นนท์ ธนนท์ : มนุษย์ในร่างหงส์ที่บอกว่าตัวเองตอนเป็นเป็ดน่ะดีที่สุดแล้ว

ผมจำได้ดีว่าท้องฟ้าในวันนั้นเป็นสีเทา

บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้แสงแดดยามบ่ายถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีทึบ ฝนที่ทำท่าจะเทลงมาได้ทุกเมื่อสร้างความรู้สึกหม่นได้อย่างประหลาด หากถามตัวเองตอนนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยเหตุใดถึงคิดว่าบรรยากาศสีเทาทั้งหมดในตอนนั้น ช่างเหมาะกับการสนทนาระหว่างผมและ ‘นนท์ ธนนท์’ เหลือเกิน

ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักนนท์ก็คงเหมือนกับที่ใครอีกหลายๆ คนรู้จัก นั่นคือในฐานะของ ‘นนท์ The Voice’ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กหนุ่มเก้งก้างวัย 16 ปีในรายการวันนั้น ปัจจุบันเบื้องหน้าผมคือชายหนุ่มวัย 22 ปีที่อยู่ในวงการบันเทิงเข้าปีที่ 7 แล้ว

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเห็นนนท์ปรากฏตัวตามสื่อเป็นช่วงๆ ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าตลอดแต่ก็ไม่เคยหายไปไหนนาน อย่างตอนนี้แสงสปอตไลต์ก็ส่องไปที่เขาอีกครั้งจากการเป็น ‘หน้ากากเป็ดน้อย’ แชมป์จากรายการ The Mask Singer ในซีซั่นที่ผ่านมา เมื่อบวกกับการขึ้นอันดับหนึ่งใน JOOX Thailand ของเพลง มีผลต่อหัวใจ ทำให้ตารางงานของนนท์ช่วงนี้แทบไม่มีเวลาว่าง พูดได้ว่าผมมาคุยกับเขาในช่วงที่ยุ่งที่สุดในชีวิต ขอบตาคล้ำ และร่องรอยเข็มน้ำเกลือบนข้อมือข้างซ้ายคงเป็นหลักฐานอย่างดีถึงความเหนื่อยล้าในช่วงนี้

ดูเหมือนร่องรอยต่างๆ จะเป็นอุปสรรคในการชวนใครคนหนึ่งคุยเรื่องยากๆ แต่ก็อย่างที่บอก ผมคิดว่าบรรยากาศสีเทาในตอนนี้ช่างพอดิบพอดีกับบทสนทนาที่ผมอยากจะให้เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน

วันนี้ผมอยากมาคุยกับนนท์ในเรื่องของความพ่ายแพ้และความเป็นมนุษย์

การสนทนาหนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อจากนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าผมคิดถูก

หลังจากถอดหน้ากาก ดูเหมือนนนท์กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง

ก่อนหน้านี้งานเราก็ค่อนข้างหนักครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานอีเวนต์ มีไปออกรายการเพื่อให้ทุกคนได้เห็นหน้าอยู่บ้าง คือไม่ได้หวือหวา ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากให้มันหวือหวาอยู่แล้ว แต่พอเปิดหน้ากากมาก็หนักขึ้นมากเลย มีงานทุกวัน วันละ 3-4 งาน หวือหวากว่าที่เราคิดไว้มาก

ในวงการบันเทิงถ้าหวือหวาก็น่าจะแปลว่างานเยอะ คนรู้จักเราเยอะขึ้น ทำไมนนท์ถึงไม่ได้อยากให้ตัวเองหวือหวาล่ะ

ผมรู้สึกว่าถ้ายิ่งสว่างมาก เงายิ่งชัด ถ้ากราฟยิ่งสูงยิ่งเห็นจุดแตกต่าง ด้วยอายุของเราเรายังไม่รีบ อยากจะเรียนรู้ไปแบบนิ่งๆ แบบนี้ พยายามใช้เวลาฝึกตัวเองตลอด ผมเลยไม่ค่อยชอบความหวือหวา มันทำให้เราถูกจับตามองเยอะ

