บอส-พลพัฒน์ : นักร้องน้องใหม่ที่ใครๆ ก็เรียกเจ๊ จากรายการ I Can See Your Voice

เสียงเฮของผู้ชมในห้องส่งรายการ I Can See Your Voice น่าจะยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นอาฟเตอร์ช็อกในหัวใจของหลายๆ
คน เมื่อได้รู้ว่าเจ้าของร่างเล็กๆ ใบหน้ากลมๆ ที่ทารองพื้นผิดเบอร์และคาดโบวิบวับไว้บนหัวนั้น จะมีเสียงที่ทุ้มแน่นหนักน่าฟังผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่แค่เห็นก็ฮาแล้ว
ยอดวิวรายการรวมกว่า 6 ล้านครั้งเป็นสถิติที่บ่งบอกความโด่งดังชั่วข้ามคืนของ
บอส-พลพัฒน์ ฤกษ์ประกอบ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม ‘เจ๊บอส’ ได้อย่างเป็นเอกฉันท์ จนเราอดรนทนไม่ไหวต้องนัดคุยกันตัวต่อตัวกับเขา
แม้เจ้าตัวจะยังคลางแคลงใจและเอ่ยปากถามเราด้วยความสงสัยเป็นคำทักทายแรกว่า “นี่ผมดังขนาดนั้นเลยเหรอ”

คุณเริ่มร้องเพลงตอนไหน ร้องเพราะขนาดนี้ตั้งแต่แรกเลยมั้ย
เราร้องเพลงเล่นๆ กับเพื่อนมาตั้งแต่มัธยมต้น พอร้องเพลงได้นิดๆ หน่อยๆ ก็เลยได้เป็นนักร้องนำ แต่ตอนนั้นไม่ได้ร้องดีหรอกเพราะเราไม่ได้เรียนร้องเพลง
ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครสอนด้วย โดนคนโน้นคนนี้ด่ามาเรื่อยๆ ว่าร้องไม่ดี เมื่อก่อนเราจะร้องเพลงแล้วเหมือนอมอะไรไว้อยู่
คนด่ามา เราก็พยายามปรับปรุงจนมันดีขึ้นอย่างที่ได้ฟังกันทุกวันนี้แหละ

สำหรับวัยรุ่นคนหนึ่งแล้ว การยอมรับว่าตัวเองยังไม่ดีพอนั้นมันยากแค่ไหน
ยากมาก คิดว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนกัน เวลาที่ทำอะไรสักอย่าง
เราคิดว่าสิ่งที่ทำมันดีที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนยังด่าล่ะ เราก็เลยเปิดใจลองฟังเสียงตัวเองดู
ลองกลับไปดูคลิปเก่าๆ จะเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นอย่างที่เขาด่าจริง เราก็ค่อยๆ ฝึกใหม่
ฝึกอยู่นานเป็นปีเหมือนกันกว่าจะดีขึ้น

รักดนตรีขนาดนี้ทำไมเลือกเรียนทำอาหาร
ตอนปี 1 เราเคยเรียนดนตรีสากลที่มหาวิทยาลัยจันทรเกษม
เพราะตั้งแต่ช่วงม.6 ทำงานเกี่ยวกับดนตรี
ตอนนั้นไปแข่งรายการหนึ่งมีโปรดิวเซอร์ที่ปั้นวง ETC. เขาชวนเราไปทำเพลงให้องค์กรต่างๆ
ทำเพลงประกอบหนัง เราก็คิดว่าน่าจะมาทางสายนี้ได้แน่นอน ที่บ้านก็สนับสนุน แต่พอเรียนดนตรีไปได้สักพัก
เราก็เริ่มทบทวนว่าที่เลือกเรียนดนตรีเพราะเราชอบแต่งเพลง ชอบทำเพลง
ใช้จินตนาการกับการทำเพลง พอมาเรียนแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ใช้จินตนาการเหมือนเมื่อก่อน
ทั้งที่เมื่อก่อนเราคิดอะไรได้เยอะมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงจะไม่พัฒนาไปกว่านี้แน่เลย
ในเมื่อเราไม่ได้อยากเป็นครูสอนดนตรีก็เลยออกจากการเรียนดนตรี แต่เล่นดนตรีจริงจังกว่าเดิมในฐานะงานอดิเรก
แล้วมาเรียนทำอาหาร คิดว่าถ้าเรียนแล้วจบไปทำงาน มันมีโอกาสขยับขยายหน้าที่การงานต่อไปได้
หรืออย่างน้อยก็เปิดร้านของตัวเองได้

ตอนนั้นพ่อแม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเราไหม
ทะเลาะกันเลย เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่เรียนให้จบก่อน
แต่เราคิดไว้แล้วว่ามันไม่ได้พัฒนาตัวเอง ก็เลยพยายามหาที่เรียนใหม่ จนสอบได้โควตาการบินไทย
สาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและบริการของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรายื่นข้อเสนอว่าจะขอส่งตัวเองเรียนที่นี่จนจบ 4 ปี
พ่อแม่เห็นเราตั้งใจก็ยอมรับ

ดนตรีกับอาหารดูเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างจะไกลกันไม่น้อย
อะไรที่เป็นจุดร่วมของสองสิ่งนี้

จริงๆ ยังไม่ได้เริ่มเรียนทำอาหารนะ แต่มองว่าทั้งสองอย่างมันเป็นอะไรที่ใช้จินตนาการเยอะเหมือนกัน
เราไม่ค่อยถนัดเรื่องทฤษฎีเท่าไหร่ แต่อะไรที่เป็นจินตนาการ เขียนภาพ เขียนหนังสือ
เล่นดนตรี ทำอาหาร อะไรพวกนี้พอทำได้

มาร่วมรายการ I Can See Your Voice ได้ยังไง
ทีมงานของรายการเห็นผลงานเราที่คัฟเวอร์เพลงกับเพื่อนๆ ในยูทูบก็เลยติดต่อมาทางแฟนเพจ เราเคยดูรายการนี้แล้วตลกดีก็เลยตอบรับคำชวนของเขา
แต่ก่อนใครมาชวนไม่เคยไปเลย เพราะขี้เกียจ เราทำอะไรหลายอย่างด้วยแหละ
ทำนั่นนี่เยอะแยะ ไม่ชอบไปนั่งรอต่อคิวรายการประกวดร้องเพลงดัง ๆ มันดูเป็นการแข่งขันที่ซีเรียสเกินไป แต่รายการนี้เข้ามาพอดีกับช่วงที่ตัดสินใจว่าใครชวนทำอะไรจะทำให้หมดเลย
จึงตัดสินใจลองดู

ชุดที่ใส่ออกรายการนั่นคิดมาเองจากที่บ้านหรือเปล่า
มันเกิดจากตอนที่เขาให้เสนอลิสต์เพลงที่จะร้องออกมาก่อน
แล้วเราดันไปเขียนเพลง
‘ไม่รักไม่ต้อง’ ของนิว-จิ๋ว ลงไปด้วย เหตุที่เขียนเพลงนี้ลงไปเพราะเวลาเล่นดนตรีกลางคืนที่ร้านประจำเราจะร้องเพลงนี้แล้วเต้นแบบนิว-จิ๋วด้วย ลูกค้าก็ชอบมาขอเพลงนี้อยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเพลงประจำตัวของเราไป พอเขารู้ว่าเราเต้นได้ ไอเดียทีมงานก็มาเลย
สุดท้ายก็ให้เราแต่งตัวแบบที่เห็นในรายการนั่นแหละ (หัวเราะ)

รู้สึกยังไงที่ทุกวันนี้ใครๆ ก็เรียกเจ๊บอสไปแล้ว
เราก็ไม่ได้ซีเรียสว่าใครจะมองเราเป็นเจ๊ เราว่ามันเป็นเรื่องที่ตลกดี
ไม่ได้รู้สึกอะไรถ้าคนจะมองว่าเราเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เพราะเราก็เรียกตัวเองว่าเจ๊ ในคลิปที่เราทำเองแล้วแต่งตัวเป็นเจ๊บอส
คนก็จะเข้ามาคอมเมนต์ว่าเกลียดเจ๊ เกลียดสีรองพื้น เป็นทำนองแซวๆ กัน หรือว่าถ้าจะด่าก็ไม่เจ็บ (หัวเราะ) ไม่ซีเรียส แต่ในแง่ตัวตนของการทำงานก็คงจะแบ่งๆ กันไประหว่างความเป็นเรากับความเป็นเจ๊
เพราะตอนนี้ถ้าพูดคุยกับแฟนคลับในฐานะเจ๊บอส คนจะอยากมาคุยเล่นด้วย คุยแบบเป็นเจ๊ๆ
มันสนุกกว่า แต่ถ้าทำเพลงของตัวเองจริงจังก็คงจะเสนอภาพที่เป็นตัวเรามากกว่า

จำได้ว่าวงที่คุณทำกับเพื่อนๆ มีชื่อแปลกๆ มันอ่านว่าอะไรนะ
ชื่อวงว่า จุ๊กกุ๊กจิ๊กกะดิ๊ก ฟังประหลาดๆ
หน่อยเพราะใช้มาตั้งแต่ช่วงที่เป็นเด็กแว้นๆ (หัวเราะ) ตอนนี้เหลือกันอยู่ 5 คน คนที่เพิ่งออกไปอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ม.1
แต่การคัฟเวอร์เพลงคนอื่น ต่อให้เราทำได้ดีแค่ไหนมันก็เป็นเพลงของคนอื่นอยู่ดี
เราจึงอยากมีเพลงของตัวเองมากกว่า ในอนาคตเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำเพลงของตัวเองออกมา
คิดว่าน่าจะเป็นเพลงแนวเดียวกับวง ETC. ที่เราชอบ
มันเป็นเพลงที่ฟังง่ายแต่เล่นยาก วัดความสามารถนักดนตรีดี

