กันต์ กันตถาวร คือพิธีกรหนุ่มที่น่าจับตาสุดๆ
ในวินาทีนี้
จากดาราระดับพระเอกละคร
กันต์โดดมาสู่บทบาทพิธีกรและทำผลงานได้โดดเด่น เราพบเขาได้ในรายการหลากหลายแนว
ตั้งแต่รายการ I Can See Your Voice Thailand นักร้องซ่อนแอบ รายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง รายการ BAO YOUNG BLOOD ดนตรีสร้างคุณค่าชีวิต SEASON 3 และรายการ แฟนพันธุ์แท้ Super Fan (และไม่ใช่งานชุกแค่พิธีกร
กันต์ยังมีผลงานอื่นๆ อย่างภาพยนตร์ รักของเรา The Moment ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์
2560 นี้)
กันต์เป็นคนดูดีและมีเสน่ห์-เราไม่ปฏิเสธ
แต่ก็เชื่อว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้พิธีกรหนุ่มเปล่งประกายจนคนดูจดจำได้ แทนที่จะลืมเขาและโฟกัสแต่เนื้อหารายการ ก่อนก้าวขึ้นสู่แสงไฟบนเวที เขาคิดอะไร ทำอะไร
และมองทุกอย่างด้วยสายตาแบบไหน
คำตอบรอเราอยู่ในร้านกาแฟของบริษัท เวิร์คพอยท์
เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จากปากของกันต์ที่วางบทบาทพิธีกรไว้ชั่วคราว
เหลือไว้แค่ตัวตนชายหนุ่มคนหนึ่งที่มั่นใจและจริงจังกับชีวิต
อะไรทำให้ดาราระดับพระเอกละครเบนเข็มมาเป็นพิธีกร
ต้องบอกตรงๆ ว่า พิธีกรเป็นอาชีพที่ผมอยากทำอยู่แล้วตั้งแต่แรก
หมายถึงว่าในวงการบันเทิง ถามว่าอยากเป็นอะไร ผมไม่เคยคิดจะเข้าอยู่แล้ว แต่พอผมอยู่ตรงนี้
อาชีพที่อยากทำที่สุดคือพิธีกร อยากทำมากกว่านักแสดง เพราะฉะนั้นก็คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากทำ บวกกับจังหวะชีวิตทุกอย่างมันบรรจบกันพอดี
ก็เลยได้เริ่มเป็นพิธีกรตั้งแต่อายุ 30 ซึ่งถือว่าเร็วนะสำหรับการเป็นพิธีกรอาชีพ
แล้วตอนนี้ผมก็อยากพิสูจน์ว่า
คนชอบมองว่านักแสดงสมัยนี้พอเล่นละคร เล่นหนังไปพักหนึ่ง ถึงจุดอิ่มตัว
คุณก็จะผันตัวไปทำพิธีกร ไปทำเบื้องหลัง แต่ผมเลือกตั้งแต่วันที่ยังเล่นละครเป็นพระเอกอยู่ว่าจะทำพิธีกร
อยากพิสูจน์ว่า คนเราถ้าเลือกแล้วทำให้ดี ทำได้ ไม่ต้องรอถึงจังหวะที่ต้องเลือก แล้วก็อยากพิสูจน์ด้วยว่าเรื่องละคร
ผมก็จะเล่นได้ดีเหมือนกัน ไม่รู้สิ ผมโรคจิตน่ะ อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง (หัวเราะ)
แรงดึงดูดของงานที่คุณอยากทำยิ่งกว่างานแสดงอยู่ตรงไหน
ผมคิดว่าพิธีกรมืออาชีพเหมือนแม่ทัพที่ดึงทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้กลมกลืน
เรามีไอดอลหลายคน พี่ตา-ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นหนึ่งในนั้น พอพี่ตาเดินเข้าสตูฯ เรารู้สึกว่าเขาเหมือนแม่ทัพ
ควบคุมทุกอย่างได้เองคนเดียวตั้งแต่ผู้ร่วมแข่งขัน กองเชียร์ จนถึงคนดูทางบ้าน เราเลยรู้สึกว่า
โห การเป็นพิธีกรมืออาชีพมันทรงพลังมากเลย แล้วก็รู้สึกว่าเราต้องทำได้สิ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของคนหรอกถ้าอยากจะตั้งใจทำจริงๆ
การเป็นพิธีกรเลยดูน่าสนุก ดูท้าทายดี แล้วถ้าเกิดทำได้ เราก็จะภูมิใจ
จะเป็นแม่ทัพต้องเตรียมตัวเยอะแค่ไหน
ผมทำการบ้านเยอะมาก
ดู reference ที่คิดว่าดี แล้วพยายามเอาข้อดีของแต่ละคนมาใช้ เช่น คนนี้พลิ้วจังเลย
คนนี้สนุกสนาน คนนี้ข้อมูลเป๊ะมาก แล้วก็ปรับว่าจริงๆ แล้วเราควรทำอะไรบ้างเพื่อเป็นพิธีกรที่ดีโดยที่ยังเป็นตัวของตัวเอง วาง positioning ให้มันถูกต้อง
ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ คือผมเป็นคนคิดเยอะ โรคจิตบวกกับเรียนจบด้านการตลาดมา เลยมองว่าทุกอย่างต้องมีการวางตำแหน่งที่ชัดเจน
เหมือนทำไมคุณเข้าร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไม่เข้าร้านอื่น ก็เพราะคุณเสพอะไรบางอย่างของแบรนด์นี้
เพราะที่จริงเรากินกาแฟกินอะไรก็ได้ถูกมั้ย ผมก็เลยต้องวาง perception ที่ถูกต้องว่าอยากให้คนมองเราแบบไหน
ได้ยินมาว่าคุณขอเช็กเทปหลังจบรายการด้วย
พิธีกรปกติเขาไม่ทำกันนะ
ผมเอาวิธีที่ถนัดมาประยุกต์คือย้อนดูงานตัวเอง
เหมือนเวลาเล่นละคร เล่นหนังที่ต้องเช็กเทป โดยให้เลขาจัดการ คือผมโลว์เทค
ก็จะให้เขาไปทำยังไงก็ได้ให้ผมดูเทปได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
แล้วผมก็จะนั่งตรวจสอบว่า เราทำแล้วเป็นยังไง แล้วก็จะเห็นข้อเสียในแต่ละจุด
กดหยุดตรงช่วงนี้ ตกไฟนี่หว่า ทำไมตกไฟ อ๋อ เรายืนผิดที่
ทำไมเป็นเสียงผมอยู่แล้วภาพไม่อยู่ที่หน้าผม โดนใครบังหรือเปล่า
หรือจังหวะนี้เราไม่คม จังหวะนี้เดดแอร์ ผมก็จะค่อยๆ ดูแต่ละเทป แล้วก็เอา reference ที่ผมดูแล้วรู้สึกว่าคนนี้ทำได้ดีมาปรับ
ผมทำงานหนัก ผมโรคจิต
ความโรคจิตทั้งหมดนี้ช่วยชีวิตคุณได้ยังไง
พอเรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง
เราก็จะมีความมั่นใจ มีความเชื่อ มากขึ้น แล้วก็จะทำได้ดีขึ้น อย่าง แฟนพันธุ์แท้ ผมก็ไล่ดูทุก
episode ตั้งแต่พี่ตาทำ พี่กฤษณ์ทำ พี่อี้ทำ ผมจะคอยจับจุดเล็กๆ เช่น ตอนพี่ตาเปิดรายการ
เขาจะถามผู้เข้าแข่งขันว่าไหนลองอธิบายซิ คุณกำลังนึกอะไรอยู่ นั่นคือเขาพยายามดึงศักยภาพของผู้เข้าแข่งขันออกมา
เพราะเขารู้ว่าคุณเก่ง คุณคิดอยู่ แต่คนดูไม่รู้ว่าคุณเก่งไง หรือเวลาพูดว่าเหลืออยู่
4 ตัวเลือกเองเหรอจากทั้งหมดพันกว่าตัวเลือก นั่นคือพี่ตากำลังทำให้เขาเก่งขึ้นนะ
จากที่มีอยู่ 4 ตัวเลือก แล้วยังไงล่ะ มันเปรียบเทียบไม่ถูก ผมก็จะนั่งจดเลย
คุณซีเรียสขนาดนี้เพราะพิธีกรเป็นงานใหม่
หรือเป็นอย่างนี้นานแล้ว
ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกเลย
ผมคิดว่าใครก็อยากทำงานให้ดี ผมก็อยากทำงานให้ดี ให้คนรู้สึกว่าคุณรับผิดชอบ และสุดท้ายมันคือเรื่องของการที่ทุกคนพิสูจน์ความเป็นตัวเองในทุกอาชีพ
ผมรู้สึกว่านี่คืองานผม คนจำแล้วว่านี่งานคุณ ถ้าทำไม่ดีคนก็ด่าคุณไง ตอนผมถ่ายหนัง
ถ่ายละคร กองนัดผม 7 โมง หกโมงครึ่งผมมาถึงแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับผม เดี๋ยว 7 โมงผมไปนั่งให้แต่งหน้าเอง ผมจริงจังมาก เวลาแสดงบทก็ต้องไม่ถือ ถ้านักแสดงที่เข้าฉากร่วมกับผมถือบท
เฮ้ย ได้บทพร้อมกันหรือเปล่า มาอ่านหน้าฉากคืออะไร
ผมยังไม่ถือเลย ผมจำได้แม้กระทั่งไดอะล็อกคุณ
เพราะสุดท้าย ผมคิดว่ามันคือการเข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ และพอเข้าใจแล้ว
เราก็ต้องเข้าใจวิธีการทำงานด้วย ทำอย่างนั้นแล้วเราจะชัดเจนในสิ่งที่ทำ
แล้วคนจะเชื่อเรา ผมเรียนรู้มาว่าต้องสร้างความมั่นใจให้คนอื่นก่อน ต้อง give
ก่อน เราถึงจะ take จากเขาได้ มันเป็นการซื้อใจกัน
ผมรู้ว่าคุณทำการบ้าน ผมก็ทำการบ้านเหมือนกัน คุณจ่ายตังค์ให้ผมมาเล่นตั้งแพงก็ต้องได้อะไรจากผมหรือเปล่า
พอได้มาเป็นพิธีกรที่เวิร์คพอยท์
ผมรู้สึกว่าที่นี่เชื่อมั่นให้เราเป็นพิธีกรในแต่ละรายการซึ่งเป็นโปรเจกต์ใหญ่ทั้งนั้น
ทั้งที่เราเป็นพิธีกรใหม่มาก ใครเนี่ย แกคือนักแสดง แกจะมาเป็นพิธีกร พิสูจน์ตัวเองหน่อย
อย่างการทำแฟนพันธุ์แท้ โห reference แต่ละคน พี่ตา พี่อี้ พี่กฤษณ์ กันต์แกเป็นใคร
เรื่องเป็นนักแสดงไม่เถียง แต่แกยังไม่ใช่พิธีกรแบบที่จะเป็นรุ่นต่อไป เอาแล้ว ซวยแล้ว
แต่ผมก็คิดว่า ทำได้สิ ก็เค้ามั่นใจในตัวเรา เราก็ต้องทำให้เขามั่นใจ ผมเลยไล่ดูไปทุก episode อย่างที่บอก
แล้วเวลาต้องด้นสดแบบเตรียมตัวไม่ได้ ทำยังไงให้มันออกมาดี
ต้องรู้จักทุกคนที่ทำงานด้วย ผมบอกทีมงานเลยว่า ขอผมไปสวัสดีหนึ่งทีก่อน
เช่น สวัสดีครับพี่ดี้ ถ้าในรายการผมกวนตีน พี่อย่าถือนะ พอพี่ดี้บอกว่า แล้วแต่กันต์เลย นั่นแปลว่าโอเคแล้ว แต่ถ้าอยู่ดีๆ
ไม่รู้จักพี่ดี้มาก่อน ไปแซวว่าพี่ดี้ครับ วันนี้พี่หน้าแก่มากเลยนะ เขาไม่ตบหัวเอาเหรอ
การทำความรู้จักมันจะ break the ice ทั้งหมดในการทำงาน ซึ่งวิธีการทำงานตอนเล่นละครและหนัง ผมก็ทำแบบนี้
ผมรู้จักทีมกล้อง ทีมไฟทุกคน ด่ากันต์ได้ คือพอมันซื้อใจกันได้แล้ว การทำงานมันก็สนุก
ถ้าไม่สนิทกัน พอมีปัญหา แกผิด แต่พอทุกอย่างไปด้วยกันหมด
มีปัญหาเราก็จะช่วยกันแก้ ผมเชื่อในทีมเวิร์ก
พิธีกรที่ดีในความคิดคุณเป็นยังไง
พิธีกรที่ทุกคนเข้าถึงได้
ตั้งแต่ทีมงาน สวัสดิการ ยันคนดู ถ้าคนดูเรียกคุณด้วยคำว่า ไอ้ ได้เมื่อไหร่ ผมว่าเขาจับต้องคุณได้
ถ้าเราเป็นคนดูทางบ้าน แล้วพูดว่า คุณกันต์ทำได้โอเคเลย ผมว่าเขายังจับต้องผมไม่ได้
แต่ถ้าเขาสนิทกับเราโดยที่ไม่ได้เจอกันแต่บอกว่า เฮ้ย กันต์มันโอเคนี่หว่า นี่แปลว่าคนดูเริ่มจับต้องคุณได้แล้ว
คุณเข้าไปนั่งในใจเค้าได้แล้ว แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง ผมก็ยังตอบไม่ได้นะ ผมยังต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ
ยังไม่ได้เก่งหรอก ผมยังต้องบอกให้ทีมงานคอยสอน อันไหนผิดบอกได้เลย ยังให้โปรดิวเซอร์
ยังให้พี่ตาคอยแนะนำอยู่เลย
นอกจากงานพิธีกรโดดเด่น
ตอนนี้คุณกำลังจะมีหนังด้วย ทำไมถึงเลือกเล่นหนัง รักของเรา The
Moment
หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับความรักซึ่งไม่ได้ถูกกำหนดรูปแบบ มันคือความรักเท่านั้นเอง
แล้วทุกอย่างจะมีความเกี่ยวพันกันหมด ถ้าเคยดู Love Actually
จะคล้ายแบบนั้น เช่น เราเป็นแฟนกัน เราเลิกกันไป
เรามาคบคนนี้ ไอ้นี่เป็นเพื่อนเก่าไอ้นี่
เหตุผลที่รับเล่นคือผมมั่นใจเรื่องโปรดักชัน และเพราะในเรื่องผมได้บทเป็นเกย์
ซึ่งสำหรับผมในฐานะนักแสดง
การที่คุณเล่นฉีกแนวไปได้เยอะแปลว่าคุณมีแง่มุมที่หลากหลายในตัวเองสูง แล้วพอบทยิ่งตรงข้ามกับผมมาก
มันก็ยิ่งท้าทาย ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีความเป็นผู้ชายสูง
เล่นเป็นเกย์ยังไงให้คนเชื่อ นั่นคือโจทย์ ซึ่งผมว่ายาก ก็เลยรับ
ถ้าทำไม่ได้ก็จะยอมรับว่าทำไม่ได้
คุณซีเรียสกับงาน แต่รู้มาว่าตอนนี้คุณออกมาเป็นนักแสดงอิสระ และไม่ได้บ้างานเหมือนเดิมแล้ว
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 2 ปีก่อนที่ผมถึงจุดไม่ไหวแล้ว
คือปกติเวลาคนเล่นละคร เล่นหนัง เขาจะรับมากที่สุดทีละ 2 เรื่อง คือ จันทร์-พุธ 1 เรื่อง พฤหัส-อาทิตย์ 1 เรื่อง แล้วเล่นแบบคิวแน่นๆ เลยคือ 4 เรื่องต่อปี คือเรื่องละ 6 เดือน แต่อาทิตย์หนึ่งผมเล่น
3 เรื่อง มีเรื่องนึงเป็นคิวคร่อม และยังมีบริษัทของตัวเองอีก 5 บริษัท มีงานอื่นๆ
อีก จนคิดว่า ทำไปทำไม มีเงินเยอะ ไม่มีเวลาใช้ แล้ววันนึงผมขอกองละครว่าขอไปกินข้าวกับแม่ตอนเช้าได้มั้ย
แต่ทำไม่ได้เพราะต้องไปถ่าย จุดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่า นี่เราทำอะไรอยู่ จริงๆ ควรกินข้าวกับแม่หรือเปล่า แล้วผมไม่ได้เที่ยวกับที่บ้านมา 2 ปี ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แค่บ้าน กองละคร บ้าน กองละคร
เพื่อนก็แทบไม่ได้เจอกันเลย ก็รู้สึกว่าชีวิตมันจะพังแล้ว จะเหลือแต่งานแล้วนะ
แล้วผมเชื่อว่าความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ใช่การประสบความสำเร็จในชีวิต
ผมก็เลยจัดสมดุลใหม่
ถ้าทำงานอะไรต้องอยากทำ ถ้าทำเพราะได้ทำไม่ทำ
เมื่อก่อนชีวิตของผมคือการทำงาน ปัจจุบันชีวิตของผมคือชีวิต ผมรักงาน
แต่ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างแล้ว เป็นส่วนดีที่สุดที่ไม่ได้กินเวลา 24 ชั่ว หรือ 365
วันของเราไป ส่วนหนึ่งที่หันมารับงานพิธีกรก็เพราะเหตุผลนี้ด้วย
คือมันเป็นงานที่ผมรู้ว่าเริ่มกี่โมง เลิกกี่โมง ตอนนี้ผมอยู่ในวัยที่อยากบาลานซ์
อาจจะคิดแก่กว่าคนอื่นก็ได้นะ ปีนี้ผมอายุ 31 ผมอยากไปเที่ยวหลายๆ ที่
อยากทำอะไรทุกอย่างเท่าที่ผมทำได้ ที่ไม่ใช่พอมาอายุ 50 – 60 แล้วต้องคิดว่า วันนั้นน่าจะทำอย่างนี้ ผมพยายามใช้ชีวิตให้คุ้ม
ที่เลือกได้อย่างนี้เพราะมีเงินเยอะแล้วหรือเปล่า
ใช่ คนเราก็ต้องอยากได้อยากมี เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครอยากจนหรอก พอถึงจุดนึงที่เรามี ก็ต้องถามตัวเองว่ามีไปเพื่ออะไร ผมไม่ใช่คนรวยที่สุดในโลก แต่อยากเป็นคนมีความสุขที่สุดในโลกคนหนึ่ง ผมซื้อบ้านได้เอง ซื้อในสิ่งที่ผมอยากได้ทุกอย่าง ผมมีรถที่อยากมี มีหมาที่อยากเลี้ยง อยากกินอะไรก็ควรได้กิน อยากเที่ยวอะไรก็ควรได้เที่ยว สุดท้ายทุกคนก็อยากเลือก แล้ววันนึงที่เลือกได้ เราก็เลือกไง แต่ก็ต้องมั่นใจด้วยว่าสิ่งที่เราเลือก ทุกคนต้องแฮปปี้กับมันนะ กองละครได้คิวผมทุกคิว ผมไม่ไปไหนเลย ถ้าไปขึ้นมาหักเงินผมเป็นวันได้เลย แต่ถ้าคุณเกินคิวผม ผมคิดคุณเป็นวันเหมือนกันนะ ไม่ได้เอาเปรียบเพราะเราคุยกันเคลียร์แต่แรกแล้ว
ตอนนี้ชีวิตกันต์ กันตถาวรมุ่งหน้าไปสู่จุดไหน
ผมอยากมีความสุขกับทุกพื้นที่ของตัวเอง
อยากไปแต่ละที่แล้วมีแต่รอยยิ้ม หมายถึงว่าผมอยากให้ทุกวันที่ต้องทำงานคือเราสนุกจังเลย
อยากมา วันที่เราได้อยู่บ้านคือวันที่เรามีความสุขจังเลย อยู่กับแฟน อยู่กับคุณพ่อ
คุณแม่ เล่นกับหมา วันที่เราอยากจะไปเที่ยว ได้ไปเลย วันที่เราอยากจะกินอะไร
กินเลย อยากให้ชีวิตมันบาลานซ์ได้ลงตัวทุกจุด
ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์