โดยส่วนตัวเราเข้าวงการมาเร็วมาก เข้ามาตอนที่ยังเป็นหนอนด้วยซ้ำ ไม่ใช่ดักแด้หรือผีเสื้อ ชื่อเสียงในตอนนั้นมันทำให้ปรับตัวไม่ถูก สภาวะสุญญากาศเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากหลังจากร้องเพลงเสร็จ เราต้องทำยังไง พูดยังไงถึงจะเท่ ยิ่งโดยธรรมชาติเราไม่ใช่คนที่จะเฟคมันออกมาได้ เลยมีบ่อยครั้งที่ความหวือหวาในตอนนั้นทำให้เรารู้สึกยากจนคิดว่ากลับบ้านก่อนดีกว่าไหม รอโตพร้อมแล้วค่อยทำ แต่ด้วยสัญญา 3 ปีในการเป็นแชมป์ของ The Voice ทำให้เรายอมไม่ได้ ต้องเดินหน้าอย่างเดียว กลายเป็นข้อผูกมัดที่ทำให้เราสู้ อีกอย่างคือโดยพื้นฐานเราไม่ได้ชอบการร้องเพลงมาก เราแค่รู้สึกว่าตอนร้องเพลงมันทำให้คนอื่นมีความสุข เราชอบให้คนรอบข้างมีความสุขก็เลยทำ ใครจะไปคิดว่ามันพาเรามาไกลถึงตรงนี้ ไม่ได้คาดหวังไว้

นนท์ปรับตัวกับมันยังไงเวลาความคาดหวังมันถาโถมเข้ามาแบบนี้

ถ้าในช่วงแรกตอนเป็นแชมป์ The Voice ก็เหวอครับ มันเร็วมาก ผมไม่รู้อะไรเลย การได้แชมป์ The Voice มันไม่ใช่ความสำเร็จแต่มันคือจุดเริ่มต้น ชีวิตในวงการบันเทิงจริงๆ มีอะไรมากกว่านั้น ถ้าเปรียบเป็นเกมก็คือเริ่มเข้าเลเวลจริงๆ แล้ว จบ tutorial ทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นเราปรับตัวอะไรไม่ทันเลย 2-3 ปีแรกยังพูดไม่รู้เรื่องเลยครับ เคยไปรายการนึงแล้วพิธีกรถามคำถามยาวมากเลยนะแต่เราตอบแค่ว่า ‘ดีครับ’ เราเห็นเลยว่าเขาช็อก ไปต่อไม่ถูก เรารู้เลยว่าทำเพื่อนร่วมงานลำบาก ดังนั้นผมเลยพยายามแอ็กทีฟมากขึ้น นอกเหนือจากการซ้อมร้องเพลง เราจะใช้เวลาหลักๆ ในห้องน้ำซ้อมพูด พยายามดึงเอาด้านสนุกของตัวเองออกมา

ส่วนในเรื่องงาน ที่ผ่านมาเวลาเราทำอะไรจะทำให้ดีที่สุด แต่การอยู่ในสิ่งเร้าแบบนี้มันมีอยู่แล้วครับกับคำถามที่ว่า ‘ทำแล้วมันจะดังไหม’ สารภาพว่าตอนแรกเรา lost นะ เป็นธรรมดาของเด็กเวลาโดนสิ่งเร้าก็จะไหลตามไปได้ง่ายๆ แต่พอโตขึ้นเราก็จะเรียนรู้ว่า ช่างมัน ถ้าทำแล้วไม่ดังอย่างน้อยงานต้องดี ดังไม่ดังอยู่ที่คนดู ไม่ได้อยู่ที่เรา ความชอบเป็นเรื่องของรสนิยม มันคือสิ่งที่ฉาบฉวย เปลี่ยนได้วินาทีต่อวินาที เกิดขึ้นและดับลงได้วินาทีต่อวินาที เรามองว่าถ้างั้นก็ทำงานให้ดีเถอะ ตอนนี้ในแง่การปรับตัวก็ไม่ได้มีอะไรมากแล้วครับ ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก ทุกคนพร้อมซัพพอร์ตทั้งจากค่าย i am ครอบครัว และแฟนคลับ ต่อให้วันนี้ผมไม่ได้เป็นที่ยอมรับ มีคนเกลียด แต่ถ้าเกลียดเราที่เราเป็นเราก็โอเคนะ ดีกว่าให้เขาชอบเราที่ไม่ได้เป็นตัวเอง อึดอัดตายเลย