เราไม่อยากทำเพลงให้ดังมากแล้วก็เงียบหายไป
คนฟังเยอะแล้วแป๊บเดียวก็ลืม แต่อยากทำเพลงที่ไม่ได้ฟังนานแล้วกลับมาฟังก็ยังเพราะอยู่
ก็เลยตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ เราอยากทำเพลงเหมือนเพลง
‘จากวันที่เธอไม่อยู่’ ที่พี่เบล
สุพล ร้องสมัยที่ยังเป็นวงพาย มันเป็นเพลงที่กลับมาฟังได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีคนฟังอยู่

ตอนนี้วางแผนชีวิตไว้ไกลแค่ไหน
เราเป็นคนชอบวางแผนมาก แต่ไม่ได้เพ้อฝัน
ถ้ามีโอกาสเข้ามาก็จะวางแผนไว้เป็นขั้นๆ ไป
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันมีอะไรเปลี่ยนไปตลอด
แต่ยังไม่ได้มองไปถึงภาพสุดท้ายของชีวิตขนาดนั้น แก่ไปอาจจะไปใช้ชีวิตชิกๆ
อยู่ต่างจังหวัดก็ได้นะ หรืออาจจะแก่ไปแบบลำบากลูกไม่เลี้ยง (หัวเราะ) ไม่มีทางรู้ได้เลย
เรามองว่าคนเราเดี๋ยวก็ตายแล้ว ถึงแม้จะคิดอย่างนั้นแต่ก็วางแผนในชีวิตไว้ตลอดนะว่าจะทำอะไรต่อไป
ตอนนี้ก็วางแผนจะทำงานเพลงร่วมกับฟิล์มที่มาจากรายการ
I Can See Your Voice เหมือนกัน เป็นการจุดกระแสที่ทำให้คนมาสนใจเราอีกรอบ
จากนั้นเราก็อาจจะปล่อยเพลงของตัวเองออกมา ถ้ามันดีก็ทำตามแผนที่เราวางไว้ขั้นต่อไป
ถ้าออกมาไม่ดีก็วางแผนใหม่ ดูกันไปเป็นระยะ ตอนนี้เราเรียนเชฟ
ก็เป็นแผนที่สำรองไว้สำหรับการทำอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคิดก่อนเรื่องดนตรีอีก
เหมือนดนตรีมันเป็นโบนัสของชีวิตตอนนี้

เห็นภาพในอินสตาแกรมของบอสส่วนใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ในเมืองไทยแบบทริปปุบปับไม่อิงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดูบอสจะชอบเดินทางมากเลยนะ

เราชอบไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติมาก
ไปคนเดียวด้วยนะ
ครั้งแรกไปกางเต็นท์นอนคนเดียวที่ริมหาดสามพระยาที่ประจวบคีรีขันธ์
ตื่นตี 4 ไปขึ้นเขาแดง เดินมืดๆ อยู่คนเดียว เราก็สนุกของเรานะ
เป็นลูกคนเดียวที่ชอบอยู่คนเดียว อย่างตอนเรียนมัธยมเราก็ไม่ใช่เด็กเรียนอะไร เพื่อนคนอื่นๆ
โดดเรียนไปเล่นเกม เราก็โดดเรียนไปนั่งอ่านหนังสือธรรมะตามท้องร่องป่าจากข้างโรงเรียน
ลากเก้าอี้ไปตัวนึง สวมหูฟัง เปิดเพลง นั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ไป ถ้าเขาทำกิจกรรมกีฬาสีอะไรพวกนั้น เราไม่ชอบความวุ่นวาย
ก็จะหนีเข้าป่าดีกว่า

ไปเที่ยวคนเดียวสนุกกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนยังไง
ที่เราชอบเที่ยวคนเดียวเพราะอยากเจออะไรที่เป็นธรรมชาติ พื้นบ้านที่สุด
ถ้าไปกับเพื่อน กินข้าวกันเราก็ต้องคุยกับเพื่อนเรา แต่ถ้าไปคนเดียว ชาวบ้านก็จะถามไถ่
เราได้พูดคุยกับคนท้องถิ่น เราชอบอะไรแบบนั้นมาก อย่างตอนนั้นไปสังขละบุรี เจอน้องคนหนึ่งชื่อยงยุทธ
คิดว่าใครไปก็คงเจอน้องคนนี้ขายดอกไม้อยู่ที่สะพานมอญ เราคุยกับน้องจนสนิทกันเลย
พาน้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวไปทั่วเลย ถ้าไปกับเพื่อนเยอะๆ
ก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง ตอนนี้บอสอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่แล้ว
เพิ่งเริ่มต้นเองนะ ถึงแม้เราจะชอบทำนั่นทำนี่เต็มไปหมด
แต่เหมือนกับว่าชีวิตเรายังไม่ได้ทำอะไรจริงจังเลย อย่างน้อยเรื่องดนตรีมันก็เพิ่งเริ่มต้น
เรายังมีแผนจะทำอะไรมากกว่านี้อีกเพียบเลย มีเพลงของตัวเองก็เป็นแค่ขั้นหนึ่งของแผนที่วางไว้
แต่หลังจากนั้นเราก็มีแผนต่อไปอีก
ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น ยังมีอะไรให้ต้องทำอีกเยอะมาก

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR