่เพื่อนเล่นสนุกๆ แต่คนที่คอยจุดประกายความฝันกับเราไม่มี ถ้ามีสักคนหนึ่ง น่าจะสนุกขึ้น 

ก่อนจากกัน เราให้ทั้งสองฝากข้อความกลับไปถึงตัวเองตอนเด็กๆ อีกครั้ง

เซน: ซื้อบิทคอยน์ไว้นะลูก

ฮาย: (หัวเราะ) เออว่ะ

ฮาย: ใช้ชีวิต ผมว่ามันไม่น่ามีประโยชน์อะไรเลย… แต่ซื้อบิทคอยน์ไว้ แม่ง ซื้อไว้ก็ไม่ได้เป็นศิลปินนะเว้ย

เซน: ซื้อไว้แล้วไม่ขายด้วย ซื้อไว้ก็ไม่รู้จะขายตอนไหน ขายตอนถูกอีก 

ฮาย: (หัวเราะ)

เซน: ใช้ชีวิต ก็คงประมาณนี้แหละ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชญุตม์ คชารักษ์

ชีวิตหลักๆ นอกจากถ่ายภาพ ชอบชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฟังเพลงที่ดนตรีฉูดฉาดกับเบียร์เย็นๆ