พอนนท์เป็นทั้งแชมป์ The Voice และแชมป์ The Mask Singer หลายคนน่าจะชินภาพของนนท์ที่เป็นผู้ชนะเหมือนกันนะ

จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมแพ้มาบ่อยเลยครับ ที่ทุกคนเห็นมันคือสิบ หนึ่งถึงเก้าทุกคนไม่ได้เห็น เวลาสำเร็จทุกคนเห็นหมดแหละ แต่เวลาลำบากก็มีแต่พ่อแม่นะที่เห็น

ช่วยเล่าถึงความพ่ายแพ้ที่ว่าและผลของมันให้ฟังหน่อย

ผมร้องเพลงมาตั้งแต่ 7 ขวบ ไปประกวดหลายเวทีแต่ก็แพ้จนชิน มันทำให้เราเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เราเจ็บใจนะ
มีหลายครั้งที่เรากัดฟันร้องเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องแพ้ แต่เราก็พยายามหาเหตุผลมาหนุนการตัดสินใจ เรามองว่าผลลัพธ์ก็ช่างมัน อย่างน้อยด้วยข้อจำกัดของหน้าตาเราตอนนั้นมันไม่มีเวทีไหนที่คนอย่างเราจะขึ้นได้ ถ้ามีเวทีที่เขาให้เราขึ้น เราจะมองว่าเป็นโอกาสดีที่ได้พัฒนาตัวเอง กลายเป็นว่าสมัยก่อนถ้าไปร้องเพลงที่ไหนก็ไม่ต้องรอประกาศผล กลับบ้านเลย แพ้หมด รบร้อยครั้งแพ้ร้อยครั้งเคยเจอไหม ผมเนี่ยแหละเคยเจอแล้ว

ตัดกลับมาในตอนนี้ที่เรามีบทบาทของผู้ชนะบ้างแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้มันต่างกันไหมกับตอนเป็นผู้แพ้

สำหรับผมสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความแพ้เนี่ย ผมเข้าใจจนเบื่อแล้ว (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เราได้จริงๆ เลยนะคือวัคซีน เป็นภูมิต้านทานที่ทำผมเข้าใจความรู้สึกของคนแพ้ เข้าใจมากจนถึงจุดนึงที่เราชนะ เรารู้ว่าเราต้องแสดงออกยังไงโดยที่ยังห่วงความรู้สึกของคนอื่น สังเกตจากทั้ง 2 รายการก็ได้ทั้ง The Voice และ The Mask Singer ทุกรอบที่ผมผ่านเข้ารอบ ผมจะไม่ดีใจ ผมรู้สึกว่าเราชนะได้ก็แพ้ได้ วันนี้ไม่ใช่วันของเขา วันอื่นก็เป็นวันของเขาได้ เพราะฉะนั้นแล้วด้วยอายุเท่านี้ไม่มีเหตุผลที่เราข่มใคร อีโก้ก็ไม่ต้องแบก หนักตายเลย สิ่งที่อีโก้มีให้คนคือความลำบากนะ เพราะฉะนั้นเอาใจเขามาใส่ใจเรา แคร์ความรู้สึกของคนที่อยู่ด้วยกันดีกว่า

เอาจริงๆ ชัยชนะมันจับต้องไม่ได้ ความพ่ายแพ้ก็จับต้องไม่ได้ ถามว่าตอนเป็นนนท์ The Voice เนี่ยจับได้เหรอ ไม่ได้นะ มันอยู่ในอากาศ คนอื่นยื่นให้เราทั้งนั้น หรืออย่างตอนนี้คุณคือนนท์ หน้ากากเป็ดน้อย มันก็เป็นของที่จับต้องไม่ได้ ถ้าเอาไปแบกมันจะกดชีวิตคุณ ถ้าเป็นแชมป์แล้วแต่ไม่พัฒนาอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ คนรอบข้างและทีมงานทุกคนต่างหากคือสิ่งที่จับต้องได้ ชัยชนะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครู่ เหมือนพลุเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป กลับกันเสียอีกคือมันทำให้เราลำบาก มาตรฐานเราก็ต้องสูงขึ้น ต้องขึงตัวเองไว้มากขึ้น

ดูเหมือนชัยชนะจะมีรสขมมากกว่ารสหวานนะ

ใช่เลย ผมรู้สึกว่าผมโอเคกับความพ่ายแพ้มากกว่า มันเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการแต่ผมโอเคที่จะรับไว้ เรายังเด็กเราแพ้ได้ ไม่เสียหายเท่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่า ‘เฮ้ย เอ็งเป็นแชมป์ The Voice นะเว้ย จะแพ้ได้ไง’ ก็แพ้ได้สิวะ มันจะทำไมกันล่ะก็แค่แพ้เอง จะไปยากอะไร ยอมบ้าง อ่อนบ้าง การเป็นไม้ใหญ่ใช่ว่าจะลู่ลมไม่ได้ กิ่งมันก็ลู่ลมได้ ไม่งั้นก็หักกันตายพอดีถ้าไม่มีคนยอม

ในวงการบันเทิง ดูแล้วทุกคนก็อยากจะชนะ ทุกคนอยากจะมีเพลงเข้าชาร์ตเป็นอันดับหนึ่ง ทัศนคติของนนท์ที่เป็นแบบนี้ถือว่าไม่เหมือนใครเลย

เรามองว่าความดังมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปน่ะครับ สิ่งที่เราทิ้งไว้คือมาตรฐานงานที่จะยกระดับวงการ เราอยากให้ทุกๆ คนในทุกๆ วงการคิดแบบนี้นะ ยิ่งถ้าเป็นวงการบันเทิงเราเห็นชัดเจนหลายคนเลยว่าเขาเข้ามาเพื่อเอาแล้วไป เอาไปแล้วไม่มีใครทิ้งอะไรไว้เลย มันคือสิ่งที่พ่อแม่สอนเรามาตลอดว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม ต้องทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นที่รักหรือเปล่าไม่รู้ล่ะ ถูกใจหรือเปล่าไม่รู้แต่ต้องถูกต้อง เรายอมรับนะว่าพอพ่อแม่สอนมาแบบนี้ก็ค่อนข้างอยู่ในวงการนี้ยาก (หัวเราะ) โลกใบนี้มันเทาๆ เนอะ มีทั้งดีและไม่ดี แต่สิ่งที่เรารู้สึกคือต้องทิ้งอะไรไว้บ้าง คืนใหักับคนอื่นบ้าง ทุกวันนี้ผมทำงานเข้าปีที่ 7 แล้ว เราจะคืนให้คนอื่นตลอดถ้ามีโอกาส และเราให้อยู่สองอย่างนั่นคือประโยชน์กับความสุข

การเข้ามาในวงการนี้ด้วยวัย 16 ปีมันเด็กมากเลยนะ ดูเป็นวัยที่วงการบันเทิงสามารถทำร้ายเราได้เหมือนกัน

มีแบบนั้นเยอะมากเลยในช่วง 2 ปีแรกที่ผมเข้ามา มีบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป อายุไล่เลี่ยกันที่ไปออกงานด้วยกันบ่อยๆ ความรู้สึกเราคือเหมือนทุกคนขับรถไปด้วยกันแล้ววันหนึ่งก็มีคนขับชนแล้วก็ไป กลายเป็นถูกเบรค ทุกคนค่อยๆ หายไปเร็วมาก เข้ามาเร็วแล้วก็ออกเร็วเช่นกัน เรากลัวมาก ตอนนั้นสับสนไปหมดว่ามันโหดร้ายขนาดนี้เลยเหรอ พวกเขาก็เหมือนผมในตอนนั้นคือมีความฝันเหมือนกัน มองผิวเผินแล้วไม่แฟร์เลยนะ ทำไมเขาถึงถูกหยุด

สิ่งหนึ่งที่ผมพกติดตัวมาด้วยแล้วคิดว่ามันดีที่สุดแล้วในสถานการณ์แบบนี้คือคำสอนของพ่อแม่ การมีแอตติจูดที่ดีเหมือนเรามีวัตถุดิบอยู่ในกระเป๋าตลอด เงินเนี่ยถ้าให้เด็กที่คิดไม่ได้เอาไปใช้เดี๋ยวก็หมด แต่ถ้าให้ความคิดเด็กก่อน ให้เขาคิดได้ว่าถ้าไม่มีเงินก็ต้องหาเงิน นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่สอนผมมาตลอดและสอนได้สมบูรณ์แบบมากๆ ผมมองโลกเป็นกลาง ไม่ตีว่าขาวหรือดำ เรามองว่าทุกอย่างเทา ผิดถูกชั่วดีมีกันหมด สิ่งไหนดีก็เอามาใช้ สิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ต้อง พอเราเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงเราเลยยึดตรงนี้ สิ่งที่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวก็ดับไป มีทั้งสิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ เราค้นพบว่า ‘การทำงานให้ดี พัฒนาวงการ และพัฒนาตัวเอง’ คือ 3 สิ่งที่เราควรเอาให้รอดก่อน อายุแค่นี้อย่าไปคิดอะไรเยอะ นั่นคือสิ่งที่ที่ผ่านมาทั้งหมดสอนผม ความพ่ายแพ้ก็สอนเรามาว่าแพ้น่ะไม่มีจริง มีแต่ชนะกับได้บทเรียน เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด เราเป็นคนธรรมดาที่ทำงานในวงการบันเทิง มีเจตนาอยากทำงานให้ดีและให้งานทุกชิ้นเป็นเหมือนบรรทัดฐานของวงการ

ฟังดูเป็นประเด็นเดียวกับที่นนท์เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ quality และ style ของศิลปินหน้าใหม่ สำหรับนนท์คือ quality ต้องมาก่อนใช่ไหม

ช่วงหลายปีหลังผมได้มีโอกาสไปเป็นกรรมการประกวดร้องเพลงตามที่ต่างๆ เราเห็นเด็กหลายคนแล้วรู้สึกว่าแย่แน่ๆ เลย เด็กบางคนมองผิดตั้งแต่เริ่ม มองว่าสไตล์มาก่อน บางคน first impression ดีมากแต่พอร้องออกมาแล้วคุณภาพในงานไม่มีเลย
รู้เลยว่าขึ้นเวทีมาแบบสุกเอาเผากิน ผมรู้สึกว่าถ้าเรารักตัวเองก็ต้องเปลี่ยนความคิด เราย้ำทุกที่ที่เราได้ไปเป็นกรรมการนะว่า quality before style จากประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตของเรา เราเห็นมาแล้วว่ามันจริง เรื่องสไตล์มันเป็นสิ่งที่ได้กับตัวเอง
แต่คุณภาพน่ะมันได้กับวงการ เพราะฉะนั้นเราทำงานในวงการนี้แล้วก็ควรจะมีคุณภาพที่เป็นบรรทัดฐานให้คนรุ่นต่อไปทำดีขึ้น เราต้องยกระดับให้คนดู ไม่ใช่ว่าอีก 10 ปีตอนเราแก่ตัวแล้วนั่งดูเด็กประกวดร้องเพลงก็ร้องแต่เพลงเดิมๆ เทคนิคเดิมๆ ผมว่าไม่ใช่ นั่นคือสิ่งที่ผมยึดมาก อย่างมีน้องนักร้องคนนึงที่เคยฟังเราคอมเมนต์แล้วร้องไห้เลย หลังจากฟังเราเขารู้เลยว่ามองข้ามสิ่งหลักไป เขามัวแต่ดูว่าไอดอลต้องแต่งตัวยังไงถึงเท่ จะต้องเหยียบมอนิเตอร์ยังไง วันนั้นเขาเลยมาขอบคุณเรา เราตอบกลับไปว่าไม่ต้องขอบคุณเราหรอก ขอโทษตัวเองดีกว่าที่รู้ว่าสิ่งไหนควรทำแต่เลือกที่จะมองข้าม ถ้าวันนี้เรารู้แล้วว่าอะไรผิดก็แค่แก้มัน

ดูเป็นวัย 22 ที่มีบทเรียนให้น้องๆ มากมายเลย

เยอะ เพราะผมแพ้มาเยอะ แต่ผมขยัน ขยันแพ้เลยได้เรียนรู้เยอะ การเป็นมวยรองมาตลอดมันทำให้เราเห็นจากเบื้องล่างว่าผู้ชนะเขาทำกันยังไง เราเลยลุกได้เร็วขึ้น ดังนั้นขอแค่เห็นแล้วแก้ไข ไม่ใช่เอามาบั่นทอนตัวเอง ‘เขามีไอ้นั่นว่ะ แต่กูไม่มี’ อ้าว ไม่มีก็สร้างสิ จะรอให้ใครมาทำให้ล่ะ โอกาสจะมาก็เมื่อเราพร้อมเท่านั้น ถ้าโอกาสมีแต่ไม่พร้อม ความสำเร็จก็ไม่เกิด

การร้องเพลงสร้างตัวตนที่ดีให้นนท์เยอะเหมือนกันนะ เคยคิดบ้างไหมว่าการที่โจทย์ในชีวิตเรายากขนาดนี้ มันเลยทำให้เราเป็นคนแบบตอนนี้

ผมร้องเพลงมาตั้งแต่ 7 ขวบ แต่เชื่อไหมแค่ปีเดียวหลังจากนั้นผมก็ไม่อยากร้องแล้ว เราไม่มีเทศกาลเป็นของตัวเอง เจ็บที่สุดทุกปีก็คือวันเด็ก ร้องไห้ทุกปีเลยนะจนถึงอายุ 12 แต่ที่ทำให้ร้องเพลงมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็เพราะเราชอบเวลาร้องเพลงแล้วคนอื่นมีความสุข อีกอย่างคือพอเราทำสิ่งเดิมๆ มาตลอดมันทำให้เรารู้ทุกมุม ซึ่งก็มีประโยชน์คืองานของเราจะมีคุณภาพ เราเข้าใจงาน เข้าใจตัวเองมากขึ้น และเป็นแนวทางของเราเองในที่สุด

จากกระแสหน้ากากเป็ดน้อย และเพลงที่มีคุณภาพที่ขึ้นอันดับหนึ่งในหลายๆ ชาร์ต คิดว่าการเป็นตัวเราในตอนนี้ มันมีส่วนทำให้เรามาไกลขนาดนี้ไหม

ส่วนหนึ่งคือชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดเนี่ยแหละครับ ทุกเพลงที่ทุกคนได้ยินมันมีมากกว่าเพลง จะเห็นทัศนคติของผมได้ชัดเจนที่สุดตอนเป็นหน้ากากเป็ดน้อยเนี่ยแหละ เพลงที่โชว์หลายเพลงคือผมมาตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว ด้วยความที่ผมซ้อมทุกวัน ผมสร้างของทุกวันเตรียมไว้ก่อนเพื่อรอโอกาส พอมีรายการชวนเข้ามา เราก็ใช้ของในกรุของเราไปเพราะเราพร้อมแล้ว นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา เราชอบตัวเองแบบนี้จังเลย

เอาจริงๆ มีน้อยคนเหมือนกันนะที่จะรู้ว่าหลังจากลงเวที ศิลปินต้องทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ทุกคนจะเห็นและตัดสินกันแค่บนเวที

ใช่ 15 ปีแล้วที่ผมร้องเพลงมาโดยที่ไม่คาดหวังว่าจะดังด้วยนะ ตอนที่เริ่มต้นเราแค่ร้องไปเพราะมันทำให้คนอื่นมีความสุข
ไม่ได้คิดว่าจะเป็นศิลปินอะไรเลย แต่ตอนนั้นมันมีคนเห็นไง วันที่ไปประกวด The Voice เรายังเอาวงไปอยู่เลย คือไม่ได้รู้เรื่องว่าเราประกวดเดี่ยว พอรู้ว่าประกวดเดี่ยวก็จะไม่เอาแล้ว ไม่อยากประกวดเดี่ยวแล้วเพราะเราช้ำมาเยอะ แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เป็นคนที่ดึงสติเรา สุดท้ายเราไปโดยไม่ได้คิดเลยนะว่าจะติด ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ คิดแค่ว่าไม่ว่าจะตอนไหนผมแค่ทำงานของผมให้ดี เตรียมตัวให้ดี ซ้อมให้เยอะ เน้นคุณภาพของงานก็พอ เพราะถ้าพูดกันตรงๆ เราไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามเลย เรามีแค่คุณภาพงานเท่านั้น

ย้อนแย้งกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเหมือนกัน มีกระแสเกี่ยวกับหน้าตาของนนท์เยอะมากตามสื่อต่างๆ ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมานนท์ก็เน้นผลงานมาตลอด แต่พอเจอกระแสแบบนี้โดยมองข้ามผลงานเราไป ถามจริงๆ ว่าเรารู้สึกยังไง เซ็งบ้างไหม

เอาจริงๆ นะ เบื่อมาก เราเริ่มมองเห็นข้อดีของการมีรูปลักษณ์ไม่สวยงาม คนจะโฟกัสที่งานเรามากขึ้น พอรูปลักษณ์มึงไม่สวย
คนจะมาจับตามองว่างานมึงจะดีไหม ถ้างานดีแล้วผ่าน ตัวมึงเองจะดีใจ นั่นคือสิ่งที่เรามีความสุขแล้วนะ เริ่มปรับตัวได้ แต่กลายเป็นมีกระแสนี้ดึงเข้ามาอีก เรื่องหน้าตาเริ่มเป็นที่จับตามอง ถามว่าโดนบ่อยๆ เบื่อไหม ก็เบื่อ เรารู้ตัวมาตลอดว่าไม่ใช่คนหน้าตาดีและเรามองว่าความสวยความหล่อน่ะมันไม่มีจริง วันหนึ่งมันก็จะดับ เรารู้สึกว่าคนจะดูดีจริงๆ เขาดูข้างในนี้ต่างหาก (ชี้ที่หัวใจ) ทำไมคนบางคนไม่ได้สวยไม่ได้หล่อแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขามีเสน่ห์จากข้างใน อันนี้ต่างหากที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย นั่นคือสิ่งที่เราบอกตัวเองมาตลอด

มีน้องบางคนที่มาบอกเราเหมือนกันว่าเห็นเราเป็นแบบอย่างในการพัฒนาตัวเอง เราจะบอกทุกคนเสมอว่าพัฒนาข้างนอกน่ะได้นะ แต่อย่าลืมพัฒนาข้างในด้วย ข้างนอกน่ะอยู่กับเราได้ไม่นานหรอก แต่ข้างในยังไงมันก็ไม่เปลี่ยน เพราะข้างนอกที่คนเห็นมันก็เกิดจากข้างในที่เปลี่ยนมาก่อน

นนท์เคยบอกว่าการที่จะพูดว่าประสบความสำเร็จได้คือตอนที่เราจากไปแล้วและทิ้งอะไรไว้บ้าง งั้นคำถามสุดท้ายก่อนจะจากกัน ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว นนท์คิดว่าตอนนี้นนท์ประสบความสำเร็จหรือยัง

เอาตรงๆ นะ (นิ่งคิดนาน) เรามองว่าเราใช้ชีวิตได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่ได้บอกว่าดีนะ แต่ในฐานะมนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์ห่าอะไรเลยขาดๆ เกินๆ ชีวิตเราที่ได้ใช้มาและทำงานตรงนี้ เราสามารถสร้างความสุขให้คนได้ เราสามารถเอาหน้าที่การงานมาเป็นส่วนช่วยในการเป็นกระบอกเสียงในการช่วยเหลือคนอื่นได้ เอาหัวโขนที่เรียกว่าชื่อเสียงมาบอกเล่าทัศนคติความคิดให้คนอื่นได้ฟังแบบนี้ ถึงวันนี้ตายไปเราไม่เสียใจเลยนะ เราอยู่กับปัจจุบัน คิดแค่ว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไร วันนี้ทิ้งอะไรไว้หรือยัง ให้คนอื่นหรือยัง ให้อะไรกับตัวเองหรือยังก็พอแล้ว ผมว่าในฐานะมนุษย์คนนึง ให้คนอื่นได้ ให้ตัวเองได้ ก็สมบูรณ์แล้วล่ะ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

เจ้าของเพจ T E 4 M ที่หลงใหลในมุกตลกคาเฟ่และชื่นชอบน้องหมาหน้าย่นเป็นที่สุด